ภาวะแห่งจิต

 
จนฺทโชโต
วันที่  18 ก.ย. 2550
หมายเลข  4821
อ่าน  1,163

การเกิดดับของจิต ในเวลาเจริญวิปัสสนากรรมฐาน และการเดินทางของจิต ในรูปนาม เป็นอย่างไร สงสัย ตอบที


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 19 ก.ย. 2550

ควรทราบความจริง ตามหลักพระธรรมว่า จิต เจตสิก รูป เกิดดับตลอดเวลา ในขณะที่จิตเป็นอกุศล ในขณะที่จิตเป็นกุศล หรือแม้ในขณะนอนหลับสนิท นามและรูปเกิดดับเหมือนกันทุกเวลา แต่ไม่มีปัญญารู้ตามความเป็นจริง เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น ย่อมประจักษ์แจ้ง ความเกิดดับของนามและรูปตามความเป็นจริง ฉะนั้น ผู้ที่รู้ตามเป็นจริง ย่อมไม่มีความสงสัยในความเกิดดับของนามและรูป

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 19 ก.ย. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

รู้การเกิดดับของสภาพธัมมะได้ ไม่ใช่ด้วยการคิดนึก แต่เป็นปัญญาระดับสูง คือระดับวิปัสสนาญาน แต่ที่สำคัญปัญญาเริ่มต้น คือต้องรู้ว่าเป็นธรรมก่อน จนรู้ว่า อะไรเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม ถ้ายังไม่รู้ก็ไม่เข้าใจหรือถึงการเกิดดับ เพราะการเกิดดับก็คือ นามธรรมและรูปธรรมที่เกิดดับ แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นนามธรรมและรูปธรรม ก็เข้าใจการเกิดดับไม่ได้เลย ดังนั้น เบื้องต้นต้องเริ่มจากการฟังให้เข้าใจก่อนว่า ธรรมคืออะไร และที่สำคัญ การเจริญวิปัสสนา ไม่เลือกเวลา ว่าตอนนี้จะเจริญ ไม่เลือกท่า อิริยาบถ และไม่มีการทำวิปัสสนาขึ้นมา ตราบใดที่ยังไม่ฟังให้เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร ก็อบรมวิปัสสนาไม่ได้ครับ ลองฟังไฟล์ธรรม ในเว็บนี้นะ ดีๆ ทั้งนั้น จะเข้าใจว่า วิปัสสนาคืออะไร ขออนุโมทนาครับ ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ครูโอ
วันที่ 20 ก.ย. 2550

การเดินทางของจิต ในรูป นาม เป็นอย่างไร?

จิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไปตามเหตุปัจจัย มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง เจตสิกเกิดพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต และดับไปพร้อมกับจิต ทั้งจิตและเจตสิกเกิดดับรวดเร็วมากเกินที่จะจับเวลาได้ว่า เดินทางด้วยความเร็วเท่าไร สำหรับปุถุชน แม้ว่าบางครั้งจิตจะเป็นกุศล (กุศลจิต) แต่จิตโดยส่วนใหญ่ของปุถุชน ก็เป็นอกุศล (อกุศลจิต) แต่ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ต่างก็เกิดดับ สลับกันบ้าง ด้วยเหตุ ด้วยปัจจัยต่างๆ แล้วก็ทำหน้าที่สั่งสม ทั้งความดี หรือความไม่ดี จากจิตขณะหนึ่ง ไปสู่จิตอีกขณะหนึ่งอยู่เสมอ โดยที่เราไม่รู้ตัวเพราะอวิชชา หรือความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเราใช้คำว่า การเดินทางของจิต ในรูปหรือนาม ก็อาจจะทำให้เราเกิดความเข้าใจผิดได้ว่า จิตมีดวงเดียว ยังเดินทางไปเรื่อยๆ ทุกขณะ แล้วรอเพียงเวลา ที่จิตจะไปรู้นามหรือไปรู้รูปที่ปรากฎได้ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น จิตเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ เมื่อรูปหรือนามใด เกิดขึ้นปรากฏให้จิตรู้ได้ในขณะใด ขณะนั้น รูปหรือนามนั้นก็เป็นอารมณ์ของจิตได้ แม้แต่สิ่งที่ไม่ใช่รูปหรือนาม เช่น บัญญัติ (ชื่อต่างๆ ) ซึ่งไม่มีสภาพที่เกิดดับ แต่ก็เป็นอารมณ์ที่จิตรู้ได้เช่นกัน และก็เสมือนรู้ได้เร็วและคล่องกว่าการรู้รูปนามเสียด้วย หากท่านจะลองคิดถึงคำว่า "เงินในกระเป๋าตัง" แล้วก็คิดถึง "เงินในบัญชีธนาคาร" จิตที่คิดถึงเงินต่างที่ เกิดขึ้นคนละขณะ แต่ความเร็วในการเกิดเท่ากัน ต่างก็มี เจตสิกเกิดร่วมด้วย รวมทั้งมีบัญญัติเป็นอารมณ์ จากนั้น ก็ดับไปอย่างรวดเร็วทั้งจิต และเจตสิกในแต่ละขณะ แต่ที่ดูเหมือนว่าจะเร็วไม่เท่ากัน เพราะเหตุว่า ยังมีอกุศล เจตสิกที่เป็นเหตุ ที่ปรุงแต่งจิต ให้ยังคิดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่เป็นของเราอยู่ จะคิดมากในเรื่องเงินในกระเป๋าตัง หรือคิดน้อยในเรื่องเงินในบัญชีธนาคาร ก็เป็น เพียงแค่สภาพจิตที่คิดเท่านั้น จริงๆ เงินไม่มีสภาพจริงที่ปรากฏ การคิดอย่างเดียว จึงไม่ใช่วิธีที่จะประจักษ์ขณะของจิต ที่รู้รูปหรือนามได้ แต่สติที่ระลึกถึงสภาพของจิตที่คิดต่างหาก ที่จะเป็นปัจจัยให้ประจักษ์นามธรรมที่คิดได้ รวมทั้งสภาพของรูปและนามอื่นๆ โดยทั่วด้วยเช่นกัน เหตุนี้ จึงต้องศึกษาพระอภิธรรม ให้รู้ถึงเรื่องของจิต เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกในขั้นปริยัติก่อนครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 21 ก.ย. 2550

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 11 เม.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ