ธรรมเจติยสูตร
สำหรับการเจริญสติปัฏฐานที่ท่านจะละคลายการยึดถือสภาพนามธรรม และรูปธรรมที่เกิดกับตัวท่านจริงๆ ที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ขอกล่าวถึง มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ... ธรรมเจติยสูตร ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสธรรมเจดีย์ คือ พระวาจาเคารพธรรม มีข้อความว่า
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของพวกเจ้าศากยะ อันมีชื่อว่า เมทฬุปะ ในแคว้นสักกะ ก็ในสมัยนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปถึง นครกนิคม ด้วยพระราชกรณียะบางอย่าง พระองค์รับสั่งให้ทีฆการายนเสนาบดีจัดเตรียมพระราชยาน เพื่อจะเสด็จไปทอดพระเนตรภูมิภาคอันดีในพื้นที่อุทยาน
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินด้วยยานพระที่นั่งจนสุดภูมิประเทศที่ยานพระที่นั่งจะไปได้ จึงเสด็จลง ทรงพระดำเนินเข้าไปยังสวน เสด็จพระราชดำเนินเที่ยวไปๆ มาๆ เป็นการพักผ่อน ได้ทอดพระเนตรเห็นต้นไม้ล้วนน่าดู ชวนให้เกิดความผ่องใส เงียบสงัด ปราศจากเสียงอื้ออึง ปราศจากคนสัญจรไปมา ควรแก่การงานอันจะพึงทำในที่ลับของมนุษย์ สมควรเป็นที่อยู่ของผู้ต้องการความสงัด ครั้นแล้วทรงเกิดพระปีติ ปรารภถึงพระผู้มีพระภาคว่า สวนอันรื่นรมย์นั้นเหมือนดังว่าเป็นที่ๆ พระองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสั่งถามทีฆการายนเสนาบดีว่า ขณะนี้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ที่ไหน
ทีฆการายนเสนาบดีก็กราบทูลว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของพวกเจ้าศากยะอันมีชื่อว่า เมทฬุปะ
พระเจ้าปเสนทิโกศลรับสั่งถามว่า เมทฬุปนิคมอยู่ไกลจากนิคมนครกะ เท่าไร
ทีฆการายนเสนาบดีก็กราบทูลว่า ไม่ไกลนัก ระยะทาง ๓ โยชน์ และอาจเสด็จถึงได้โดยไม่ถึงวัน
พระเจ้าปเสนทิโกศล รับสั่งให้ทีฆการายนเสนาบดีจัดเตรียมยานพระที่นั่ง แล้วเสด็จจากนครกนิคมไปยังเมทฬุปนิคม ถึงนิคมนั้นโดยไม่ถึงวัน แล้วเสด็จเข้าไปในสวน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ พระวิหารในสวนนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงซบพระเศียรลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค ทรงจูบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยพระโอษฐ์ ทรงนวดพระยุคลบาทด้วยพระหัตถ์ และทรงประกาศพระนามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคือพระเจ้าปเสนทิโกศล ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ หม่อมฉันคือพระเจ้าปเสนทิโกศล
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกร มหาบพิตร มหาบพิตรทรงเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงทรงกระทำการเคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่งเห็นปานนี้ ในสรีระนี้ ทรงแสดงอาการฉันมิตร
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคมีข้อความว่า
พระองค์ทรงมีความเลื่อมใสในธรรม ในพระผู้มีพระภาคว่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้เองโดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคปฏิบัติดีแล้ว
และพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้กราบทูลต่อไป ซึ่งมีข้อความว่า
สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ประพฤติพรหมจรรย์มีกำหนดที่สุด (คือ การประพฤติพรหมจรรย์ของสมณพราหมณ์พวกหนึ่งนั้นมีกำหนดเวลา) คือ กำหนดที่สุด ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง แล้วต่อมาก็อาบน้ำ ดำเกล้า ลูบไล้อย่างดี แต่งผมและหนวด บำเรอตนให้เอิบอิ่มพรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ แต่ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีชีวิตเป็นที่สุดจนตลอดชีวิต
อนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลมิได้ทรงเห็นพรหมจรรย์อื่นอันบริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างนี้ นอกจากธรรมวินัยนี้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 142
ข้อความต่อไป พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันเดินเที่ยวไปตามอารามทุกอาราม ตามอุทยานทุกอุทยานอยู่เนืองๆ ในที่นั้นๆ หม่อมฉันได้เห็นสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ผ่องใส ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูเหมือนว่าจะไม่ตั้งใจแลดูคน หม่อมฉันนั้นได้เกิดความคิดว่า ท่านเหล่านี้คงไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์เป็นแน่ หรือว่าท่านเหล่านั้นมีบาปกรรมอะไรที่ทำแล้วปกปิดไว้ ท่านเหล่านั้นจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ผ่องใส ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูเหมือนว่าไม่ตั้งใจแลดูคน หม่อมฉันเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้น แล้วถามว่า
ดูกร ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เหตุไรหนอท่านทั้งหลายจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ผ่องใส ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูเหมือนว่าไม่ตั้งใจแลดูคน
สมณพราหมณ์เหล่านั้นได้ตอบอย่างนี้ว่า
ดูกร มหาบพิตร อาตมาภาพทั้งหลายเป็นโรคพันธุกรรม
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่หม่อมฉันได้เห็นภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ร่าเริงยิ่งนัก มีใจชื่นบาน มีรูปอันน่ายินดี มีอินทรีย์เอิบอิ่ม มีความขวนขวายน้อย มีขนอันตก เลี้ยงชีพด้วยของที่ผู้อื่นให้ มีใจดังมฤคอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้มีความคิดว่า ท่านเหล่านี้คงจะรู้คุณ วิเศษยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเป็นแน่ ท่านเหล่านั้นจึงร่าเริงยิ่งนัก มีใจชื่นบาน มีรูปอันน่ายินดี มีอินทรีย์เอิบอิ่ม มีความขวนขวายน้อย มีขนอันตก เลี้ยงชีพด้วยของที่ผู้อื่นให้ มีใจดังมฤคอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรม ในพระผู้มีพระภาคของหม่อมฉัน
นี่เป็นข้อความที่พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลพระผู้มีพระภาค เพราะเหตุว่าข้อประพฤติปฏิบัติที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นที่แสวงหากันมาตั้งแต่อดีต แต่ถ้าไม่ศึกษาธรรมอันละเอียดลึกซึ้งและสุขุมแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถประพฤติถูกต้องที่จะให้ปัญญารู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จพระราชดำเนินไปตามอุทยานต่างๆ อารามต่างๆ นั้น ก็ได้เห็นบุคคลที่มีข้อประพฤติปฏิบัติต่างๆ กัน เช่น บุคคลที่ซูบผอมตามเนื้อตามตัวมีเส้นเอ็นสะพรั่ง แล้วก็หน้าตาซูบซีด ผิวพรรณไม่ผ่องใส ดูเหมือนว่าจะไม่ตั้งใจแลดูคน
นี่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเห็น ก็แปลกใจว่า ท่านเหล่านี้คงเศร้าโศก มีความในใจ ไม่ยินดีประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์เป็นแน่ หน้าตาจึงได้เป็นทุกข์เศร้าโศกซูบผอมอย่างนี้ และเมื่อได้ถามว่า เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นก็ตอบว่า ท่านเป็นโรคพันธุกรรม
ปปัญจสูทนี มัชฌิมปัณณาสก์ ... อรรถกถาธรรมเจติยสูตร มีข้อความอธิบายเรื่องโรคพันธุกรรมว่า
พันฺธุกโรโค คือ กุลโรโค
อาจารย์บางท่านกล่าวว่า ผู้ที่เกิดแล้วในตระกูลของพวกเราเป็นอย่างนี้
หมายความว่า ถ้าปฏิบัติในสายเดียวกัน ก็จะมีลักษณะของโรคนี้เหมือนกัน ซึ่งเป็นโรคประจำลัทธิ ถ้าไปสู่ที่หนึ่งที่ใด หรืออารามหนึ่งอารามใด หรือสถานที่หนึ่งที่ใด แล้วก็ปฏิบัติเหมือนกันไปหมด ผิดปกติหรือว่าเป็นปกติจริงๆ ของท่านทุกวันๆ ซึ่งแต่ละคนจะเหมือนกันอย่างนั้นได้ไหม จะชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ไม่เหมือนกัน จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด จะคิด ก็ไม่มีเหมือนกันเลย เพราะเหตุว่าสะสมเหตุปัจจัยมาต่างๆ กันไป เพราะฉะนั้น การเจริญปัญญาไม่ใช่ไปแสร้งทำให้เกิดโรคพันธุกรรมขึ้น คือ ไปเหมือนๆ กันหมด ทรมานจนกระทั่งซูบผอม ผอมเหลือง ตามเนื้อตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น และดูเหมือนว่าไม่ตั้งใจจะแลดูคน
ท่านผู้ฟังต้องการติดโรคพันธุกรรม หรือต้องการมีโรคพันธุกรรมบ้างไหม อยู่ดีๆ ก็เกิดมีความเห็นผิดในข้อปฏิบัติที่จะไปทำให้โรคพันธุกรรมเกิดขึ้น
ข้อความต่อไป
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลข้อความที่พระองค์ทรงเลื่อมใสในธรรม ในพระผู้มีพระภาคอีกหลายประการ แล้วก็ทรงกราบทูลลา ทรงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทรงกระทำประทักษิณ แล้วเสด็จหลีกไป
ครั้งนั้นแล เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระเจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นี้ ตรัสธรรมเจดีย์ คือพระวาจาเคารพธรรม ทรงลุกจากที่ประทับนั่งแล้วเสด็จหลีกไป
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนธรรมเจดีย์นี้ไว้ จงทรงจำธรรม เจดีย์นี้ไว้
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นพากันชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียนธรรมเจดีย์นี้ไว้ จงทรงจำธรรมเจดีย์นี้ไว้
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์
คือ มีธรรมเป็นเจดีย์ เป็นที่เคารพ มีข้อประพฤติปฏิบัติของภิกษุในธรรมวินัยที่เทียบเคียงได้กับข้อปฏิบัติของสมณพราหมณ์อื่น เมื่อเห็นข้อประพฤติปฏิบัติ ที่น่าเลื่อมใส เป็นที่ควรเคารพ ก็เป็นธรรม คือ ข้อประพฤติปฏิบัติที่ควรเคารพ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 143
เปิดฟัง ...

