ณ กาลครั้งหนึ่ง เนื่องในวาระ ๙๘ ปี ศรีศุภวาร ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ๑๒ - ๑๔ ม.ค. ๒๕๖๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  29 ม.ค. 2568
หมายเลข  49437
อ่าน  2,095

เมื่อวันที่ ๑๒ - ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณศรีวรรณ ไชยวงศ์จันทร์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๐๐๙ และ คุณณัฏฐ์จิรา นวลสิงห์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๔๐๑๐ เพื่อไปสนทนาธรรม ณ โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน จังหวัดภูเก็ต

การเดินทางไปสนทนาธรรมที่จังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ นอกจากที่เจ้าภาพจะมีจุดประสงค์เพื่อมอบโอกาสให้ชาวใต้ได้รับการเกื้อกูลจากท่านอาจารย์เพื่อความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องแล้ว ท่านเจ้าภาพยังมีจุดประสงค์ที่จะขอโอกาสจากท่านอาจารย์เพื่อการจัดงาน "สาธุกีฬา" เล็กๆ ในวาระครบรอบวันเกิด ๙๘ ปี ของท่านอาจารย์ ในวันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการกราบเท้ารำลึกในพระคุณของท่านอาจารย์ที่เมตตา พากเพียร เกื้อกูล ให้ความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องแก่ทุกคนมาเป็นระยะยาวนานร่วม ๗๐ ปีแล้ว

อนึ่ง การสนทนาธรรมในครั้งนี้ นอกจากจะมีชาวใต้และสหายธรรมจากทุกภาคของประเทศไทยเดินทางมาเข้าร่วมฟังและสนทนาเป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีสหายธรรมจากบ้านธัมมะเวียดนาม จำนวน ๑๘ ท่าน สหายธรรมจากประเทศลาวร่วม ๒๐ ท่าน และ สหายธรรมจากประเทศกัมพูชาอีก ๔ ท่าน เดินทางมาเข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมในครั้งนี้ด้วย

ลำดับต่อไป ขออนุญาตนำความจากการสนทนาธรรมในภาคเช้าของวันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ มาให้ทุกท่านได้พิจารณา พร้อมๆ กับภาพที่ได้บันทึกไว้ ดังต่อไปนี้

ท่านอาจารย์ : แม้แต่คำว่า "บูชา" ผู้ที่ควรบูชา ใครล่ะคะ? นอกจาก "คุณความดี" เพราะฉะนั้น บูชาคุณความดี ตามลำดับของคุณความดี ไม่ใช่บูชาใครเลย!! แต่..บูชาคุณความดี!! ถ้าคนนั้นไม่มีคุณความดี ใครบูชา?

พราะฉะนั้น ทุกครั้งที่มีการบูชา บูชาความดี บูชา "ธรรมที่เป็นคุณความดี" เท่านั้น!! จนกระทั่ง "ถึงความจริง" ซึ่งเป็นการบูชาสูงสุด!! ของผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ไม่ผิดเลย และทุกขณะด้วย!!

เพราะฉะนั้น บุคคลใดก็ตาม ที่ได้รู้ความจริง เขาบูชาคุณของผู้นั้น ที่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น บูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมี จนรู้ความจริง ตรัสรู้ ประจักษ์แจ้ง คนอื่นไม่มีโอกาสจะรู้ได้เลยว่า ทุกคำของพระองค์ ไม่ใช่เพียงฟัง-เข้าใจ แต่สามารถถึงการประจักษ์แจ้ง ซึ่งพระสาวกในครั้งอดีตทุกท่านที่จะเป็นอริยสาวก ผู้ฟังที่ควรแก่การเป็นผู้ประเสริฐ ต้องเป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริง "เดี๋ยวนี้!!"

มีใครไหม? ที่รู้ความจริง แต่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้!! เพราะฉะนั้น ทุกคำ ต้องฟัง เพื่อละความไม่รู้ เวลาฟังธรรม บางคนก็อยากจะรู้โน่น นี่ แต่รู้ไหมว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แหละ เริ่มรู้หรือยัง? แล้วไปไขว่คว้าหาสิ่งที่เป็นจริงเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ใช่ในขั้นที่จะรู้ได้ตามที่ได้ฟัง ขั้นต้นๆ

เพราะเหตุว่า ความลึกซึ้งของทุกคำ ถ้าประมาท จะไม่มีการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเข้าใจธรรม โดยความเป็นธรรม จริงไหม? ทุกคำต้องไตร่ตรอง เพื่อจะได้รู้สัจธรรม

"ธรรม" เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ลึกซึ้งและละเอียดมาก เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด (เพียงอย่างเดียวนะคะ แต่ขณะนี้หลายอย่างมาก) สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไป เป็นธรรมดา ลืมไหม? ไปทำอย่างอื่นหมด!!

แต่ลืมว่า เดี๋ยวนี้!! "สิ่งนี้" ไม่เกิด ไม่มี!! สิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ทั้งหมด แต่ละหนึ่ง ต้องเกิดเป็นหนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง เพราะเหตุว่า เกิดพร้อมกันไม่ได้ และเพียงได้ฟังอย่างนี้ ยังไม่รู้!! ว่าอะไรล่ะ? ที่เกิดเดี๋ยวนี้!! จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..ทีละคำ ...

สิ่งที่มีจริงแน่นอน ที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ จึงปรากฏว่ามี แค่นี้ พอไหม? แต่ต้อง สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง แยกออกจากกัน เป็นภาวะของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งขณะนี้เกิดดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ รวมกันจนกระทั่ง หลับตา ไม่มีอะไรปรากฏ ลืมตา ทุกอย่างปรากฏ เมื่อสิ่งนั้นต้องกระทบตา โดยไม่รู้เลย แต่ถ้าไม่กระทบตา ปรากฏไม่ได้

แค่นี้!! ใครที่ไหน? " ธรรม" สิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้น แล้วดับไป จึงเป็นอริยสัจธรรมข้อที่ ๑ ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ต้องประจักษ์แจ้ง อริยสัจธรรม ตามลำดับ ที่ จากไม่รู้เลย ค่อยๆ รู้ขึ้น ฟังธรรม ฟังอะไร? ฟังความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!! จากที่ไม่รู้เลย จากที่เคยยึดถือว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือความหมายของ "อัตตา"

เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของอัตตา แสนโกฏกัป แล้วก็จะเป็นโลกของธรรม "แต่ละหนึ่ง" เป็นอนัตตา เกิดแล้วดับไป นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ พระองค์ตรัสว่า ธรรมลึกซึ้ง ยากที่จะเห็นได้ จริงไหม? เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมเกิด จึงมี แล้วก็ดับไป ทันทีที่เกิด ไม่ช้าเลย แต่ว่าเกิดสืบต่อ เร็วมากทุกขณะ รวมเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสมอ เป็น "อัตตา"

เพราะฉะนั้น จะเข้าใจว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ก็ต่อเมื่อ เดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเป็นภาวะแต่ละหนึ่ง ที่เป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไม่ได้!!

"เห็น" ขณะนี้ เป็น "เห็น" แค่นี้ ต้องรู้ว่า จริงแค่ไหน? เปลี่ยน "เห็น" ไม่ได้ เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วดับ นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจธรรม ข้อที่ ๑ ประการที่ ๑ "ทุกขอริยสัจ" แต่กว่าจะถึงความเป็นทุกข์ ต้องรู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ เกิดดับจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ แค่นี้เป็นทุกข์ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่ง "รู้แจ้ง" สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวง ที่ละเอียดลึกซึ้ง

ขณะนี้ เพียงฟังไม่กี่คำ เพียงเป็นผิวของธรรม ที่ต้องประจักษ์แจ้ง ตามลำดับ ลึกลงไปจนถึงขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏเพียงหนึ่ง เกิดแล้วดับ จึงจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่..สาวก คือ ผู้ฟัง เริ่มเข้าใจ เริ่มรู้ความจริง เริ่มมั่นคง ในความจริง เป็น "สัจจบารมี" ได้ยินคำว่า "บารมี" แล้วอยู่ไหน? มีจริงๆ คือความเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย เป็น "ปัญญาบารมี" เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะรู้ความจริง ที่ลึกซึ้งและเหนียวแน่นมาก คือ กิเลส ความไม่รู้ และ ความติดข้องมากมายมหาศาลเพียงใด แล้วใครคิดว่าละได้ เพียงแค่ฟังและคิด!! แต่ต้องถึงการประจักษ์แจ้ง ตามลำดับ!!

ซึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงด้วยพระองค์เอง ธรรมลึกซึ้ง จะรู้ได้ ต่อเมื่อมีการเริ่มฟังคำของพระองค์ อย่างละเอียด จนกระทั่งมั่นคง "ปริยัติ" รอบรู้ ในสิ่งที่มี โดยประการต่างๆ เพราะเหตุว่า ปัญญา ความเข้าใจความละเอียด เท่านั้น ที่ค่อยๆ เริ่มใกล้ชิด ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่ปรากฏ!!

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ มีความหมายที่ลึกซึ้ง ทุกคนได้ยินคำว่า "โอปนยิโก" เป็นอะไรคะ คุณคำปั่น

อ.คำปั่น : กราบท่านอาจารย์ครับ ก็เป็น "ธรรมที่ควรน้อมเข้ามาในตน" ครับ

ท่านอาจารย์ : ฟังแค่นี้ "ตัวตน" น้อม เพราะควรน้อม ไม่เข้าใจเลย ว่าไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น "ทุกขณะที่เข้าใจ" ต่างหาก ที่ "ค่อยๆ น้อมมาที่ธรรม" ที่กำลังปรากฏ!! แต่ละหนึ่ง ตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาธรรม ไม่ใช่เพียงคำแปล แต่ "ความหมายที่ลึกซึ้ง" ของคำนั้น ทุกอย่างที่มีขณะนี้ เป็นธรรม ยังไม่เคยรู้สักหนึ่ง แต่ โอปนยิโก เห็นความลึกซึ้งไหม? ไม่ใช่ใครจะน้อม แต่ "ความเข้าใจ" ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยๆ ถึงความจริง ที่มีเดี๋ยวนี้!! ซึ่งเกิดดับอย่างเร็ว

ทุกคำ ต้องละเอียดมาก จึงกล่าวได้ว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ต้องเห็นความลึกซึ้งของอริยสัจธรรม ทั้ง ๔ หนทางที่จะรู้ความจริง ประจักษ์แจ้งความจริง ในอริยสัจธรรมข้อที่ ๑ ได้ เป็นเราหรือเปล่า? เป็นใครหรือเปล่า? ไปทำอะไรหรือเปล่า? โดยไม่มีความเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ ทีละน้อย!!

เป็นปัญญาทั้งหมด ตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้น ชื่อของปัญญาแต่ละระดับ มีหลากหลายมาก จึงมีการที่จะต้องมั่นคงในความจริงลึกซึ้ง ต้องฟัง ไม่ใช่เรา เป็นความเห็นถูก ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ค่อยๆ น้อมมา ที่จะประจักษ์แจ้ง "เห็น" เดี๋ยวนี้ ที่เกิดดับ จริงไหม? ถ้าไม่เกิด ไม่มี "เห็น" พอเห็นดับ "ได้ยิน" เกิดได้ยิน แล้วก็ดับ ทุกอย่าง เร็วสุดที่จะประมาณ ในความมืดหรือในความสว่าง?

เห็นไหม? "คิด" ไม่สว่าง "ได้ยิน" ไม่สว่าง "ได้กลิ่น" ไม่สว่าง "ลิ้มรส"ไม่สว่าง ทุกอย่าง อยู่ในความมืด!! ปรากฏได้กับปัญญา ตามความเป็นจริง สว่างนิดเดียว ใครว่านาน? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงขณะของจิต อย่างละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น มีพระองค์เป็นที่พึ่ง ด้วยความมั่นคงในพระปัญญาคุณ ที่ทรงแสดงความจริงที่รู้ได้ ประจักษ์ได้ แต่ต้องด้วยความเข้าใจ จึงค่อยๆ ละความไม่รู้ จน "ถึงลักษณะที่เป็นจริงเดี๋ยวนี้!!"

เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมโดยละเอียด อริยสัจธรรม ๓ รอบ แต่ละรอบ ลึกซึ้งแค่ไหน รอบแรกแค่ฟัง บางคนก็บอกว่า ยากมาก จริงไหม? ไม่ง่าย!! แต่..เข้าใจไหม? ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะอะไร มีจริงๆ ให้รู้ว่า แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง โดยละเอียดอย่างยิ่ง จึงจะรู้จักพระธรรม คือคำของพระองค์ มาจากการตรัสรู้ ของผู้ที่ประเสริฐ เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ในสากลจักรวาล เพราะสามารถประจักษ์แจ้ง "เห็น" เกิดแล้วดับ ธรรมทั้งหมดที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เกิด ไม่มี แต่มี ปรากฏแล้วดับ โดยไม่รู้ ลึกซึ้งจนกระทั่ง สามารถที่จะค่อยๆ รู้ความจริง มั่นคงขึ้น!!

ในขั้นฟัง รอบรู้ปริยัติ ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง แต่ถ้าไม่มีความรู้ขั้นนี้ อะไรจะไปประจักษ์แจ้งได้

เพราะฉะนั้น เห็นความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงเป็นผู้ที่อบรมเจริญบารมี คุณความดีทั้งปวง ที่จะทำให้ สนับสนุน เกื้อกูล เป็นปัจจัย เพราะว่า ค่อยๆ ละความไม่รู้ไป จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ว่า รอบที่ ๒ ยากกว่ารอบที่ ๑!!

อ.คำปั่น : ครับ ก็เป็นความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อสักครู่ อาจารย์อรรณพก็ได้กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ใครจะเป็นผู้ที่มีศรัทธา มีความเลื่อมใส ในพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง อันนี้คือประเด็นคำถามของอาจารย์อรรณพครับ

แต่กระผมขอโอกาสจากท่านอาจารย์นิดหนึ่ง เมื่อสักครู่ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่ง ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึง บูชาคุณ คือ ความดี ตามลำดับของคุณความดี ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเป็นคำที่เกื้อกูลว่า อะไรคือสิ่งที่ควรบูชาจริงๆ

ข้อความใน มโรถปูรณี อรรถกถา อังคุตรนิกาย นวกนิบาต สีหสูตร แสดง พระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จำแนก ๓ ประการ คือ ๑.จริยคุณ ๒. สรีรคุณ ๓. คุณคุณ

๑. จริยคุณ ก็คือ การบำเพ็ญพระบารมีของพระองค์ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ นานเพียงใด จนกว่าบารมีจะเต็มเปี่ยม ๔ อสงไขยแสนกัป การสะสมอบรมบารมีทั้งหมด เพื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ จริยคุณ

๒. สรีรคุณ จะมีใครที่จะมีความงาม มีความเลิศ ในเรื่องของพระสรีระ เกินไปกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีเลย ผู้ที่มีความงามพร้อม ถึงพร้อมด้วยพระลักษณะ ที่งดงามอย่างยิ่ง ก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ได้เห็นพระองค์ มีความเข้าใจในคุณของพระองค์ ก็จะทราบได้เลยว่า ทั้งหมด มาจากการสะสมอบรมคุณความดีของพระองค์ นั่นเอง นี่คือ สรีรคุณ

๓. คุณคุณ คุณคือคุณความดีทั้งหลายทั้งปวง ตั้งแต่ความเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นต้น

นี่คือ พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีนี้ครับท่านอาจารย์ครับ ที่อาจารย์อรรณพ ได้กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ใครจะเป็นผู้ที่มีศรัทธา มีความเชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแท้จริง กราบเท้าท่านอาจารย์ ในความละเอียดครับ

ท่านอาจารย์ : ถามคุณคำปั่น (หัวเราะ) ถามใครก็ได้ ทุกคน เพราะเหตุว่า แต่ละคนย่อมรู้ตัวเอง จะไปถามคนอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ใคร? ก็คือ คนที่ฟังธรรม แล้วมีความเข้าใจระดับหนึ่ง ถ้าเข้าใจนิดเดียว หรือเข้าใจมาก ใครรู้?

อ.คำปั่น : ครับ ก็ต้องเป็นผู้นั้นครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ : ค่ะ ก็ต้องตัวเอง เพราะฉะนั้น แต่ละคน ถามคนอื่นได้ไหม? ว่าเขารู้แค่ไหน? แต่ตัวเองนั่นแหละ เข้าใจแค่ไหน? เพราะฉะนั้น ธรรมที่ลึกซึ้ง ก็คือว่า "เพื่อละ" คำนี้ ถึงใจแค่ไหน?

ไม่ใช่เพื่อไปรู้อะไร ประจักษ์แจ้งอะไร เป็นพระอริยบุคคล โดยไม่เข้าใจอะไรเลย อริยะ ประเสริฐตามความรู้ความเข้าใจ ตามลำดับ ตั้งแต่ต้น ถ้าไม่มีขั้นต้น ต่อไปมีไม่ได้

เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตาม ฟังธรรมแล้ว รู้จักตัวเอง เพราะธรรมทั้งหมด อยู่ที่ตัว ที่เข้าใจว่าตัว ก็คือธรรมแต่ละหนึ่ง มีความเข้าใจแค่ไหน มั่นคงแค่ไหน ถ้าไม่มีความมั่นคงเป็นบารมี ธรรมยากไป ขั้นต้นยังยากแค่นี้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร นั่นหรือ นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง!!

ต่อให้อีกนานแสนนาน แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ รู้ได้!! แน่ๆ!! เพราะมีจริงๆ มั่นคงไหม? แต่ไม่ใช่เราจะพยายามจะไปรู้โดยรวดเร็ว แสวงหาทาง ไม่ฟังธรรมเลย ไม่มีปริยัติเลย เสียเวลาไปเรียน ไปฟัง ปฏิบัติเสียเลย ถูกไหม? นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? คำนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก มีแต่บารมี กว่าจะเต็ม คนนั้นจะไม่รู้เลย เพราะว่าธรรมทุกอย่างลึกซึ้ง

ขณะนี้ที่เข้าใจ เป็นบารมี จะนำไปสู่การที่จะเป็นคุณความดี เพื่ออกุศลจะไม่เกิดในขณะที่กุศลเกิด ถ้าใครยังหลง แล้วก็ไม่เห็นประโยชน์ของกุศล ว่ากุศลแม้เพียงเล็กน้อยหนึ่งขณะ ขณะนั้นอกุศลก็เกิดพอกพูนไม่ได้ เห็นประโยชน์อย่างนี้ นั่นก็คือ "บารมี" จึงมี บารมี ๑๐ ในชีวิตประจำวัน

เพราะเหตุว่า กิเลสมีมาก เพียงแต่คิดจะละความไม่รู้อย่างเดียว แล้วกิเลสอื่นล่ะ? ยังกางกั้นอยู่ตลอดเวลาที่เกิดขึ้น แล้วจะถึงการรู้แจ้ง การเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง เพิ่มขึ้นได้อย่างไร จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก ไม่ใช่เรา (แต่) เป็นธรรมที่เป็นฝ่ายดี

เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อละความเป็นเราทั้งหมด แมัที่เล็กน้อยที่สุด ที่ยังเป็นเรา ก็ต้องไม่เหลือเลย!! นี่คือ ขั้นต้นของการรู้แจ้งอริยสัจธรรม

เพราะฉะนั้น อีกนานเท่าไหร่ ฟังไป ปัญญาที่เข้าใจ ก็อบรมไป จิรกาลภาวนา คำของใคร? แล้วใครบ้างที่สามารถจะประจักษ์ความจริงของธรรมโดยเร็ว ถ้าไม่มีการอบรมมาเนิ่นนาน พอที่จะถึงเวลา ที่ปัญญาระดับนั้นจะเกิดขึ้น โดยความเป็นอนัตตา ไม่เหลือความเป็นอัตตา เป็นโลกใหม่ ซึ่งสามารถจะรู้ว่า ที่เคยเป็นอัตตา ความจริงเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ "อัตตา" ทั้งนั้นเลย ใช่ไหม? ปรากฏ!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีทุกประการของ คุณศรีวรรณ ไชยวงศ์จันทร์ คุณณัฏฐ์จิรา นวลสิงห์ และทุกๆ ท่าน


ขอเชิญติดตามบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ตามลิงก์ด้านล่าง :


ขอเชิญติดตามเรื่องที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

- บทกลอน เก้าสิบแปดปี ศรีศุภวาร ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๘ ณ จังหวัดภูเก็ต

- บทกลอนสรรเสริญพระคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ โดย ศ.นพ.ประกิต เทียนบุญ

- บทกลอนประกอบการแสดง โนราบูชาคุณ เนื่องในวาระ ๙๘ ปี ศรีศุภวาร ท่านอาจารย์สุจินต์ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๘


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kuthum
วันที่ 30 ม.ค. 2568

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งและสำนึกในพระคุณที่ท่านอาจารย์นำพาให้เห็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและยินดีในกุศลจิตของเจ้าภาพและทุกท่านที่ร่วมแรงร่วมใจกันจัดสนทนาธรรมและบูชาคุณ 98 ปี ศรีศุภวาร ท่านอาจารย์ ในครั้งนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ม.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Chamai
วันที่ 30 ม.ค. 2568

กราบเท้าบูชาท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง และยินดีในกุศลจิตของทุกท่านคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
siraya
วันที่ 3 ก.พ. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
muda muda
วันที่ 11 ก.พ. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยค่ะ กราบอนุโมทนาในกุศลของทุกท่านที่ร่วมกันเผยแพร่พระสัทธรรมคำจริงค่ะ ภาพสวยงามมากค่ะ บ้านธัมมะภาคใต้จัดยิ่งใหญ่มาก ผู้ที่ฟังการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ต่างรักติดตามท่านไปเกียบทุกที่ ภาคใต้ครั้งนี้ดูรูปแล้วน่าจะมากันทุกคน ขอบคุณคุณวันชัย๒๕๐๔ที่ถ่ายและรวบรวมภาพสวยๆ มาให้คนที่อยู่ไกลๆ ให้ได้ชื่นชมมีความปิติยินดี ด้วย กราบยินดีในกุศลวิริยะของคุณวัชัยด้วยค่ะ สาธุค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ