จิตดวงใดครับทำงานมากสุด?

 
natthaset
วันที่  27 ก.ย. 2550
หมายเลข  4929
อ่าน  1,024

เมื่อผมอายุประมาณ ๑๔ ปีเคยขึ้นต้นมะพร้าว แล้วจับโดนตุ๊กแกบนยอดมะพร้าว ผมลงต้นมะพร้าวแทบไม่ทัน ความรู้สึกกล้วตุ๊กแก ยังฝังใจผมอยู่จนทุกวันนี้

ถามว่า ทำไมจิตที่ทำงานขณะที่เกิดความกลัวเด่นชัดและคงที่ยาวนานมาก ดูเหมือนจะมีพลังพอสมควร และจิตดวงนี้สามารถฝึกมาทำอย่างอื่นได้ไหมครับ ใช่ภวังคจิตใช่ไหมครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 27 ก.ย. 2550

ขณะที่ตกใจกลัว ขณะนั้นจิตเป็นโทสะ เพราะจำว่าตุ๊กแกมีรูปร่างที่น่ากลัว จึงฝังใจอยู่นาน จิตประเภทโทสะไม่สามารถฝึก หรือเปลี่ยนให้เป็นโลภะ หรือกุศลจิตได้ จิตประเภทโทสะเป็นอกุศลธรรม มีโทษ ไม่ควรสะสม ไม่ควรพอใจในโทสะ อีกอย่างหนึ่งควรทราบว่าจิตที่เกิดความกลัวตุ๊กแกดับไปตั้งแต่ขณะนั้นแล้ว เพราะจิตเกิดขึ้นตั้งอยู่ชั่วขณะเล็กน้อยเท่านั้น แล้วดับไป ไม่ควรเข้าใจว่าเป็นจิตดวงเดิม เพราะจิตไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 27 ก.ย. 2550

เป็นสัญญาความจำที่มั่นคงในเรื่องอกุศลที่กลัว สัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น กุศล อกุศล วิบาก กิริยา แต่ถ้าเป็นสัญญาความจำที่มั่นคงในเรื่องของสภาพธรรมว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน จะเป็นไปในเรื่องของการละคลายมากกว่ายึดติดในสิ่งที่ดับไปแล้วค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ครูโอ
วันที่ 27 ก.ย. 2550

ขณะที่เป็นภวังคจิต โลกทางตา หู จมูก ลิ้น กายหรื ใจ จะไม่ปรากฏเลยครับ
ขณะที่รู้สึกตัวว่ากำลัง กลัว ขณะนั้น "โทสมูลจิต" เกิดแล้ว ดับแล้ว และก็เป็นปัจจัยให้โทสมูลจิตดวงต่อไปเกิดอีก ดับอีก ซ้ำกับ ๗ ขณะที่ชวนวิถี และก็เกิดพร้อมกับสัญญาเจตสิก ทุกครั้งไป เมื่อไม่รู้ความจริงว่าเป็นธรรม ก็ยึดถือในบัญญัตินั้นๆ แล้วจำผิดว่ามีจริงครับ
การฝึกจิตที่ดีที่สุดสำหรับปุถุชน คือ ฟังและศึกษาพระธรรม โดยพิจารณาในเหตุผลของพระธรรมอย่างนอบน้อม และแยบคาย ถ้าจะฝึกจิตไม่ให้ตกไปจาก "กุศล" ได้มากครั้งขึ้น และละคลายความเป็นตัวตนได้ทีละนิดทีละน้อย ก็ต้องฝึกจิตโดยการเจริญวิปัสสนาที่มีเหตุมาจากการได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นอาหารแก่สติและปัญญาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
natthaset
วันที่ 27 ก.ย. 2550

ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งของการเกิดดับของจิตเท่าไหร่ครับ การเกิดดับของจิตกำหนดได้ด้วยหรือครับ ผมรู้ว่าดวงไฟที่มองเห็นเป็นการสืบต่อของไฟที่ดับไปแล้วมันเร็วเกินตาจะกำหนดได้ว่าไฟดวงไหนดับ ดวงไหนติดอยู่ ผมรู้แต่ว่าเป็นดวงไฟ ตามที่จริงแล้วดวงไฟไม่มีตัวตน ไฟเป็นรูปธรรม เห็นด้วยตาเปล่าเด่นชัดยังกำหนดไม่ได้ แล้วจิตที่ดับแล้วเกิด จะมีสติปัญญาระดับไหนที่จะกำหนดทัน หรือมีไว้เพื่อรู้เฉยๆ ว่ามันเกิดดับ ไม่มีตัวตนแต่กำหนดไม่ได้ (แต่ถ้ากำหนดไม่ได้จริงพระพุทธองค์จะจำแนกจิตได้หรือ ถามเองงงๆ เอง ขัดกันในตัว) สติปัญญาของปุถุชนปัญญานิ่มอย่างผมแค่รู้เผินๆ ว่ามันเกิดดับสืบต่อ ไม่มีตัวตน ก็ดีถมเถไปละครับ ถ้าให้กำหนดทันนับมัน หรือรู้ทุกขณะเกิดดับคงเป็นไปไม่ได้ 1,000%

ขอบคุณมากครับ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 27 ก.ย. 2550

ตอบคำถาม คุณ Natthaset นะครับ
ให้เป็นหน้าที่ของสติที่จะระลึกได้ทัน และปัญญา (ญาณ) ขั้นสูง ที่จะสามารถประจักษ์ถึงความรวดเร็วของการเกิดดับของนามหรือรูป แทนตัวเราเองดีกว่าไหมครับ?
ความเร็วของรูปคือ ๑๗ ขณะจิต (จิตเป็นนาม) ปุถุชนผู้มีปัญญาน้อยอย่างเราเวลามองอะไรทีก็เห็นเป็นสิ่งนั้นทันที เพราะมโนทวารยังไม่ปรากฏให้รู้ ความแยกขาดจากกันของรูปและนาม ยังเกินกำลังของปัญญามาก แถมหลังจากที่เห็นแล้วแวบเดียวก็ยังไปเข้าใจผิดๆ อีกว่าสิ่งนั้นมีจริง ซึ่งเป็นความวิปลาสที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เหตุนี้ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้เท่านั้นที่ได้บอกความจริงกับเรา ว่าแท้จริง มันไม่มีเรา และสภาพที่เห็นก็ไม่ใช่เราเห็น ไฟก็ไม่มี มีแต่สภาพที่เย็น (ร้อนน้อย) หรือร้อนของไฟ หรือสีสันต่างๆ ที่ปรากฏทางตาต่างหาก ลองหลับตาสิ ยังมีไฟไหม ไม่มีแล้ว แต่ดันมาคิดต่ออีกว่ายังมีไฟจริงๆ ในใจตน ธรรมะจึงมีจริง มีปรากฏ ให้ปัญญาพิสูจน์ได้ ถ้ากำลังของปัญญายังไม่ถึงขั้นประจักษ์ จะให้เสี้ยวเวลาที่ประจักษ์ในอนาคตกาลผันเปลี่ยนมาเป็นเวลาตอนนี้ เดี๋ยวนี้ มีสภาพธรรมอะไรหนอที่ทำให้เราอยากจะรู้ อยากจะกำหนดความเร็วนั้นให้ได้กันนะครับ?
เมื่อถึงเวลานั้น อะไรจะเกิดก็เกิดได้ และก็จะรู้ได้เองด้วยปัญญาขั้นสูงนั้นตามลำดับเพราะเหตุก็มีแล้ว ก็เริ่มฟังธรรมแล้วนี่ครับ (แต่ยังเข้าใจน้อยอยู่ก็ค่อยๆ เตาะแตะๆ ไป) ฟังแล้วสบายใจ เบาใจขึ้นไหม ถ้าไม่ ก็ต้องถามตัวเองแล้วว่า เข้าใจสิ่งที่ฟังไหม ถ้าไม่เข้าใจก็ควรที่จะอดทนฟังต่อ ฟังไปบ่อยๆ เนืองๆ ฟังด้วยความนอบน้อมในพระธรรม ปัจจัยที่จะทำให้เกิดอานิสงส์จากการฟังธรรมที่มากขึ้นๆ ก็ต้องเกิดในภายหน้าแน่นอน เพียงแต่ผลใหญ่ๆ เราก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเกิดเมื่อไร ก็คงจะสักวันในสักชาติหนึ่งแหละนะ ถึงจะไม่ใช่ภายในชาตินี้ แต่จะชาติไหนๆ ก็ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้สำคัญกว่า ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์จากผลของ "กุศลกรรม" แถมยังมีโอกาสที่จะเจริญกุศลทุกประการได้ โดยเฉพาะกุศลที่ประกอบไปด้วย "ปัญญา" เมื่อทางที่จะให้กุศลจิตเกิดได้ มาถึงเมื่อไรก็ไม่ควรรีรอที่จะเจริญกุศลนั้นๆ ด้วยความเข้าใจถูก เห็นถูก ในพระธรรมครับ คิดอย่างนี้จะสบายใจกว่า การคิดไปในสิ่งที่เกินกำลังจะกำหนดได้ หรือเปล่าครับ?
ถ้าสงสัยในญาณ หรือปัญญาที่สามารถประจักษ์ความแยกขาดของนามหรือรูปที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว ก็สามารถหาอ่านได้ในหนังสือปรมัตถธรรมสังเขปหรือในพระอภิธรรมปิฏก ก็ได้ครับ สหายธรรม ก็ศึกษาเพื่อ ละอกุศล ต่อไปละกันนะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 27 ก.ย. 2550

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Komsan
วันที่ 28 ก.ย. 2550
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
natthaset
วันที่ 30 ก.ย. 2550

ขอบคุณ อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ฟาง
วันที่ 3 ต.ค. 2550
อนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 15 มี.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ