ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๖

~ ไม่มีใครที่จะเปรียบเสมอกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระปัญญาคุณซึ่งทำให้ทรงดับกิเลสถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ รู้ว่าคนอื่นไม่สามารถที่จะดับกิเลสซึ่งมีมาก ยากแสนยากที่จะดับได้ แต่ก็มีหนทางที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้นั้นก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรมไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระธรรมกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งตั้งแต่เริ่มฟังก็เริ่มเข้าใจว่าจริงไหม ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้ผู้ที่ฟังได้ไตร่ตรองเป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูกของบุคคลที่ฟังว่าจริงไหม ถูกต้องไหม
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมจริงๆ จะรู้เลยว่าชีวิตที่แล้วมาในสังสารวัฏฏ์ มีค่าตรงไหน แต่ละครั้งแต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้นแต่ละขณะก็ผ่านไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เดี๋ยวนี้ชาตินี้ เราคิดว่าอะไรมีค่า รักษาไว้แต่เสร็จแล้วก็ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ อะไรมีค่ากว่านั้นประมาณค่าไม่ได้เลย คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นคำจริงทุกคำ
~ ทุกอย่างที่เกิดเป็นธรรมซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะได้ฟังธรรม รู้ว่ากุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล แล้วทำไมกุศลไม่เกิด แต่อกุศลเกิด ผู้นั้นก็จะเห็นได้ว่า เพราะสะสมอกุศลมาก กุศลจึงเกิดได้น้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ จึงขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าตราบใดที่ไม่ฟัง ขณะนั้นก็ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม แล้วเมื่อไรจะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม ฟังบ่อยๆ จนกระทั่งคุ้นเคย และสามารถที่จะเริ่มเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรม
~ ถ้าขณะใดที่กำลังพิจารณาและค่อยๆ เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมขึ้น นั่นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะทำให้สามารถเข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงคำที่พระผู้มีพระภาคตรัส แต่ธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรม เป็นสภาวธรรมที่มีลักษณะจริงๆ ที่สามารถเข้าใจได้หลังจากที่ได้ฟังพระธรรมและพิจารณาแล้ว
~ ธรรมมีจริงๆ คือในขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ไม่มีสักขณะเดียวตั้งแต่เกิดจนตายที่จะปราศจากธรรม แสดงว่าเกิดมาจนตายไม่รู้ธรรม ถ้าไม่ได้ฟังแล้วไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ของใคร หรือไม่ใช่เป็นผู้หนึ่งผู้ใดเลยทั้งสิ้น
~ มีความจริงในขณะนี้ซึ่งใครๆ ก็บังคับให้เกิดไม่ได้ และจะให้เป็นไปอย่างที่ต้องการก็ไม่ได้ จะให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ทั้งหมดแสดงความไม่ใช่เราและไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา ชัดเจนมาก ว่า เกิดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะคิดอะไรเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วทั้งนั้น
~ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ในสังสารวัฏฏ์ คือ ไม่รู้ความจริง เหมือนมืดสนิท หลงว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยที่ไม่มีเลย จากชาตินี้ไปก็ไม่เหลือแล้ว แต่ละชาติๆ ก็ไม่เหลืออะไรเลย
~ เคยโกรธใครไว้ เคยไม่ชอบใคร ในขณะที่กำลังฟังพระธรรมเดี๋ยวนี้คิดอย่างไร คือ ควรจะได้พิจารณาและได้ประโยชน์จากการฟังพระธรรม ถ้าขณะนี้คิดไม่ได้ ขณะอื่นก็คิดไม่ได้แน่ๆ เพียงขณะที่กำลังฟังพระธรรมแท้ๆ ยังไม่ยอม ขณะอื่นจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า แต่ละชีวิตแม้จะได้เคยฟังพระธรรมมามาก และเจริญบารมีมาบ้างแล้ว แต่กำลังของกิเลสที่ยังไม่ได้ดับก็เป็นปัจจัยให้เกิด อกุศลประเภทต่างๆ ขั้นต่างๆ
~ ใครที่มักโกรธในชาตินี้ ให้ทราบว่าชาติก่อนๆ ก็ต้องมักโกรธ และถ้ายังมักโกรธอย่างชาตินี้ต่อไปอีก ก็นึกถึงภาพชาติหน้าได้ว่าจะเป็นอย่างไร อยากจะเป็นอย่างนั้นต่อไป หรืออยากจะเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าอยากจะเป็นอย่างอื่น ก็ต้องเริ่มสะสมทางฝ่ายกุศลเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้
~ เสียเวลาไหม โกรธอะไร เขาไม่เห็นเดือดร้อนเลยคนที่เราโกรธไม่เดือดร้อน แต่ผู้โกรธนั่นแหละเดือดร้อน เพราะฉะนั้น อะไรทำให้เดือดร้อน ไม่มีใครทำให้ใครเดือดร้อนได้นอกจากกิเลสของตนเอง
~ ไม่มีใครทำร้ายใครได้เลยทั้งสิ้น นอกจากธรรมฝ่ายอกุศลเท่านั้น ที่เมื่อเกิดเมื่อไหร่ก็ทำร้ายทันที และยังนำมาซึ่งสิ่งที่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องกระทบสัมผัส สิ่งที่ไม่น่าพอใจทั้งหมด เพราะเหตุไม่ดี
~ ตราบใดที่ยังมีกิเลสก็ยังมีทุกข์ เพราะฉะนั้น ที่ทุกข์จะลดน้อยลงไปได้จริงๆ ต้องลดกิเลสลงไปด้วย ถ้ายังมีกิเลสอยู่เต็ม ทุกข์ก็ย่อมมาก
~ ถ้าเป็นอกุศลเรื่อยๆ แล้วจะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย
~ ในวันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่าก้าวไปสู่ทางที่จะทำให้มัวเมามากกว่าการก้าวไปสู่ทางที่จะสร่างจากความเมา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ทุกวันจะต้องถูกครอบงำด้วยอกุศลซึ่งเหมือนกับสลบไสลไปด้วยความมัวเมาไม่มีวันสร่าง แต่เมื่อใดที่มีความเข้าใจพระธรรมและพิจารณารู้ความคิดของตนเองก็จะรู้ว่าทางที่ควรจะก้าวไปนั้น ควรเป็นทางกุศลมากกว่าจะให้มัวเมาโดยไม่สร่าง
~ หนทางเดียวที่จะออกจากความเห็นผิด คือ เริ่มพิจารณาให้เกิดความเห็นถูกในหนทางที่ถูก เริ่มอบรมหนทางที่ถูกเมื่อไร เมื่อนั้นจึงจะค่อยๆ ไถ่ถอนตนเองจากความเห็นผิด แต่ตราบใดที่การอบรมความเห็นถูกยังไม่เกิด จะให้ออกจากข้อปฏิบัติที่ผิดหรือความเห็นผิดนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาในชีวิตประจำวันจริงๆ เพราะอกุศลมีมากมายเหลือเกิน
~ ชีวิตในวันหนึ่งๆ ก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก และโลภะซึ่งเกิดต่อจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ในวันหนึ่งๆ มากมาย และไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ตั้งกี่ชาติมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ แสดงให้เห็นถึงความหนาแน่น ความยากที่จะขัดเกลา ทั้งๆ ที่รู้ว่าโลภะเป็นอกุศลธรรม เป็นสภาพธรรมที่เป็นสมุทัยเป็นเหตุให้เกิดสังสารวัฏฏ์
~ ธรรมดาของคน น้อยคนที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก คิดดู คำพูดแค่นี้ น่ากลัวไหม? เพราะว่ากิเลสมีมากทุกวันด้วยความไม่รู้หรือรู้ก็ตาม แต่ก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ยังจะต้องเกิดอยู่ เพราะเหตุมี ผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้น ความไม่ดีทั้งหมดไม่ได้นำไปสู่สุคติ
~ คนที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมมั่นคง ก็จะเป็นผู้ "มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจพระธรรมและช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย"
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐๕


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



