ดำรงความลึกซึ้งของธรรมไว้_สนทนาธรรม ไทย -ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๖

 
เมตตา
วันที่  25 มี.ค. 2566
หมายเลข  45715
อ่าน  273

- (คุณสุคิน: มานิชว่าทั้งๆ ที่ฟังธรรมแล้ว ก็ยังมีอกุศลเยอะ และเมื่ออกุศลยังมากอยู่อย่างนี้แล้วจะเจริญความเข้าใจต่อไปได้อย่างไร?) ก่อนนี้เขาเคยเห็นอกุศลไหม? (ก่อนได้ฟังธรรมไม่รู้เลยว่าที่เคยเป็นอกุศลนั้นเป็นอกุศลจริงๆ) เพราะฉะนั้น เขาเริ่มเข้าใจถูกต้องว่า อกุศลมาก (ครับ) ถ้าไม่รู้ว่ามีอกุศลมากจะละอกุศลไหม? (ถ้าไม่รู้ก็ไม่คิดจะละ) เพราะฉะนั้น มีอกุศลมากอย่างนี้ฟังธรรมนิดเดียว อกุศลจะหมดไหม? (ไม่คิดว่าจะหมดเร็ว แต่ว่ารู้ว่านี่เป็นหนทางวันหนึ่งต้องหมดแน่) เพราะฉะนั้น ทุกคนรู้ว่า ฟังธรรมเท่านี้ทำให้อกุศลหมดไม่ได้ เพียงเท่านี้ที่เข้าใจว่ามีอกุศลมาก.

- อะไรละอกุศลได้? (ต้องเข้าใจพระธรรม) เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งทำให้รู้ความจริง ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เข้าใจ จะละอกุศลได้ไหม? (ไม่ได้) คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้งไหม? (ลึกซึ้งมากเราฟังมาหลายวันแล้วยังไม่เข้าใจ) หลายวันพอไหมที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า? (ไม่พอ) หลายวัน หลายเดือน หลายปี หลายชาติ พอไหม? (เท่าไหร่ก็ไม่พอ) เพราะฉะนั้น อดทนที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เองให้เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า? (อดทนครับ) ไม่รู้อะไรเลยมานานมากตั้งแต่เกิด และก่อนเกิดทุกๆ ชาติ แล้วก็มีความรู้เกิดขึ้น ดีที่สุดในชีวิต ในสังสารวัฏฏ์หรือเปล่า? (ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้) .

- เพราะฉะนั้น เริ่มเป็นคนตรงต่อความจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ทรงแสดงพระธรรม ปรินิพพานที่นี่ คำของพระองค์จากที่นี่ทั้งนั้น แล้วพระองค์ก็หายไปจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน กึ่งพุทธกาลถึง ๕,๐๐๐ ปี เพราะฉะนั้น กึ่งพุทธกาลที่นี่มีโอกาสได้ฟังคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว ๒,๕๐๐ กว่าปี ต้องรู้ค่าอย่างยิ่งที่จะดำรงรักษาสิ่งที่พระองค์ได้ทรงแสดงให้สืบต่อไปให้นานเท่าที่จะเป็นไปได้ ก่อนที่จะอันตธาน.

- ต้องศึกษาด้วยความเคารพในความลึกซึ้งของธรรมจริงๆ มิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะดำรงความลึกซึ้งของธรรมไว้ได้ คนเดียวไม่สามารถที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ แต่พระศาสนาจะดำรงได้ต่อเมื่อมีคนที่เข้าใจ คำ ของพระองค์สืบต่อไปเรื่อยๆ จะน้อยหรือมากก็ยังมี แต่ต้องเป็นผู้ละเอียดจริงๆ เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ มิเช่นนั้นแล้ว ถ้าเข้าใจผิดแม้ว่าศึกษามากก็ทำลายคำสอนของพระองค์.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และกราบยินดีในกุศลจิตของคุณสุคิน ด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 25 มี.ค. 2566

- ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายแน่ แต่ไม่มีอะไรจากโลกนี้ไปที่จะมีประโยชน์เลยถ้าไม่ได้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น ก่อนจะตายต้องเห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจพระธรรม เพื่อที่ต่อไปมีโอกาสที่ได้ฟังอีกเข้าใจอีก แล้วก็สามารถละคลายอกุศลจนกระทั่งดับกิเลสได้.

- ทุกคนมีกิเลสมาก สะสมกิเลสมามาก แล้วก็จะสะสมกิเลสต่อไปอีกมาก ถ้าไม่มีการเข้าใจความจริงของธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้.

- เขาอยากจะมีกิเลสต่อไปอีกมากๆ ๆ ๆ มากเหมือนเดิมไหม? (ไม่อยาก) เพราะฉะนั้น หนทางเดียวคือมีความเข้าใจถูกในความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้.

- สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครทำให้เกิด แต่เกิดแล้วมีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต เพราะมีสื่งที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ต้องเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ คือมีสภาพรู้ จึงมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ซึ่งเราใชัคำว่า จิต สภาพรู้ไม่ใช่มีแต่จิตที่เห็น ได้ยิน คิดนึก เดี๋ยวนี้ แต่มีสภาพรู้ที่เป็นลักษณะต่างๆ เป็นเจตสิกซึ่งเราเรียนมาแล้ว แต่ถ้าความเข้าใจไม่มั่นคงก็ลืมเสมอ คิดว่า จิต เจตสิก และสภาพธรรมเป็นเรา และเป็นของเรา.

- เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วดับ ไม่เหลือเลย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 25 มี.ค. 2566

- เดี๋ยวนี้มีจิตไหม? (มี) เดี๋ยวมีเจตสิกไหม? (มี) เดี๋ยวนี้มีรูปไหม? (มี) รู้จักจิต เจตสิก รูป แล้วหรือยัง? (เริ่มรู้จัก) พอหรือยัง? (ไม่พอ) รู้ได้อย่างไรว่าไม่พอ? (เพราะว่าเพิ่งจะเริ่มเข้าใจแต่ยังไม่รู้ตัวจริง) เพราะยังเข้าใจว่า จิต เจตสิก รูป เป็นเรา และเป็นของเราอยู่ ถ้ามีความเข้าใจจะเข้าใจว่า จิต เป็นเราไหม? (ถ้าเข้าใจจริงๆ จิตไม่เป็นเรา) ถ้าเข้าใจเจตสิกจะเข้าใจว่า เจตสิก เป็นเราไหม? (ไม่) ถ้าไม่เข้าใจรูปจะเข้าใจว่า รูป เป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า? (เป็น) เพราะฉะนั้น ต้องรู้จักทุกอย่างที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ละเอียด และชัดเจน จึงจะค่อยๆ ละความเป็นเรา หรือเป็นของเราได้ นี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วก็ทรงรู้ว่า คนอื่นรู้ไม่ได้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดง เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา.

- ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว สันตีรณะคืออะไร? (เป็นจิต) จิตประเภทไหน? (วิบากจิต) สันตีรณะที่เป็นวิบากมีกี่ดวง (มี ๒ ดวง คือ สันตีรณอกุศลวิบาก และสันตีรณกุศลวิบาก) ลืมอะไรหรือเปล่า? (จำได้แค่นี้) อเหตุวิบากจิตที่เป็นผลของกรรมที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ ๖ ทั้งหมดมีเท่าไหร่? (ไม่รู้คำตอบ) ทบทวนจะได้ไม่ลืม ผลของกรรมมีไหม? (มี) กุศลกรรม อกุศลกรรมเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น อกุศลกรรมทำให้เกิดอกุศลวิบาก กุศลกรรมทำให้เกิดกุศลวิบาก ถูกต้องไหม? (ครับ)

- กุศลวิบาก กับอกุศลวิบาก กรรมอะไรให้ผลทำให้วิบากจิตเกิดมากกว่ากัน? (อกุศลให้ผลมากกว่า) ผิดแล้ว (สุคิน: มาธุตอบว่าเป็นกุศลที่จะมีผลมากกว่า ผมจึงถามว่าทำไมกุศลจึงมีผลมากกว่า มาธึจึงตอบว่ากุศลเป็นสิ่งที่ดี จึงให้ผลมากกว่า) เพราะฉะนั้น ที่เราคิดเองยังไม่ละเอียด แต่ต้องตรงตั้งแต่ต้น อกุศลกรรมไม่ว่าจะร้ายแรงสักเท่าไหร่ เวลาให้ผลสามารถที่จะทำให้อกุศลวิบากจิตที่เป็นของอกุศลเกิดขึ้นแต่ไม่ประกอบด้วยเหตุเลย (สุคิน: ผมถามเขาว่านี่ที่เราเคยสนทนากัน จำได้ไหม เขาบอกว่าจำไม่ได้) นี่สำคัญที่สุด ฟังเพื่อเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วไม่ลืม หมายความว่าความเข้าใจไม่มั่นคง ไม่พอ จึงลืม ถ้าฟังธรรมเพียงจำ ลืมแน่นอน แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ความเข้าใจไม่หายไปไหนยังเข้าใจอยู่ เพราะฉะนั้น ฟังใหม่จนเข้าใจขึ้นมั่นคงในทุกคำ.

- อกุศลกรรมมากมายสักเท่าไหร่ จะคิดที่จะฆ่า หรือทำร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำพระภิกษุให้แตกกันหรืออะไรทั้งหมด ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพี่ ฆ่าน้อง ทำสงคราม ขโมยลักทรัพย์ หรืออะไรก็ตามแต่ทั้งหมด แรงเท่าไหร่ สามารถให้ผลเพียงทำให้ตกลงต่ำ จะขึ้นมาสู่สิ่งที่ดีที่สูงไม่ได้เลย.

- เพราะฉะนั้น อกุศลกรรมเป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบากกี่ประเภท? (เห็น ได้ยิน ลิ้มรส กระทบสัมผัส ... ) ขอโทษ ขอโทษ ถามอะไรต้องตอบอย่างนั้น ดิฉันถามว่า อกุศลกรรมทำให้เกิดอกุศลวิบากกี่ดวงกี่ประเภท? คำถามคืออย่างนี้ (กี่ประเภท?) ใช่ เท่าไหร่กี่ดวง นี่เป็นเบื้องต้นที่เราจะไปสู่ความลึกซึ้ง เราจะผ่านไปเลยข้ามไปเลย แค่จำจำนวนเท่านั้นหรือ? แล้วจะลึกซึ้งได้อย่างไร? (๑ ประเภท) อะไร ๑ ประเภท? (อกุศลวิบาก) อกุศลวิบากเป็นจิตหรือเปล่า? (เป็น) ฟังคำถามอีกครั้งนะ อกุศลกรรมทำให้เกิดจิตซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นที่จะต้องรู้อารมณ์ที่ไม่ดี จึงเป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ผลของอกุศลกรรมไม่ว่าจะแรงสักเท่าไหร่ก็ตามที่ได้กระทำแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดผล คือ จิตกี่ดวง? (อาช่าตอบว่า ๘) อะไรบ้าง ๘? (ปฏิสนธิ ภวังค์ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสกาย จุติ) ไม่ได้ถามถึงหน้าที่เลย ฟังคำถามให้ดีๆ จะได้ไม่ลืม จะได้เข้าใจ จะได้มั่นคง, อกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดผล คือ อกุศลวิบากกี่ดวง? (๑) อะไร ๑ จิตที่เป็นอกุศลวิบากคือจิตอะไร? (อกุศลวิบาก) จิตอะไรเป็นอกุศลวิบาก? (เห็นตอนนี้) เห็นกี่ดวง? (เห็นมี ๒ ดวง เป็นผลของกุศล กับผลของอกุศล) เพราะฉะนั้น เห็นที่เป็นอกุศลวิบากมีกี่ดวง? (๑) เพราะฉะนั้น อกุศลกรรมให้ผลเป็น จิตที่เห็นสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้น คือ เห็นเท่านั้นหรือ ๑ ดวง? (สุคิน: ผมตั้งคำถามอีกแบบหนึ่งต้องรบกวนท่านอาจารย์ให้พิจารณาดูว่าเป็นคำถามเดียวกันหรือไม่ ผมถามว่า ถ้าฆ่าไก่ เป็นไปได้ไหมว่าผลของนั้น จะเป็นแค่เห็นสิ่งที่ไม่ดี ... ) ขอโทษคุณสุคิน เราไม่ต้องแนะนำอะไรเขาเลยเพราะเขายังไม่ไปถึงไหนเลย เขายังไม่เข้าใจเลยว่า อกุศลกรรมทำให้เกิดอะไรบ้าง? เพราะฉะนั้น ให้เขาแน่ใจให้เขามั่นใจว่า เขาตอบถูกหรือผิด และลืมหรือเปล่า? และเข้าใจอะไร นี่เป็นสิ่งที่เราต้องทบทวน ไม่ใช่ว่าเราพูดไป ๑๐ ปี แล้วไม่รู้คนฟังฟังได้แค่ไหน เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เราจะเท้าความถึงอะไรเพื่อให้เขามีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ใช่ไปจำหนังสือ แล้วก็จำชื่อ แล้วก็ถามเรา แต่ว่าต้องให้เขารู้ว่าคำที่เขาพูดคืออะไร หมายความอะไรให้มั่นคงจริงๆ เพราะฉะนั้น ไม่พูดอะไรเลย ไม่อธิบายอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเรากำลังจะลงไปลึก ถ้าไปที่อื่นเราไม่ลึก เพราะฉะนั้น ถามเขาว่า อกุศลกรรมที่ทำมา ให้ผลเป็นจิตใช่ไหม จิตประเภทไหนถ้าเป็นวิบาก วิบากอะไรบ้าง มีเท่าไหร่? (อกุศลวิบาก) อกุศลกรรมดับแล้วเป็นปัจจัยให้ผลของกรรมคืออกุศลวิบากจิตเกิดขึ้น อะไรเป็นอกุศลวิบาก คือ ผลของกรรม (ทวนอีกครั้ง) ถามว่าอกุศลวิบากเป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น อกุศลวิบาก ฟังดีๆ นะ ตรงคำถาม อกุศลวิบากคืออะไร ได้แก่อะไร? อะไรเป็นอกุศลวิบาก? (เป็นจิต) เป็นจิตเท่านั้นหรือ? (เจตสิกที่เกิดกับจิต) รูปเป็นวิบากได้ไหม? (รูปไม่เป็นวิบาก แต่เป็นผลของกรรม) ถูกต้อง เพราะฉะนั้น วิบากที่เป็นเจตสิกเป็นผลของกรรม กรรมทำให้วิบากเจตสิกเกิดพร้อมจิตที่เป็นวิบาก แต่รูปที่เกิดจากกรรมไม่ใช่วิบากเพราะไม่สามารถรู้อะไรได้ไม่ใช่สภาพรู้.

- รูปเป็นผลของกรรมใช่ไหม? (เป็นผลของกรรม) ไม่ใช่ค่ะ รูปที่เป็นผลของกรรมก็มี รูปที่เป็นผลของจิตก็มี รูปที่เป็นผลของอุตุความเย็นความร้อนก็มี รูปที่เกิดเพราะเป็นผลของอาหารก็มี เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็น กรรมะ ชะ แปลว่า เกิด รูปที่เกิดจากกรรม กรรมชรูป จิตตชรูป อุตุชรูป อาหารชรูป เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดจากกรรมก็คือ กรรมชรูปเท่านั้น.

- (สุคิน: ความผิดผมเพราะเมื่อกี๊ผมถามว่า รูปที่เราพูดถึงเมื่อกี๊เป็นผลของกรรมไหม เขาถึงตอบว่า เป็นผลของกรรม) ดิฉันพูดถึงรูปทั่วไป ดิฉันไม่ได้บอกว่ารูปเมื่อกี๊นี้ เพราะฉะนั้น ต้องฟังคำถามดีมาก ให้ละเอียด ให้ตรง ไม่อย่างนั้นความเข้าใจจะสับสนหมดปนกันหมดเอาทีละอย่างๆ .

- กระดาษเกิดจากอะไร? (อาช่าตอบว่า ไม่ใช่กรรมเป็นเหตุให้เกิดรูป แต่ว่ามีอุตุและอาหาร ยกตัวอย่าง ... .) อาหารต้องคำๆ ที่กลืนกินเข้าไปเท่านั้นที่ทำให้เกิดรูปที่เกิดจากอาหารได้ อาหารที่อยู่ข้างนอกไม่ได้กลืนกินเข้าไปไม่ทำให้เกิดรูป (เพราะฉะนั้นอุตุเป็นเหตุให้เกิดรูป) เข้าใจแล้วไม่ลืมใช่ไหม? (เข้าใจครับ) .

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 25 มี.ค. 2566

- เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม จึงจะค่อยๆ รู้ว่า ไม่ใช่เราสักอย่าง ตาเป็นธรรมอะไร? (เป็นรูปธรรม) เกิดจากอะไร? (เกิดจากกรรม) เพราะฉะนั้น ทุกคนเริ่มเข้าใจ กรรมทำให้เกิดจิต เจตสิก และรูป แต่รูปไม่ใช่วิบาก.

- ต่อไปนี้ ฟังดีๆ อกุศลกรรมทำให้เกิดจิตที่เป็นวิบากกี่ดวง? (๘) ตอบมาเลย ๘ อะไรบ้าง? (ปฏิสนธิ ภวังค์ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสกาย จุติ) คุณสุคิน เขาฟังไม่ดีเลย ถามเขาซิว่า ดิฉันถามเขาว่าอะไร? เขาบอกว่าอกุศลวิบากมี ๘ บอกมาเลยว่ามีอะไร ๘ คืออะไร ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ (แกเข้าใจอย่างนั้น นั่นคือคำตอบ) ต้องให้เขาเข้าใจถูกในคำถามก่อน ถ้าเขาไม่เข้าใจคำถามเขาตอบไม่ถูก เพราะฉะนั้น ให้เขารู้ว่าดิฉันถามว่าอะไร? ดิฉันถามว่า อกุศลกรรมทำให้เกิดอกุศลวิบากจิตกี่ดวง? เขาบอก ๘ อะไรบ้าง บอกมาทีละ ๑ (ปฏิสนธิ) ไม่ใช่ค่ะ นั่นเป็นหน้าที่ของจิต แต่ไม่ใช่ตัวจิตที่เป็นประเภทๆ ว่า จิตนี้เป็นชาติอะไร แต่นั่นเป็นกิจของจิต เพราะฉะนั้น มี ๒ อย่าง ชาติ จิตนั้นเป็นชาติอะไร เป็นกุศล หรืออกุศล หรือเป็นวิบาก หรือเป็นกิริยา เปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ เอาอย่างอื่นมาตอบไม่ได้ แต่พอพูดถึงกิจของจิตมี ๑๔ กิจ และจิตกี่ดวงกี่ประเภท ทำกิจอะไรได้บ้าง จะมาตอบว่าเป็นปฏิสนธิจิตได้อย่างไร? เขาต้องบอกมาว่า อกุศลชาติ อกุศลทำให้เกิดวิบากชาติเท่าไหร่ กี่ดวง ถามถึงชาติ ต้องอยู่ที่กุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิตเท่านั้น ถ้าถามถึงเรื่องชาติ (ชา+ติ) ไม่ได้พูดถึงกิจเลยสักกิจเดียว.

- เพราะฉะนั้น ฟังคำถามดีๆ อกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบากจิตกี่ดวง? (เห็น สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ) ขอโทษ ถามถึงจิต ไม่ได้ถามถึงกิจ (ไม่ทราบ) เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่าเรามีชื่อสำหรับเรียกจิตตามลักษณะของจิตนั้นๆ หลายชื่อมาก แต่ว่าความจริงก็ คือ เป็นจิต เราไม่สามารถที่จะให้ใครรู้ว่าจิตมากๆ นี่ต่างกันตรงไหน เพราะฉะนั้น เราใช้คำบางทีเรียกจิตนั้นโดยกิจหน้าที่ที่เขาทำ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อของจิตที่แสดงว่า เป็นจิตนั้น เพราะเราเอาหน้าที่นั้นขึ้นมาให้เขารู้ว่าจิตนี้ไม่ได้ทำหน้าที่อื่น เพราะฉะนั้น ลองคิดดูดีๆ ไม่ได้พูดถึงกิจ ยังไม่ได้พูดถึงกิจเลย พูดถึงกรรมให้เขาเข้าใจจริงๆ ว่า ทุกกรรม ทุกชาติ ทุกภพที่ได้กระทำแล้ว เมื่อเป็นอกุศลกรรม จะให้ผลเพียงทำให้เกิดวิบากจิตเท่าไหร่ เขาจะได้มีความมั่นคงมั่นใจว่า เป็นอื่นไม่ได้ (อกุศลวิบาก) อกุศลวิบากมีเท่าไหร่? (มีจิต และเจตสิก) ฟังคำถามอีกครั้งหนึ่ง อกุศลวิบากจิตมีกี่ดวง?

- อกุศลวิบากจิตมีกี่ดวง? (ไม่ทราบ) มี ๗ เปลี่ยนไม่ได้ อกุศลกรรมทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดจิตได้ ๗ ประเภทเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้ความจริงเราไม่สามารถที่จะละการยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏขณะนี้ว่า เป็นเพียงธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จำมั่นคงด้วยความเข้าใจให้มั่นคงว่า อกุศลกรรมทำให้เกิดจิตที่เป็นผลเพียง ๗ ดวงก่อนเท่านั้น แล้วจะได้รู้ต่อไปว่า จิตนั้นคืออะไร ทำอะไร.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 25 มี.ค. 2566

- ทุกคนฟังดีๆ แล้วนะ (ครับ) เพราะฉะนั้น อกุศลกรรมทำให้เกิดผล คือ อกุศลวิบากจิต ๗ ดวงเท่านั้น มากไหม? ดีใจไหม ผลของอกุศลกรรมมีเพียงอกุศลวิบากจิตเพียง ๗ ดวงเท่านั้น (ไม่ดีใจ ไม่เกี่ยวกับดีใจ หรือไม่ดีใจ) ก็มีแค่ ๗ นิดเดียวไม่มากกว่าอย่างอื่นเลย กุศลวิบากให้ผลมากกว่านี้หลายเท่า แต่ว่าอกุศลกรรมทำแล้วให้ผลแค่ ๗ เอง ดีใจไหมที่ผลเพียงแค่ ๗ เอง หรือไม่ดีใจ (ถ้าเทียบกันแล้วรู้สึกสบายใจหน่อย) ขอโทษนะคะ สบายใจไม่ได้เลยถ้ารู้ความจริง เพราะฉะนั้น เรายังไม่พูดปัญหานี้ เขาจะได้คิดไตร่ตรองเอง.

- เพราะฉะนั้น อกุศลกรรมให้ผลเป็นจิตกี่ดวง? (๗ ประเภท) ลืมไม่ได้เลย เปลี่ยนไม่ได้เลย นี่เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพราะตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ๗ ดวง อะไรบ้าง? (เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสกาย สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ) เพราะฉะนั้น เราเรียกชื่อจิตตามกิจหน้าที่ จิตที่เห็นเราเรียก จักขุ คือ ตา วิญญาณ เป็นจิตที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา จึงชื่อว่า จักขุวิญญาณ เช่นเดียวกับ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ แสดงว่า เรียกชื่อจิตเหล่านี้ตามกิจ.

- ไตร่ตรอง อกุศลวิบากทำอะไรไม่ได้นอกจากเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงที่ไม่ดี ได้กลิ่นที่ไม่ดี ลิ้มรสที่ไม่ดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่เจ็บปวดไม่ดีแล้วก็ดับ ต่อจากนั้นมีอกุศลวิบากเกิดต่อคืออะไร? อีก ๒ ดวงคืออะไร? (สัมปฏิจฉันนะ กับสันตีรณะ) ทีละหนึ่งๆ อย่าลืม เพราะฉะนั้น สัมปฏิจฉันนะชื่อสัมปฏิจฉันนะตามกิจหน้าที่ เพราะเราเรียกจิตตามกิจ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะเรียกอะไร สัมปฏิจฉันนะทำกิจเห็นได้ไหม? (ไม่ได้) เมื่อสัมปฏิฉันนะดับ ทำกิจรับอารมณ์นั้นต่อเท่านั้นเองเป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดขึ้น รู้สิ่งนั้นขึ้น เพราะเหตุว่าสัมปฏิจฉันนะรับ เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดต่อไม่เห็น แต่สามารถรู้สิ่งนั้นต่อจากสัมปฏิจฉันนะได้ ทำสันตีรณกิจ.

- อกุศลกรรมทำให้เกิดสันตีรณอกุศลวิบากกี่ดวง? (ไม่ทราบ) เราพูดแล้วไม่ใช่หรือว่า อกุศลกรรมทำให้เกิดวิบากที่เป็นผลได้กี่ดวง? (๑ ดวง) ก็บอกแล้ว พูดกันแล้ว แต่ขณะนั้นไม่ได้ฟังดีๆ มัวแต่คิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น พอถามกลับมาจับได้เลยว่าเข้าใจหรือเปล่า.

- มนุษย์มีสันตีรณอกุศลวิบากกี่ดวง? (๑ ดวง) นกมีอกุศลวิบากสันตีรณะกี่ดวง (๑ ดวง) งูมีอุเบกขาสันตีรณะกี่ดวง? (๑ ดวง) เทวดามีอกุศลวิบากสันตีรณะกี่ดวง? (๑ ดวง) ใครมีอกุศลสันตีรณวิบาก ๒ ดวง? (ไม่มีใครมี ๒ ดวง) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีสันตีรณอกุศลวิบากกี่ดวง? (๑ ดวง) แน่นอนนะต่อไปนี้ลืมไม่ได้เลย.

- อกุศลวิบากทั้งหมดมีกี่ดวง? (๗ ดวง) จักขุวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจอะไร? (ทำกิจเห็น) โสตวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจอะไร? (ได้ยิน) ทำกิจอื่นได้ไหม? (ไม่ได้) ฆานวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจอะไร? (ลิ้มรส) ความรู้สึกอะไรเกิดกับฆานวิญญาณอกุศลวิบาก? (อุเบกขา) กายวิญญาณอกุศลวิบากทำกิจอะไร? (สัมผัสทางกาย) มีเวทนาความรู้สึกอะไรเกิดร่วมด้วย? (ทุกขเวทนา) เพราะฉะนั้น สันตีรณอกุศลวิบากมีเวทนาอะไรเกิดร่วมด้วย? (อุเบกขาเวทนา) ไม่ลืมนะ.

- เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ทราบว่า อกุศลวิบากที่เป็นสันตีรณะมีกิจ ๕ กิจไม่ใช่กิจเดียว เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า อกุศลวิบากมี ๗ แต่ว่ามีจิต ๑ ใน ๗ คือ สันตีรณจิต ทำ ๕ กิจ นอกจากนั้นทำ ๑ กิจ ๑ กิจเฉพาะกิจของตนเท่านั้น.

- เวลาตายแล้วต้องเกิดใช่ไหม? (ใช่) จิตอะไรทำปฏิสนธิกิจ? (สันตีรณะ) ยังไม่ได้ถาม ถามว่าจิตประเภทไหนทำปฏิสนธิ ยังไม่ได้พูดถึงสันตีรณะอะไรเลย ถามว่าจิตประเภทไหนทำกิจปฏิสนธิ? (เป็นวิบากครับ) เพราะฉะนั้น อกุศลวิบาก ๗ ดวง จิตไหนจะทำปฏิสนธิกิจ? (สันตีรณะ) เพราะฉะนั้น สันตีรณะทั้งหมดมี ๕ กิจ ๑ กิจ คือ สันตีรณกิจ และก็มีปฏิสนธิกิจ ภวังคกิจ จุติกิจเป็นหน้าที่ของสันตีรณอกุศลวิบาก เพราะจิตที่เป็นอกุศลวิบากอื่นทำกิจนี้ไม่ได้ (ท่านอาจารย์ทบทวนใหม่ครับ) เวลาที่เกิดเป็นสันตีรณจิตที่ไม่ได้ทำหน้าที่สันตีรณกิจ แต่ทำหน้าที่ปฏิสนธิกิจ ๑ ภวังคกิจ ๑ และ จุติกิจ ๑ เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่เรารู้คือสันตีรณะมี ๕ กิจ แต่เรารู้ ๔ กิจแล้ว คือ ๑ สันตีรณกิจ ๒ ปฏิสนธิกิจ ๓ ภวังคกิจ ๔ จุติกิจ (เข้าใจครับ) .

- จิตทุกจิตเกิดขึ้นทำกิจ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า จิตไหนทำกิจอะไร เพราะฉะนั้น เราศึกษาด้วยความเข้าใจจิตมากขึ้นโดยประเภทของจิต เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือเป็นวิบาก หรือเป็นกิริยา โดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยเช่น ความรู้สึก เราค่อยๆ เรียนทีละจิตไป จะได้มีเหตุผลว่า เพราะอะไรจึงต้องเกิดกับเวทนานั้น แล้วเราเรียนหน้าที่ของจิตด้วย เพราะว่าจิตทุกขณะต้องทำหน้าที่ เพราะฉะนั้น คราวต่อไปทบทวนแน่นอนเรื่องนี้.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prinwut
วันที่ 1 เม.ย. 2566

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลทุกประการครับพี่เมตตา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ