ทาสีวิมาน เทพธิดาชั้นดาวดึงส์
ขณะนี้ถ้ามีสติรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจ ทีละเล็กทีละน้อยเป็นเดือนเป็นปี ความพากเพียรถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะแตกทำลายไปก็ตามที ก็หมายความว่าไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน จะปวด จะเมื่อย จะเจ็บ จะไข้ จะปวดศีรษะบ้าง ปวดท้องบ้าง ปวดฟันบ้าง สติก็สามารถที่จะเกิดขึ้นพิจารณาลักษณะของนามและรูปขณะนั้น
รับฟัง ...
ใน ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ จิตรดา วรรคที่ ๒ ทาสีวิมาน ซึ่งเทพธิดาชั้นดาวดึงส์นั้น ได้กล่าวถึงอดีตกรรมเมื่อครั้งเป็นทาสีหญิงรับใช้ เวลาที่เป็นมนุษย์เป็นอุบาสิกาของพระผู้มีพระภาค รักษาศีลมนสิการอยู่ในกัมมัฏฐาน ๑๖ ปี กัมมัฏฐานคือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการได้สำเร็จแก่นาง ด้วยอำนาจแห่งการมนสิการนั้น นางมีมนสิการมั่นอยู่ในจิตว่า แม้ร่างกายนี้จะแตกทำลายไปก็ตามที การที่จะหยุดความเพียรในการเจริญกัมมัฏฐานนั้นไม่มี นี่ในครั้งอดีตเป็นทาสี และเจริญกัมมัฏฐานอยู่ ๑๖ ปี ท่านที่เริ่มเจริญสติปัฏฐานจะเทียบกันได้ไหม อยากจะบรรลุมรรคผลเร็วๆ แต่ปรากฏว่าไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจในขณะนี้ ก็ละไม่ได้ บรรลุไม่ได้ แล้วท่านที่เจริญกัมมัฏฐานนี้ด้วยความเพียรที่มีมนสิการมั่นอยู่ในจิตว่า ถึงแม้ร่างกายนี้จักแตกทำลายไปก็ตามที การที่จะหยุดความเพียรในการเจริญกัมมัฏฐานนั้นไม่มี ยังต้องใช้เวลาถึง ๑๖ ปี แต่ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์
ขณะนี้ถ้ามีสติรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจ ทีละเล็กทีละน้อยเป็นเดือนเป็นปี ความพากเพียรถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะแตกทำลายไปก็ตามที ก็หมายความว่าไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน จะปวด จะเมื่อย จะเจ็บ จะไข้ จะปวดศีรษะบ้าง ปวดท้องบ้าง ปวดฟันบ้าง สติก็สามารถที่จะเกิดขึ้นพิจารณาลักษณะของนามและรูปขณะนั้น สำหรับเรื่องของอุบาสิกาก็ได้ยกตัวอย่างหลายตัวอย่างแล้ว ฉะนั้น ก็จะได้ยกตัวอย่างของอุบาสก เพื่อให้ท่านเห็นว่าผู้ที่ได้ถึงพร้อมด้วยอินทรีย์นั้น ไม่ว่าจะอยู่ในขณะไหน สถานที่ใด ก็สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ [ตอนที่ 18]

