สิ่งใดที่ปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิด

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ก.ค. 2566
หมายเลข  46226
อ่าน  27

ผู้ฟัง ผมยังข้องใจคำว่ารูปเกิดดับ กับนามเกิดดับ ที่จริงนามเกิดดับพอจะเข้าใจได้แต่รูปในขณะที่ตาเห็นรูปแล้วหูได้ยินเสียง สีที่ตาเห็นก็ดับ แต่ว่าที่จริงแล้ว รูปก็ยังคงอยู่ใช่ไหม ที่ดับไม่ใช่รูป แต่หมายถึงว่านามดับ ถึงได้สรุปว่ารูปดับ

ท่านอาจารย์ ลืมความคิดเดิม แต่ควรคิดถึงเหตุผล สิ่งใดที่ปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิดหรือเปล่า แน่นอนใช่ไหม เวลาที่กำลังกระทบแข็ง แข็งปรากฏหมายความว่าแข็งต้องเกิดหรือเปล่า เราไม่ได้คิดถึงโต๊ะ ไม่ได้คิดถึงอะไรเลย ขณะนั้นก็จะมีกายทวารหรือกายปสาทซึ่งเป็นรูปที่เกิดจากกรรมที่สามารถจะกระทบกับเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ที่กระทบกาย ไม่ว่าเย็นหรือร้อน ต้องเกิดกระทบกายปสาท กายปสาทก็ต้องเกิดแล้วก็ดับด้วย เรามองโลกเหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเกิดดับสืบต่อมั่นคง เป็นสิ่งที่หนาแน่นที่ใหญ่โต แต่ความจริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียด แม้รูปก็ต้องมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น บางรูปเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฐานก่อตั้งให้รูปนั้นเกิดขึ้น บางรูปเกิดเพราะจิต บางรูปเกิดเพราะอุตุความเย็นความร้อน บางรูปก็เกิดเพราะอาหาร และรูปแต่ละกลุ่มก็เล็กมาก เพราะว่าอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่โดยละเอียดยิบจริงๆ แม้แต่ในโต๊ะนี่ก็มีอากาศธาตุแทรกคั่นด้วย ถ้าเราไม่คิดถึงโต๊ะเลยแต่ว่ามีสิ่งที่กระทบกายปสาท สิ่งนั้นต้องเกิดแล้วก็ดับด้วย

พระธรรมที่ทรงแสดงไว้จากการตรัสรู้ไม่ใช่จากการคิดไตร่ตรองแล้วก็แสดง แต่ว่าเพราะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมซึ่งแต่ละคนก็จะเริ่มต้นจากเหตุผล สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะไม่ปรากฏเลย แค่นี้ก็ทำให้เราสามารถจะรู้ได้ว่าปัญญาจริงๆ สามารถจะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้จึงจะเป็นการรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคลใด ซึ่งในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานเมื่อทรงแสดงคำก็มีผู้ที่ได้สะสมปัญญาในอดีตมามากสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงได้ แต่ว่าผู้ที่ยังไม่ได้สะสมปัญญาถึงระดับนั้นก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาตั้งแต่ขั้นการฟัง พิจารณาแล้วมีความมั่นคงในความเป็นจริงของเหตุผลด้วย เพราะฉะนั้นเวลานี้คุณวิจิตรมีฟันไหม

ผู้ฟัง มีฟัน

ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่ กำลังเห็นมีฟันไหม

ผู้ฟัง กำลังเห็นก็ไม่มีฟัน

ท่านอาจารย์ กำลังได้ยินมีฟันไหม

ผู้ฟัง ไม่มีฟัน

ท่านอาจารย์ กำลังได้กลิ่นมีฟันไหม

ผู้ฟัง ไม่มีฟัน

ท่านอาจารย์ กำลังลิ้มรส

ผู้ฟัง ไม่มีฟัน

ท่านอาจารย์ กำลังกระทบสัมผัสสิ่งที่อ่อนหรือแข็ง

ผู้ฟัง มีฟัน

ท่านอาจารย์ มีฟันเหรอ มีฟันหรือมีแข็ง

ผู้ฟัง มีแข็งๆ คือฟัน

ท่านอาจารย์ แข็งคือโต๊ะ หรือเปล่า

ผู้ฟัง แข็งคือโต๊ะ

ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นฟันกับโต๊ะก็เหมือนกัน

ผู้ฟัง ก็ไม่เหมือนกันสัมผัสกันคนละที่

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแข็งคือแข็งไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน โลกนี้หรือโลกไหนก็ตาม ใครเปลี่ยนลักษณะของแข็งไม่ได้เลย แต่ขณะใดที่แข็งไม่ปรากฏ และพอถามว่าคุณวิจิตรมีฟันไหม ถ้าตอบว่ามี ถูกหรือผิด ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ได้ปรากฏเลย ขณะนี้มีหัวใจไหม

ผู้ฟัง มองไม่เห็น

ท่านอาจารย์ มีหรือไม่

ผู้ฟัง น่าจะมี

ท่านอาจารย์ คิดว่ามี เข้าใจว่ามี จำได้ว่ามี นั่นคืออัตตสัญญาความทรงจำว่ามีเราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า แม้กำลังเห็นก็เข้าใจว่ากำลังนั่งแล้วเห็น ถ้ากำลังยืนแล้วเห็นก็เข้าใจว่ากำลังยืนแล้วเห็น แต่จริงๆ แล้วโลกจริงๆ ก็คือชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้น มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วดับ แต่ว่าเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งเหมือนนายมายากลที่ทำให้คิดว่ามีคนจริงๆ มีโลกจริงๆ มีทุกอย่างจริงๆ แต่ตามความเป็นจริงเพราะมีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจต่างหาก เวลาที่เห็นแล้วคิด เวลาได้ยินแล้วคิด เวลาได้กลิ่นแล้วคิด เพราะฉะนั้นความคิดทำให้ทรงจำสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมกันเป็นสิ่งที่เที่ยง แต่จริงๆ แล้วทุกขณะไม่เที่ยง ขณิกมรณะเกิดแล้วก็ดับไป นี่คือปัญญาที่อบรม และก็ประจักษ์ได้จริงๆ เพราะว่าผู้ที่ประจักษ์แล้วมี แต่ว่าก่อนจะประจักษ์ท่านเหล่านั้นก็เหมือนผู้ที่กำลังเริ่มต้นที่กำลังฟังที่กำลังค่อยๆ เข้าใจ

ผู้ฟัง แต่ถ้าอยู่ในโลกสมมติ ถ้าตอบว่าคุณไม่มีฟัน อย่างนี้ก็จะน่าขำไหม

ท่านอาจารย์ กำลังอยู่ในโลกไหนใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะที่เราศึกษาธรรมเราอยู่ในโลกของความจริงแท้ ซึ่งแม้ไม่ต้องเรียกชื่อเลย สิ่งนั้นก็มีจริง เวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมหรือแม้ใครก็ตาม ขณะนั้นมีสภาพธรรมปรากฏปัญญา สามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกโดยไม่มีชื่อ เพราะว่าสภาพธรรมจริงๆ ที่มีจริงไม่ต้องเรียกชื่อใดๆ เลย สภาพธรรมนั้นก็ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เช่น เสียง เปลี่ยนเสียงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เห็น เปลี่ยนเห็นให้เป็นได้ยินไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะไม่เรียกว่าเห็น ก็กำลังเห็น เห็นกำลังทำหน้าที่ของเห็น แต่ถ้ามีปัญญาจริงๆ ก็สามารถที่จะประจักษ์ในธาตุแท้ของเห็น ว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เป็นนามธาตุ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ เวลาที่ศึกษาวิชาการอื่นเลย เราไม่สงสัยในรูปธาตุเป็นสิ่งที่มี เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นธาตุแต่ละธาตุ แต่นามธาตุเป็นสิ่งที่มีจริงใครก็มองไม่เห็น เพราะว่าเป็นธาตุรู้ รู้ที่นี่ไม่ใช่รู้อย่างปัญญา แต่สามารถจะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏให้รู้ เช่น ในขณะที่กำลังเห็น มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาปรากฏให้เห็นนั่นคือธาตุรู้ กำลังเห็น หรือจะใช้คำว่าจิต เจตสิก ก็ได้ ทรงใช้คำหลายคำเพื่อให้เราเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งนั้นมีจริง แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็น หรือจะกระทบสัมผัสได้เพราะเหตุว่าเป็นนามธาตุมีปัจจัยก็เกิดตามลักษณะของธาตุนั้นๆ แล้วก็ดับไป [สนทนาธรรมที่รัฐสภา ตอนที่ 065]

รับฟัง ...

สิ่งใดที่ปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิด


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ