การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่

 
nattawan
วันที่  27 ก.พ. 2567
หมายเลข  47517
อ่าน  130

การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ทำได้ยาก คือจะทดแทนคุณที่ท่านมีต่อเราทั้งหมด ไม่ได้ เพราะพระคุณนั้นมีมากล้น แต่การยังให้ท่านตรัสรู้ธรรมเป็นพระอริยบุคคล ชื่อว่า ได้ทดแทนคุณท่านที่สมควร หากท่านศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมอยู่แล้วเราสามารถ ตอบแทนคุณของท่านได้ตามสมควร โดยเฉพาะการให้วัตถุสิ่งของที่ดีแก่ท่าน การให้ เงินทองแก่ท่าน การปรนนิบัติท่าน ช่วยเหลือรับใช้กิจการงานของท่านทุกอย่าง เมื่อ ท่านชราและป่วยไข้ควรดูแลจนกว่าท่านจะตาย เมื่อท่านตายไปแล้ว ควรทำบุญและ อุทิศส่วนบุญให้ท่านอนุโมทนา

ดังข้อความในสิงคาลกสูตรทีฆนิกายตอนหนึ่งว่า ...

[๑๙๙] ดูก่อนคฤหบดีบุตร มารดาบิดา เป็นทิศเบื้องหน้า อันบุตรธิดาพึงบำรุงด้วย สถาน ๕ คือ ด้วยตั้งใจว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราจักเลี้ยงท่านตอบ ๑ จักรับทำกิจของ ท่าน ๑ จักดำรงวงศ์ตระกูล ๑ จักปฏิบัติตนให้เป็นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก ๑ เมื่อท่าน ล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ๑

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 27 ก.พ. 2567

มารดาบิดาเป็นบุพพการี คือ เป็นผู้ที่กระทำอุปการะเลี้ยงดูบุตรมาก่อน กล่าวได้หลายนัยว่ามารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร มารดาบิดาเป็นเทวดาของบุตร มารดาบิดาเป็นครูคนแรกของบุตร มารดาบิดาเป็นอาหุเนยยบุคคลของบุตร (คือ เป็นบุคคลผู้ควรแก่ของที่บุตรนำมาบูชา) มารดาบิดาเป็นบุคคลผู้ที่ควรได้รับการเลี้ยงดู การเอาใจใส่ดูแล การให้ความสะดวกสบาย การให้ความอบอุ่นทั้งทางกายและทางใจ และการเคารพสักการะบูชาจากบุตรอยู่ตลอดเวลา ถ้ากล่าวถึงพระคุณของมารดาบิดาแล้วย่อมมีเป็นเอนกประการ มีการเลี้ยงดูอย่างดี พร่ำสอนไม่ให้ทำความชั่ว ให้ตั้งอยู่ในความดี ให้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่างๆ เพื่อชีวิตจะได้ไม่ลำบากเดือดร้อนในภายหน้าเป็นต้น เมื่อมารดาบิดาเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อบุตรเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่บุตรจะต้องมีความกตัญญูกตเวที คือ รู้ถึงพระคุณที่มารดาบิดากระทำแก่ตนแล้วกระทำตอบแทนท่าน เท่าที่จะเป็นไปได้ตามกำลังความสามารถของตนเอง และพร้อมทุกเมื่อทุกเวลา ทุกโอกาสที่จะกระทำสิ่งที่ดีตอบแทนท่า ถ้าหากว่าบุตรคนใดไม่รู้คุณอีกทั้งไม่ทำการตอบแทนพระคุณของมารดาบิดา ย่อมชื่อว่าเป็นบุตรอกตัญญู ไม่ควรอย่างยิ่งเลยที่จะเป็นคนอกตัญญู เพราะคนอกตัญญู ย่อมไม่พบหนทางแห่งความเจริญในชีวิต ประการที่สำคัญที่ควรพิจารณา คือ ถ้าบุตรธิดา คนใด มีความเข้าใจธรรม ด้วยแล้ว ยิ่งจะเกื้อกูลแก่ท่านทั้งสองได้เป็นอย่างมาก คือ สามารถกระทำการตอบแทนท่านได้อย่างดีที่สุด นั่นก็คือ ให้ท่านได้เข้าใจธรรม ได้ฟังในสิ่งที่มีจริง ที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับท่านทั้งสองได้อย่างแท้จริง เพราะถึงอย่างไรแล้ว บุตร ธิดา มารดาบิดา ก็จะต้องพลัดพรากจากกันอยู่ดี เมื่อความตายมาถึง [ความจริงเป็นอย่างนี้จริงๆ] แต่สิ่งที่สะสมเก็บรักษาอย่างดีอยู่ในจิต คือ กุศลธรรมพร้อมทั้งปัญญา เท่านั้น ที่จะสืบต่อติดตามไปเป็นที่พึ่งในชาติต่อๆ ไปได้
www.dhammahome.com

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 27 ก.พ. 2567

ขณะประเสริฐซึ่งหาได้ยาก

เพราะฉะนั้นในขณะนี้ซึ่งทุกคนมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะเข้าใจมากน้อยเท่าไร ก็ต้องฟังต่อไปอีกเรื่อยๆ ชาตินี้ยังไม่ถึงการรู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคล ชาติหน้าต้องฟังอีก ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม เกิดในประเทศที่สมควร ก็ขอจงฟังพระธรรมต่อไป จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นขณะที่หายากถ้าจะพิจารณาดูแต่ละชีวิตในโลกที่จะได้ขณะที่ประเสริฐ คือ ขณะที่พระผู้มีพระภาคทรงอุบัติขึ้น ๑ ขณะที่ได้เกิดขึ้นในปฏิรูปเทส ๑ คือ ในประเทศที่มีพระพุทธศาสนา ขณะที่ได้สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก ๑ ขณะที่อวัยวะทั้ง ๖ ไม่บกพร่อง ๑
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกท่านก็เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยขณะเหล่านี้ ก็ขอขณะเหล่านี้อย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย ตามข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกาย ฉักกนิบาต มาลุงกยปุตตเถรคาถาที่ ๕

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 27 ก.พ. 2567

โลก แตกทำลายด้วยเหตุ 3 ประการ

1. แตกทำลาย ด้วยไฟ คือ โทสะ มนุษย์หรือสัตว์โลกมีโทสะมาก
มีพระอาทิตย์ ขึ้นมาถึง 7 ดวง
เผาทำลายหมด ตั้งแต่มหานรก ขึ้นไปจนถึงพรหมโลกชั้นปฐมฌาน

2. แตกทำลาย ด้วยน้ำ คือ ราคะหรือโลภะ มนุษย์หรือสัตว์โลก มีราคะหรือโลภะมาก
เกิดเป็นเมฆฝนกรด ตกท่วมโลก กัดกร่อนทำลายลงไป ตั้งแต่ มหานรก
ไปจนถึงพรหมโลกชั้นทุติยะฌาน

3. แตกทำลาย ด้วยลม คือ โมหะ มนุษย์หรือสัตว์โลก มีโมหะมาก
เกิดเป็นลมพายุ พัดทำลายลงไป ตั้งแต่ มหานรกขึ้นไปจนถึงพรหมโลก
ชั้นตติยะฌาน

เมื่อโลกแตกทำลายรวมทั้งจักรวาลอันเป็นภพภูมิน้อยใหญ่ก็ถูกทำลายด้วย
สัตว์และจิตวิญญาณเหล่านั้น จะหายไปอยู่ที่ไหน?

ขอบพระคุณครับ

แสดงความคิดเห็น

khampan.a
วันที่ 27 ก.พ. 2559 12:06 น.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คิดในสิ่งที่ไกลแสนไกล ประโยชน์ที่ควรจะเกิดขึ้น คือ ขณะนี้ ยังต้องท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ ขณะที่มีค่า ประเสริฐที่สุด คือ การมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า ครับ

มหากัป คือ ระยะเวลาที่โลกเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 27 ก.พ. 2567

พระภิกษุจะต้องน้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้อง คล้อยตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ความประพฤติทั้งหมด เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ถ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะอวดคุณวิเศษ ไม่ใช่อาบัติปาราชิก แต่ก็ต้องพิจารณาว่า คำใดควรพูด หรือ ไม่ควรพูด สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป เมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็ตั้งต้นที่จะสะสมน้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องดีงามต่อไป เพราะเหตุว่า เพศบรรพชิตจะต้องเป็นเพศที่ขัดเกลาจริงๆ ทั้งทางกาย ทางวาจาและใจ

อ่านเพิ่มเติม ...

ผมเข้าข่าย อวดอุตริมนุษยธรรมหรือไม่ครับ (เครียดมากๆ ครับ)

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 27 ก.พ. 2567

🍭สังโยชน์คือสภาพธรรมที่เป็นอกุศลผูกสัตว์ไว้ในวัฏฏะ
🌱สังโยชน์ในชีวิตประจำวันอยู่ที่ไหน อย่างไร?
ต้องรู้ว่าอะไรที่ผูกร้อย สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่ามีเรา "เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" แต่เพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเราและติดข้อง แท้จริงเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ตอนหลับไม่มีเห็น พอตื่นก็เห็นแล้วติดข้อง ไม่รู้เลยว่าเพียงเกิดแล้วดับ เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน และยึดมั่นในสิ่งที่คิดว่าเป็นเรามากขึ้นเรื่อยๆ
🌴ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเห็นประโยชน์ของความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ แต่ผู้ที่เห็นประโยชน์ แสนเสียดายใช่ไหม? ตลอดชีวิตที่เกิดมา สุขบ้างทุกข์บ้าง แล้วก็หมดไป แต่มีผู้ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีว่าเพียงเกิดและดับไป เป็นไปแล้วตามเหตุตามปัจจัย แม้ว่ายากแสนยากที่จะเข้าใจ แต่ว่าควรฟังไหม เพราะขณะที่เข้าใจนั้นละความไม่รู้
🍀"รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ว่าสิ่งที่มีจริงแล้วปรากฏให้เห็น โลกนี้มีรูปแน่นอน เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครทำให้เกิดได้ ไม่ใช่ของใคร และรูปไม่รู้อะไร มีชั่วคราวแสนสั้นแล้วดับไป ไม่สามารถคงอยู่ได้ แต่จำไว้ว่ามีด้วยความเป็นเราเพราะไม่รู้และติดข้องมาแสนนาน
🍃สังโยชน์ละได้ด้วยปัญญาที่เห็นว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพียงธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับไป เพียวชั่วคราว รูปที่คิดว่ายั่งยืนมีอายุเพียงแค่จิต ๑๗ ขณะ มีจริงเพียงชั่คราว ควรอบรมเจริญปัญญาเพื่อละคลายความเป็นเรา ถ้ายิ่งผูกพันด้วยความไม่รู้ ก็ไม่สามารถออกจากสังสารวัฏฏ์ได้
🌿จำด้วยความเป็นเราและติดข้อง ในสิ่งที่ไม่มี แล้วมี แล้วไม่มี ชั่วคราวสั้นแสนสั้น ไม่เที่ยง ไม่เหลือเลย
🌾ถ้าไม่มีเรา จะอิสสาไหม?
ถ้าเป็นธรรม จะริษยาไหม?
ถ้ายังมีตัวเรา ก็ยังมีความเห็นผิดอยู่ ไม่สามารถออกจากสังสารวัฏฏ์ได้
🍂ถ้าฟังธรรมว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ควรรู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ รู้แค่นี้ทำให้เกิดปัญญาได้จริงหรือ? ด้วยความลังเลสงสัยในหนทางว่าจะพ้นไปจากวัฏฏะได้อย่างไร วิจิกิจฉาสังโยชน์จึงทำให้ติดในวัฏฏะอยู่อย่างนี้ (วิจิกิจฉาดับได้เมื่อเป็นพระโสดาบัน)

สนทนาธรรมที่มศพ.
เช้า ๒๗ ก.พ. ๕๙

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 1 เม.ย. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ