นั่นไม่ใช่วิปัสสนากัมมัฏฐาน
ผมนั่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน และเกิดกระแสจิตออกจากร่างจนไม่รู้สติ ต้องไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎตั้ง ๓ เดือน จึงคืนสติสัมปชัญญะดังเดิม หมอได้ห้ามมิให้นั่งวิปัสสนา
รับฟัง ...
นั่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนไม่รู้สติ
จดหมายของท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านเขียนมาจากประจันตคาม เมืองปราจีนบุรี มีข้อความว่า
เรียน ท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพทราบ
ตั้งแต่ท่านอาจารย์ส่งหนังสือปรมัตถธรรมสังเขปไปให้ผมแล้ว ผมก็มิได้ความขัดข้องอะไรอีก จึงมิได้ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์มาจวบจนบัดนี้
ท่านผู้เขียนจดหมายคงจะเห็นว่า พูดซ้ำไป ซ้ำมา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ พร่ำพูดแต่เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และมีความเข้าใจว่า ไม่มีการขัดข้องใดๆ อีก เข้าใจแล้ว จึงมิได้ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์มาจวบจนบัดนี้
ข้อความต่อไปในจดหมายมีว่า
เพราะผมนั่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน และเกิดกระแสจิตออกจากร่างจนไม่รู้สติ ต้องไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎตั้ง ๓ เดือน จึงคืนสติสัมปชัญญะดังเดิม หมอได้ห้ามมิให้นั่งวิปัสสนา ผมเสียดาย จึงหันมานั่งกสิณ กสิณของกระผมไม่ใช่แบบนั่งเพ่งเทียน หรือวงกลม ลูกแก้ว เป็นการนั่งภาวนาแบบความว่าง เป็นลักษณะตามธรรมที่แท้จริง กสิณของผมได้ความตามปรารถนา จะออกอาการทางมือทางเท้า เป็นลักษณะแบบกายบริหาร แต่กระผมยังขัดข้องข้อความในกสิณซึ่งยังไม่ทราบว่า ได้แก่อะไร ผมจนใจ ไม่ทราบว่าจะไปถามผู้ใด จึงนึกถึงท่านอาจารย์ได้ จึงได้มีจดหมายมาเรียนถามท่านอาจารย์ ได้โปรดกรุณาอธิบายให้ผมได้ทราบด้วยเถิด หวังว่าท่านอาจารย์คงกรุณาทราบได้อย่างแน่นอน คงไม่ผิดหวัง
จึงขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงมาพร้อมจดหมายนี้ด้วย
ท่านอาจารย์ สำหรับจดหมายฉบับนี้ ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่ท่านไม่ได้ฟังคำบรรยายมาจวบจนบัดนี้ และท่านคิดว่า ไม่มีอะไรขัดข้องอีกแล้ว และก็เป็นผู้ที่นั่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน เกิดกระแสจิตออกจากร่างจนไม่รู้สติ
เพราะฉะนั้น นั่นไม่ใช่วิปัสสนากัมมัฏฐาน ถ้าเป็นวิปัสสนาจริงๆ ตามที่ได้บรรยายโดยลำดับ ผลจะไม่เป็นอย่างนี้
รับฟัง ...
นั่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนไม่รู้สติ


