ทำวิปัสสนา ตามแบบสมาธิ
ข้อความต่อไปท่านเขียนมาว่า
“เนื่องจากที่ผมได้รู้ ได้ยิน ได้ฟังว่า ทุกหนทุกแห่งที่สอนการปฏิบัติ โดยให้กำหนดอาการของอิริยาบถ ๔ ทุกแห่งแม้ในรายการวิทยุที่สอนวิปัสสนาตั้งหลายอาจารย์ก็สอนกันแบบนี้ เว้นรายการของอาจารย์เท่านั้น ผมก็เลยตื้อ บ้องตันเต็มที จึงอยากระบายความเข้าใจของผมที่ได้จากอาจารย์ผู้สอนการปฏิบัติให้อาจารย์และท่านผู้ฟังทั้งหลายได้ฟังไว้ เพื่อประดับความโง่หรือความฉลาด ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่ได้ตรวจสอบเทียบเคียงกับพระธรรมวินัย คือ เมื่อท่านอาจารย์สอนให้กำหนดดูอาการของรูปยืน เดิน นั่ง นอนนั้น ท่านก็อ้างที่ไปที่มาเหมือนกัน ไม่ได้สอนให้ทำส่งๆ ไปเลย เช่น การกำหนดดูอาการของรูปเดิน เป็นต้น ท่านบอกว่า เพียงรูปเดินนี้ก็มีรูปตั้งหลายๆ รูปมาประชุมกันขึ้นเป็นรูปเท้าที่เห็นด้วยตาอยู่ขณะนี้ คือ กัมมชรูปส่วนหนึ่งที่อาจเคลื่อนไหวไปได้ด้วยอำนาจของวาโยธาตุอันเกิดจากจิต และสอนให้รู้อีกว่า การเคลื่อนไหวกาย เช่น การเดินที่เคลื่อนไหวได้ด้วยอำนาจแห่งวาโยธาตุอันเกิดจากจิตนั้น
ในสติปัฏฐาน อรรถกถาแสดงไว้ว่า วาโยธาตุอันเกิดจากจิตนั้นซาบซ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้เคลื่อนไหวไป เรียกว่า เดิน ไม่ใช่เราเดิน เขาเดิน แต่รูปนามเป็นผู้เดิน ในอาการเดินด้วยอำนาจของจิตตชวาโยธาตุ ที่เรียกว่าให้ดูอาการของรูปเดินนั้น หมายความว่า ให้กำหนดดูวาโยธาตุที่ทำให้เท้าเคร่งตึงไหว เป็นรูปก้าวออกไปนั้น ให้ดูด้วยใจ ไม่ใช่ดูด้วยตา ดุจดังเมื่อเด็กเล่นว่าว อยากจะรู้ว่ามีลมมาหรือยัง เขาก็ดูใบไม้ที่ไหวไปมา ถ้าเห็นใบไม้ไหวไปมา เขาก็รู้ว่ามีลม แต่ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจดูใบไม้โดยเฉพาะ แต่เขาอาศัยดูใบไม้เพื่อดูลมเท่านั้น โดยทำนองเดียวกัน เราก็อาศัยกำหนดดูอาการของรูปเดิน ก็เพื่อดูวาโยธาตุอันเป็นรูปๆ หนึ่งของมหาภูตรูป ที่ทำให้เท้าเคลื่อนไหวไปด้วยอำนาจของจิต และทำนองเดียวกันนี้ การอาศัยกำหนดดูรูปยืน เดิน นั่ง นอน ก็เพื่อดูวาโยธาตุเช่นกัน ก็ควรต้องเป็นรูปใน ๒๘ รูปด้วย เพราะแต่ละรูปก็มีมหาภูตรูปอยู่ทุกรูป “
ตามตัวอย่างที่ท่านผู้ฟังเขียนมาว่า ถ้าเห็นใบไม้ไหวไปมา เขาก็รู้ว่ามีลม นี่เป็นโดยนัยของสมถภาวนา ซึ่งท่านจะตรวจสอบได้ว่ามีข้อความนี้ในวิสุทธิมรรคสมาธินิเทศ และการที่จะรู้ลักษณะของธาตุลมหรือวาโยธาตุที่เป็นวาโยกสิณนั้น มีได้ ๒ ลักษณะ คือ ตามตัวอย่างที่แสดงว่า โดยดูอาการไหวของใบไม้ ถ้าใบไม้ไหวก็ทราบว่าขณะนั้นเป็นลักษณะของวาโยธาตุที่ทำให้ใบไม้นั้นไหว เพื่อให้จิตระลึกอยู่ที่ลมนั้นอย่างหนึ่ง และโดยการรู้ลักษณะของลมที่กายอีกอย่างหนึ่งที่เป็นจตุธาตุววัฏฐาน ซึ่งจตุธาตุววัฏฐานนั้นก็มี ๒ นัย โดยนัยของสมถภาวนาอย่างหนึ่ง และโดยนัยของวิปัสสนาภาวนาอีกอย่างหนึ่ง
แต่การเจริญสมถภาวนากับการเจริญวิปัสสนานั้นต่างกันมากที่จุดประสงค์ ถ้าเป็นการเจริญสมถภาวนา จุดประสงค์ คือ ต้องการที่จะให้จิตจดจ้องอยู่ที่หนึ่งที่ใด เพื่อให้สงบจากการที่จะรู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ส่วนการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดยิ่งนัก เพราะว่าจะต้องเป็นการระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏเป็นปกติทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จนกว่าจะรู้ทั่ว และแทงตลอดในสภาพธรรมนั้น
ถ้าท่านเข้าใจความต่างกันของการเจริญสมถภาวนา และการเจริญวิปัสสนาภาวนาแล้ว จะเข้าใจดีว่าการเจริญจตุธาตุววัฏฐานนี้ อย่างไรเป็นสมถภาวนา และอย่างไรเป็นวิปัสสนาภาวนา กล่าวคือ ถ้าท่านจดจ้องอยู่ที่ลักษณะของธาตุลม ขณะที่จดจ้องเช่นนั้น มีความต้องการที่จะรู้ลักษณะของธาตุลมที่จะให้จิตสงบ ก็ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนาภาวนา
สำหรับการเจริญวิปัสสนา ความรู้ต้องยิ่งชัด ยิ่งละเอียด เพื่อที่จะละการยึดถือนามและรูป ซึ่งเมื่อปัญญาสมบูรณ์แล้ว ก็จะประจักษ์ว่า นามและรูปที่กำลังเป็นอารมณ์นั้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็ไม่ยึดถือ ไม่เป็นห่วงอดีตนามหรือรูปที่ดับไปแล้ว และไม่กังวลถึงนามและรูปใดๆ ที่สติจะระลึกรู้ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะเหตุว่าปัญญารู้จริง รู้ทั่ว และก็ละ
แต่เวลาที่ท่านเจริญสมถภาวนา ไม่มีความรู้อย่างนี้ที่จะละ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าลักษณะของลม ธาตุลมกำลังปรากฏ ความจดจ้องที่จะให้จิตสงบ ไม่ใช่เป็นลักษณะของการละ เพราะฉะนั้น โดยนัยนั้น เป็นการเจริญสมถภาวนา ไม่ใช่การเจริญวิปัสสนาภาวนา
การฟังธรรม แม้แต่ตัวอย่างก็ต้องไม่สับสน แม้จตุธาตุววัฏฐานจะเป็นกัมมัฏฐาน แต่เป็นกัมมัฏฐานของวิปัสสนาภาวนาก็ได้ เป็นกัมมัฏฐานของสมถภาวนาก็ได้ แล้วแต่ว่าผู้ใดกำลังรู้ลักษณะของธาตุลมนั้น จะเป็นโดยนัยของสมถภาวนา หรือโดยนัยของวิปัสสนาภาวนา
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าท่านผู้ฟังไม่สำเหนียก ไม่สังเกต ท่านจะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน และปัญญาของท่านก็ไม่ได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ดูเสมือนว่าสติเกิดมาก และปัญญารู้มาก แต่ไม่ใช่การรู้ลักษณะของนามและรูปตามปกติสมบูรณ์ด้วยสัมปชัญญะ การรู้สึกตัวธรรมดาในขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ท่านเข้าใจว่าท่านทำวิปัสสนา แต่ว่าตามแบบของสมาธิ
ลักษณะของสัมมาสติที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ ผิดกับลักษณะของสติที่เป็นการเจริญสมถภาวนา ถ้าท่านไม่สังเกตความต่างกัน ท่านอาจจะคิดว่าท่านกำลังเจริญวิปัสสนา แต่ความจริงไม่ใช่การเจริญวิปัสสนา เพราะว่าขณะนั้นไม่ใช่การสมบูรณ์ด้วยสัมปชัญญะ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 221
รับฟัง ... จดหมาย - ปัญหาวิปัสสนา

