รู้จักธรรม ไม่ใช่รู้ชื่อธรรม

 
บ้านธัมมะ
วันที่  28 ก.พ. 2567
หมายเลข  47547
อ่าน  9

อ.กุลวิไล สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ หรือคิดชอบ เป็นอย่างไร

ท่านอาจารย์ ไม่ทราบชื่อนี้น่าสนใจแค่ไหน “สัมมาสังกัปปะ” มีชื่อเยอะในพระไตรปิฎก น่าสนใจทั้งนั้นเลย ชื่อแปลกๆ และคืออะไร คืออะไร คืออะไร ขณะนี้แม้สภาพธรรมที่เป็นสภาพธรรมนั้นกำลังเกิดดับก็ไม่รู้ แต่ก็ไปชอบใช้คำซึ่งยังไม่เข้าใจ คือคำว่า “สัมมาสังกัปปะ” ที่ได้ฟังธรรมมาแล้วทั้งหมด รู้แค่ไหน หรือไม่รู้เลย หรือรู้บ้าง รู้จักธรรม ไม่ใช่รู้ชื่อธรรม

ที่ได้ฟังมาทั้งหมด เป็นชื่อของธรรมทั้งนั้น ทุกชื่อ จักขุวิญญาณ ภาษาไทยก็คือเห็นธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เข้าใจตัวธรรม ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อที่ไม่คุ้นหู แต่ความหมายเดียวกัน อย่างจิตเห็น ชัดเจนมาก เห็น ไม่ใช่คิดเลย กำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นในขณะนั้นใช้คำภาษาบาลีว่าอย่างหนึ่ง แต่ภาษาไทยก็คือสภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้

เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ตรง ฟังธรรมมาก มีชื่อมาก เข้าใจแค่ไหน หรือรู้จักธรรมจริงๆ หรือไม่ แม้แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตากับเห็นซึ่งกำลังเห็น บางคนก็คิดว่า พระผู้มีพระภาคไม่ได้ให้รู้จักสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ บางคนก็กล่าวว่า จะรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็งไปทำไม แต่ถ้าไม่รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง จะรู้ธรรมอะไร

นี่ก็แสดงให้เห็นความละเอียดของธรรมว่า อย่าเพิ่งไปถึงคำซึ่งขณะนี้มี หรือไม่ ก็ยังไม่รู้เลย แล้วจะมีได้อย่างไร แล้วทำไมจึงชื่อว่า “สัมมาสังกัปปะ” จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องที่ศึกษาได้ อ่านได้ แต่ที่จะรู้ลักษณะนั้นจริงๆ มิใช่เพียงแต่จำชื่อ หรือเข้าใจได้ ไม่ทราบว่า ผู้ถามได้ยินคำนี้จากไหน “สัมมาสังกัปปะ”

อ.กุลวิไล จากการศึกษา เพราะยังใช้คำว่า “ความดำริชอบ” ด้วย

ท่านอาจารย์ แล้วดำริคืออะไร เพราะเหตุว่าฟังเรื่องของสภาพธรรมมากเพื่อให้รู้จักตัวธรรมเดี๋ยวนี้ ที่กำลังมี มิฉะนั้นการฟังเรื่องราวของธรรมมากๆ จะมีประโยชน์อะไร ฟังทุกวันก็เป็นเรื่องราวของสภาพธรรม ทั้งๆ ที่ตัวจริงของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ก็กำลังมี กำลังปรากฏ ฟังเพื่อเข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริงในขณะนี้ หรือไม่

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะได้ยินชื่ออะไรอีกมากมาย ก็คืออยากให้เข้าใจให้ถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมที่มี อย่างเวลาใช้คำว่า “สติปัฏฐาน” หรือใช้คำว่า “สัมมาสติ” เหมือนที่ว่า สัมมาสังกัปปะ ลักษณะของสภาพธรรม ๒ อย่างต้องต่างกัน สัมมาสติ ชื่อหนึ่ง สัมมาสังกัปปะ อีกชื่อหนึ่ง แล้วก็เป็นสภาพธรรมที่ต่างกันด้วย แต่ว่าขณะนี้ที่กำลังเข้าใจธรรม เข้าใจขณะนั้น มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย หรือไม่

ในการเข้าใจสัมมาสังกัปปะได้ ไม่ใช่เพียงเข้าใจชื่อ หรือคำ แต่ต้องเข้าใจว่า ในขณะนี้ที่ได้ยินคำว่า “จิต” ขณะนี้เข้าใจสภาพของจิต จิตหนึ่งจิตใด หรือไม่ เอาจิตเดียวก็ได้ ถ้ายังไม่มีการที่จะสามารถเข้าใจได้ ก็เป็นอันว่า จะรู้จักสัมมาสังกัปปะเพียงชื่อเท่านั้นเอง เพราะเหตุว่าแม้สภาพธรรมกำลังมี แล้วการฟังเข้าใจด้วยว่า ขณะนี้ที่เห็นเป็นธรรม แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นแล้วกำลังเห็น ตัวจริงๆ เลย คือ ขณะนี้มีธาตุนี้เกิดขึ้นกำลังเห็น เป็นนามธาตุ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้วแต่ว่าจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยระดับไหน มากน้อยแค่ไหน เช่น ในขณะที่ฟังเข้าใจ เข้าใจไม่ใช่สติ แต่ขณะที่เข้าใจมีสติเกิดร่วมด้วย แล้วก็มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย

แต่ก็ไม่ใช่สัมมาสังกัปปะที่เกิดพร้อมสัมมาสติ ที่เกิดพร้อมกับสัมมาทิฏฐิ และมรรคมีองค์อื่นๆ เพราะเหตุว่าเพียงฟังเรื่องราว แต่ยังไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้นแม้แต่สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ก็ฟังเพื่อให้เข้าใจความหลากหลาย และความต่างกันว่า สภาพธรรมที่ใช้ชื่อต่างๆ มากมาย ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นในขณะนั้น เพราะฉะนั้นในขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ เช่น เห็น ถ้ายังไม่รู้ลักษณะของเห็น จะใช้เพียงชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ หรือสัมมาสติ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

เพราะฉะนั้นแม้วิตกเจตสิกที่เกิดทำให้ตรึก หรือนึก หรือจรดในอารมณ์ หลังจากที่จิตเห็น จิตได้ยินดับไปแล้ว ก็มีหลายระดับขั้น เพราะว่าปกติธรรมดา หลังจากที่เห็นแล้ว ต้องคิด เป็นไปตามความเป็นจริง คือ ปัจจัยที่เมื่อจิตเห็นดับไปแล้ว จิตอื่นเกิดต่อ ก็จะมีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วยโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นจะใช้ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ หรือไม่

นี่ก็เป็นเพียงที่ว่า เมื่อได้ยินคำไหน อย่าเพิ่งรีบที่จะเข้าใจ หรืออย่าเพิ่งรีบใช้คำนั้น โดยที่ยังไม่รู้ความละเอียดว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมนั้นได้แก่ เจตสิก หรือจิตประเภทไหน นี่ก็คือชื่อ ถ้ายังไม่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ ก็คือได้ยินแต่เพียงคำแปล

พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 433


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ