ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๗

 
khampan.a
วันที่  27 ส.ค. 2566
หมายเลข  46466
อ่าน  2,120

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๗



~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วทำไมทรงแสดงธรรม? เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผิดตรงไหน ไม่มีคำไหนผิดเลย เพราะฉะนั้น ก็ใคร่ครวญไตร่ตรองทุกคำที่ได้ฟัง เพราะเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

~ ถ้าไม่มีการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เพราะว่า การที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่การเห็นพระพุทธรูปหรือว่าการอ่านหนังสือพระไตรปิฎก แต่ว่า ต้องเป็นความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษา ซึ่งแม้ว่าเวลาจะผ่านมา ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ลึกซึ้ง ต้องเริ่มด้วยการที่ว่าขณะที่กำลังฟัง คำเดียวเข้าใจจริงๆ หรือยัง ขอให้เข้าใจอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่เข้าใจผิด ว่าเป็นเรา นั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

~ อาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึ่งคำสอนของพระองค์ เพื่อจะรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก

~ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเข้าใจหรือ และคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เหมือนกับคำของคนอื่นเลยทั้งสิ้น เพราะทุกคำของพระองค์ เกิดจากพระปัญญาที่ลึกซึ้ง

~ ถ้าเราฟังธรรม แล้วเราจะไปเป็นตัวตนไปทำอะไรไหม นอกจากรู้ตรงตามความเป็นจริงว่า สิ่งเดียวที่จะทำในชาตินี้ คือ ฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจ แล้วปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา ถ้าไม่ฟังก็ไม่เข้าใจ

~ เรารู้ไหมว่า จากการฟังพระธรรมวันนี้ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจไป ก็จะถึงวันนั้น ที่พอฟังแล้วก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม

~ แต่ละขณะเดี๋ยวนี้ มีค่ายิ่ง เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีขณะนี้ ขณะต่อไปจะมีไหม ที่มีมากๆ ก็มาจากแต่ละขณะนี้เอง เพราะฉะนั้น ประมาทแม้เพียงหนึ่งขณะก็ไม่ได้ ไม่ว่ากุศลประเภทใด แม้แต่การฟังธรรม

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะได้ยินได้ฟัง เหมือนคำที่จะเปิดเผยสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งๆ ที่มีในขณะนี้ ให้รู้ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

~ การที่คนอื่นจะได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ สำคัญ ถ้าเราสามารถกระทำได้ คือ มีการคิดถึงคนอื่นมากขึ้น เสียสละมากขึ้น และคิดถึงตัวเองน้อยลง จนไม่มีเวลาที่จะมานั่งคิดถึงตัวเอง จะทำประโยชน์ทั้งเขาและเรา เพราะว่าไม่ต้องมานั่งคิดว่า เดี๋ยวเราจะป่วยไข้ เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะเป็นอย่างนี้

~ ขณะที่กำลังให้ทาน ไม่เหมือนคิดอย่างอื่น ไม่เหมือนคิดว่าจะไปซื้อของไว้สะสม แต่นี่คิดที่จะให้เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ขณะนั้นเพราะมีสภาพธรรมที่ระลึกได้เป็นไปในการที่จะสละสิ่งที่เรามี เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้ค่อยๆ มีความเห็นที่ถูกต้อง เกิดปัญญา มีความรู้ ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรหรือไม่ควร ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่า ถ้าหลงเข้าใจ ว่า สิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ดี คนนั้นก็ทำชั่ว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ใดๆ เลย

~ ที่กล่าวถึงความละเอียดของสภาพธรรมที่เป็น จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้) ก็เพื่อให้เข้าใจถึงความไม่ใช่เรา

~ ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราด้วย ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้

~ มีความเข้าใจเกิดขึ้น ก็เพราะแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ฟัง ลองขาดคำหนึ่ง จะเข้าใจไหม? ก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะมีประโยชน์มาก

~ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริง ใครไปทำให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะเกิดตามเหตุตามปัจจัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) แค่ประโยคนี้ ถ้าเราไม่ทิ้ง ก็จะคุ้มครองเราไม่ให้ตกไปในทางที่ผิด

~ เห็นเป็นเห็น เห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เห็นต้องเป็นเห็น เห็นเป็นคิดไม่ได้ เห็นเป็นคนไม่ได้ เห็นเป็นนกไม่ได้ ถ้าเอารูปนกออก เอารูปปลาออก เอารูปคนออก เห็นก็ต้องเป็นเห็น อย่างไรก็ต้องเป็นเห็น เป็นอื่นไม่ได้ นี่คือความเข้าใจมั่นคงขึ้นว่าธรรมเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ของใครเลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

~ ผู้ที่ตรงต่อความจริง สามารถละทิ้งความเห็นผิดได้ เป็นที่สรรเสริญ เป็นที่ยกย่อง ไม่ใช่เป็นผู้ที่ใครจะติเตียน กล้าที่จะเป็นอย่างนั้นไหม? เพราะบางคน ผิด ก็ไม่กล้าที่จะทิ้ง รู้ว่าจริง ก็ไม่กล้าที่จะฟัง

~ ความเห็นผิดและอกุศลทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะสะสม แต่ทั้งหมด ไม่ใช่เรา ปัญญาที่เข้าใจความจริงเท่านั้นจึงมีกำลังที่สามารถที่จะทิ้งสิ่งที่ผิดได้

~ เพียงหนึ่งขณะจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ที่เรียกว่าตาย ไม่นานเลย แค่หนึ่งขณะจิตนี้เกิดขึ้นแล้วดับ จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อเป็นชาติหน้าต่อไปทันที ไม่มีทรัพย์สมบัติที่เคยมีในชาตินี้ ไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา เพราะฉะนั้น ใครจะแสวงหาสักเท่าไหร่ก็ตาม ไม่มีทางที่จะเป็นเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย และพร้อมที่จะจาก คือ หมดสิ้นไปเมื่อไหร่ได้หมดเลย

~ หนึ่งชาติที่เกิดมาเป็นคนนี้ แล้วก็จะเป็นคนนี้ได้อีกไม่นาน ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นคนนี้นานเท่าไหร่ ต่อไปก็จะเป็นคนใหม่ เพราะฉะนั้น คนใหม่ก็มาจากคนนี้ คนนี้ทำอะไรไว้สืบเนื่องมาจากแสนโกฏิกัปป์ ก็จะปรุงแต่งให้ขณะต่อไปจากโลกนี้ สู่โลกอื่น เป็นคนใหม่ และไม่รู้ว่ากรรมที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมด กรรมไหนจะให้ผล เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ละเว้นแต่ละโอกาส แต่ละขณะมีค่าอย่างยิ่งที่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะว่า ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งขณะ จะไม่มีทางที่จะเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

~ พอเห็นใครทำไม่ดี ธรรมต่างหากที่สะสมมาที่เป็นอย่างนั้น และเขาจะต้องได้รับผลที่ไม่ดีด้วย จะเมตตาไหม จะเห็นใจไหม จะพยายามให้เขาเป็นคนดีไหม?

~ คนที่ถูกโกรธ สบายมากไม่เดือดร้อนเลย คนโกรธเสียตลอด เพราะเหตุว่า อกุศลจิตเกิดขึ้น ทำร้าย อกุศลเจตสิกทำร้ายจิต ในขณะนั้นเอง และยังจะทำร้ายคนอื่นต่อไปอีก เพราะเขามีความรุนแรงขึ้น แล้วอกุศลนั้น อยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในจิตของคนนั้นแหละ ไม่ไปอยู่ที่จิตของคนอื่นเลย

~ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือการรู้ความจริง ซึ่งรู้เองไม่ได้ แต่ต้องฟังคำของพระองค์ด้วยความเคารพ แล้วไตร่ตรอง ค่อยๆ รู้จักพระองค์ขึ้น

~ ถ้าเป็นผู้ไม่เห็นโทษของความไม่ดี จะละความไม่ดีได้ไหม และความไม่ดีต่างหากที่เป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ต่างๆ

~ ปัญญาจะนำไปในสิ่งทั้งปวงที่ดีงามที่เป็นประโยชน์ จนกระทั่งสามารถที่จะหมดอกุศลได้

~ เรื่อง "ผิด" มีมาก เพราะอะไร? เพราะความไม่รู้เนิ่นนานมาเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์ แล้วก็ยังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ยากเหลือเกินที่จะหมดไปได้

~ ความเข้าใจที่ละเอียดขึ้นๆ เท่านั้นที่จะประคับประคองไม่ให้ไปในทางที่ผิด เพราะ "ผิด" ง่ายมาก เพราะว่าสะสมมา แต่ปัญญาที่สะสม ก็สามารถรู้ได้ จึงสามารถทำให้พ้นจาก "ผิด" นั้นได้

~ ฟังเพื่อเข้าใจ ความเข้าใจเท่านั้นที่จะละความเห็นผิด

~ ทุกขณะมีค่า ชีวิตที่ยังเป็นไปอยู่ ที่ยังไม่จากโลกนี้ไป ประโยชน์สูงสุด ก็คือ เพื่อเข้าใจพระธรรมและให้คนอื่นเข้าใจด้วย

~ อกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ทำให้ออกจากสังสารวัฏฏ์



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๒๖



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
jaturong
วันที่ 27 ส.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 27 ส.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
มังกรทอง
วันที่ 27 ส.ค. 2566

ธรรมมีมนัสพร้อม รับฟัง
อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้
จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ
กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Jans
วันที่ 28 ส.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ส.ค. 2566

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ