ธรรมไม่ใช่คิดเอง เอาโน่นเอานี่มาผสมแต่พิสูจน์ได้ทันที_สนทนาธรรม ไทย-ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

 
เมตตา
วันที่  11 ก.พ. 2566
หมายเลข  45545
อ่าน  495

- (อาช่า: คราวที่แล้วคุยเรื่องภวังค์ ชีวิตนี้ก็คือภวังค์ส่วนใหญ่แล้วก็มีวิถีจิตแทรกภวังค์ แล้วท่านอาจารย์ถามว่า เวลานี้มีภวังค์ไหม เราก็เข้าใจว่า ต้องมีภวังค์) ก็ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เขาสงสัยไหมว่า ขณะนี้เวลาเห็นแล้ว จบ ต้องมีภวังค์คั่นก่อนอย่างอื่น มิเช่นนั้น ชีวิตก็ดำเนินต่อไปไม่ได้ (เข้าใจ) เพราะฉะนั้น ชีวิตจริงๆ ก็คือ ธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ธาตุรู้เกิดขึ้นยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ได้ลิ้มรส ยังไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบกาย ยังไม่ได้คิดนึก ขณะแรกคือ จิต ที่ใช้คำว่า เกิด คือ ปฏิสนธิ ทำกิจเกิดขึ้นตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีใครเลย ไม่มีเทวดา ไม่มีมนุษย์ ไม่มีนก ไม่มีอะไร แต่มีธาตุรู้เกิดขึ้นต่างๆ กันไปตามอวิชชาความไม่รู้ก่อนๆ ที่ทำให้เกิดความคิดนึกที่เกิดทำให้เกิดกรรมต่างๆ จนกระทั่งเมื่อจบสิ้นจากชาติหนึ่งแล้ว การกระทำที่ได้กระทำไว้แล้วก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมหนึ่งเกิดขึ้น แต่ละหนึ่งต่างกันหลากหลายมาก.

- เขามีข้อสงสัยไหมตอนนี้ (อาช่า: หลังจากฟังธรรมแล้วรู้ว่า อวิชชานี่เยอะมาก เกิดเกือบตลอดเวลา บางครั้งบางคราวก็ระลึกได้เพราะได้ฟังธรรมมาก่อนจึงระลึกได้ว่า ความจริงตอนนั้นคืออะไร แล้วก็มีการคิดถึงธรรมบ้าง แต่ก็คิดถึงเดี๋ยวเดียว อวิชชาเกิดอีกแล้ว ก็คือรู้ว่าอวิชชาเยอะมากแล้วก็เป็นปัญหาจริงๆ) ดิฉันไม่ได้ถามอย่างนั้นเลยนะ ฟังคำถามต้องละเอียดมาก เรากำลังพูดถึงจิตที่เกิดขึ้นขณะแรกเป็นสภาพรู้ ยังไม่มีการเห็น ยังไม่มีการอะไรเลยทั้งสิ้น จริงไหม เข้าใจไหม หนึ่งขณะ ของจิตที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกตามกรรมที่ทำให้จิตนั้น แม้เกิดขณะแรก ก็ต่างกันทั้งหมด.

- (คุณสุคิน: ผมกำลังพยายามแนะนำอาช่า เพราะอาช่ากล่าวว่าห้ามไม่ได้เวลากล่าวถึงอวิชชาแล้วแกก็อยากเข้าใจอวิชชามากขึ้น และมีความคิดว่าทำอย่างไรอวิชชาจะน้อยลง ผมจึงบอกว่า มีทางเดียวที่อวิชชาจะน้อยลงคือ ความเข้าใจ และความเข้าใจเกิดจากการสนทนาธรรม ฟังด้วยดี พิจารณาไตร่ตรองเข้าใจสิ่งที่ฟัง ไม่ใช่ไปคิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น วันนี้เราสนทนากันเรื่องที่เกิดมานี่เพราะอวิชชาซึ่งทำให้เกิดกรรมต่างๆ ให้ผลมาแตกต่างกัน อย่างเช่นตัวของเขาเองเกิดเป็นมนุษย์และเป็นสตรี คุณอาคิ่ลเป็นมนุษย์และเป็นบุรุษ และสุนัขของเขาเป็นผลของกรรมทั้งหมดก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่) เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่เราพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกมุ่งหมายให้เข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้นเราเริ่มต้นตั้งแต่ขณะแรก ไม่ใช่สุนัข ไม่ใช่อาคิ่ล ไม่ใช่อาช่า ไม่ใช่อะไรเลย แต่เป็นธาตุรู้ซึ่งใครก็ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ โลกปรากฏทุกอย่างเพราะมีธาตุรู้ เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดให้ถึงลักษณะที่เป็นธาตุรู้เดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เพื่อละอวิชชา แต่เราไม่ได้บอก อวิชชาเป็นอะไรๆ จะละอย่างไร นั่นเป็นเรื่องราว แต่ขณะนี้ อวิชชาแน่นอน ที่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ และสิ่งที่กำลังปรากฏที่ไม่รู้เดี๋ยวนี้ก็มีสภาพธรรมที่เริ่มตั้งแต่เกิดขณะแรกเป็นธาตุรู้ นี่ค่ะ ต้องมั่นคงว่า มีธาตุรู้เกิด ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะแรกที่เป็นธาตุรู้เกิด ขณะนั้นแม้ไม่มีการเห็น การได้ยินเลย แต่มีธาตุรู้ เราพูดอย่างนี้ทำไม เพื่อให้เริ่มถึงความเป็นธาตุรู้เท่านั้น.

- (คุณสุคิน: ผมพยายามบอกอาช่า ว่า เรากำลังพูดถึงนัยเข้าใจจิต เริ่มจากปฏิสนธิจิต เพราะนั่นเป็นจิตแรกของชีวิตนี้ ท่านอาจารย์ให้เราเข้าใจว่า จิตนี้ ธาตุนี้ คืออะไร ให้เข้าใจตรงนั้น เราสนทนาถึงอวิชชาเป็นปัจจัยให้จิตขณะแรกในชาตินี้เกิด และเพราะมีอวิชชาจึงมีการเกิด คำถามอาช่าถามว่า อวิชชานี่หลังจากปฏิสนธิแล้วภวังค์เกิดสืบต่อหลังจากนั้น อวิชชาเกิดทันทีหลังจากวิถีจิตแรกเลยหรือเปล่า?) เราไม่พูดยาว พูดเต็มหมดตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทั้ง ๓ ปิฎก แต่ไม่รู้ธาตุรู้ที่กำลังรู้เดี๋ยวนี้ หนทางอะไรที่ทำให้เข้าถึงการรู้ธาตุรู้ได้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่พูดพระไตรปิฎกทั้งหมด เรื่องราวทั้งหมด แต่ เดี๋ยวนี้ แม้ธาตุรู้ที่เป็นธาตุรู้ก็ไม่รู้.

- เพราะฉะนั้น ถ้าเราพูดเรื่องอื่นมาเขาก็ไม่สนใจ เขาสนใจในเรื่อง แต่ถ้าเราพูดสั้นๆ ถามให้เขาคิด เขาจะได้มีความเข้าใจที่มั่นคง อันนี้สำคัญที่สุดว่า แม้แต่คำว่า ธาตุรู้ ยังไม่ต้องไปถึงอวิชชาไม่ต้องถึงอะไรทั้งหมด มีไหม? (ทุกคนตอบว่า มี) เพราะฉะนั้น คุณสุคินอย่าเพิ่งไปไกลยาวเรื่อง เอาทีละคำ เห็นไหมเขาเริ่มมาถึงคำนี้แล้ว จะรู้ว่ามี จะรู้ได้อย่างไร เราค่อยๆ อธิบายสั้นๆ ให้เขาคิด ให้เขาไตร่ตรอง เพราะส่วนใหญ่คนจะรู้เรื่องเยอะ แต่ไม่รู้ลักษณะที่เป็นสิ่งที่เรากำลังกล่าวถึงเลยว่า กำลังเป็นอย่างนี้.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 11 ก.พ. 2566

- ธาตุรู้มีตั้งแต่เมื่อไหร่? (ตอนเกิด) แสดงว่า ต้องมีธาตุรู้เกิดแน่นอน แต่ขณะนั้น ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ใช่รู้สิ่งที่กระทบกาย ไม่ได้คิดนึก เพราะฉะนั้น ไม่มีใครรู้จักธาตุรู้ ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก แต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริง จึงได้ทรงแสดงความจริงว่า มีธาตุรู้ ชาตินี้เริ่มตั้งแต่ ขณะแรก ที่เกิดเป็นธาตุรู้ที่เกิด แล้วจะรู้จักธาตุรู้ได้อย่างไรในเมื่อ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก มีใครตอบไหม? (ไม่มีวันรู้) ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายมีแต่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และคิดนึก เท่านั้นหรือ? (มีอย่างอื่นด้วย) เมื่อไหร่คะ (ตอนนอนหลับ) ถูกต้อง นี่แสดงให้เห็นว่า แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ก็มีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย (แม้ว่าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมให้จิตเกิดจิตนั้นต้องเกิด แม้ว่าจะไม่เห็น ไม่ได้ยิน ก็ต้องมีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์) ดีมาก เก่งมาก จำไว้ไม่ลืมว่าเปลี่ยนไม่ได้.

- (มานิช: ต้องขอโทษท่านอาจารย์ก่อน เพราะคำถามจะไม่ตรงกับเจตนาที่เราสนทนากันอยู่ เพราะว่า คำถามให้คิดเป็นเรื่องเป็นราว แต่ข้อนี้สงสัยมานานแล้วและตั้งใจจะถามนานแล้วว่า ทุกอย่างที่เราสนทนากันอยู่เรื่องปฏิสนธิ เรื่องภวังค์ เรื่องต่างๆ ทั้งหมดนี้ จิต และเหตุปัจจัยของจิต เจตสิกเหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ด้วยการรู้ตรงจริงๆ หรือเป็นการสรุปจากความเข้าใจอื่นๆ ครับ) เพราะฉะนั้น เป็นหน้าที่ของคุณมานิชที่ต้องฟังคำแล้วพิจารณา ว่า สิ่งที่กำลังได้ยิน มาจากความคิดนึก หรือมาจากการรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ. (สุคิน: พอดีคุณมานิชสัญญาณไวไฟ ไม่ดี ผมจึงพูดให้คนอื่นฟัง เขาก็เข้าใจตามที่ท่านอาจารย์พูดว่า ที่จะรู้ว่าพระพุทธองค์รู้ได้อย่างไร รู้จริงไหม ก็จากการที่เราฟังธรรมแล้วเข้าใจเอง ไม่ใช่ว่าให้คำตอบแล้วตัวเองไม่เข้าใจอะไรเลย จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของการสนทนาธรรม การสนทนาธรรมคือ เจริญเข้าใจของตัวเอง เพราะฉะนั้น ฟังธรรมต่อไป แล้วก็จะเข้าใจเอง และรู้คำตอบจากการเข้าใจของตัวเอง) ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะคุณสุคิน ต้องพิจารณาว่า แม้แต่คำว่า ธาตุรู้ ถ้าไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ จนประจักษ์แจ้ง กล่าวได้ไหมว่าเป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ จึงมีสิ่งที่ถูกรู้ปรากฏ (คุณสุคิน: คุณมานิชบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า คำถามนี้ไม่ใช่เป็นการเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ แต่ก็ยังมีคำถาม ผมเลยบอกว่า ตอนนั้นหลงลืมใช่ไหมว่า จุดประสงค์ของการสนทนาธรรมอยู่ที่ไหน ก็คือความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏอยู่ ... ) แต่ ทั้งหมดไม่ตรงประเด็นเลย เพราะฉะนั้น เขาฟังแล้ว เขารู้ไหมว่า คนที่จะกล่าวได้ว่า สภาพรู้กำลังรู้ ถ้าไม่รู้จริงๆ จะพูดอย่างนี้ได้ไหม เพราะเขาสงสัยว่าพระพุทธเจ้า คิด หรือว่าตรัสรู้ ความจริง (มานิชเข้าใจว่า พระพุทธองค์สอนเราเรื่องจิตตอนนี้ ที่เรารู้เราเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ได้ตรัสรู้จริงๆ ก็ไม่สามารสอนเราได้ แสดงว่าที่เรารู้ที่เราได้ยินจากผู้รู้จริงๆ) เพราะฉะนั้น เข้าใจคำว่า ตรัสรู้แล้วยัง? ถ้าเข้าใจแล้วบอกหน่อย ตรัสรู้คืออะไร? (อาช่า: ตรัสรู้คือ รู้ทั่วสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ตอนนี้) รู้ความจริงทุกอย่างไม่เว้นเลย รู้ความจริงตั้งต้นจนถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง มีอะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงรู้ (ไม่มี) เพราะฉะนั้น ทุกคำฟังเพื่อเข้าใจตั้งแต่ต้น เพราะว่าพระองค์ทรงแสดงธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามลำดับ จนถึงการประจักษ์แจ้งตรงตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว.

- (มานิช: ความหมายของการตรัสรู้คือ การรู้ทุกอย่างทั่วหมด นี่คือความหมายของการตรัสรู้ได้ใช่ไหม) ตามความเป็นจริงถึงที่สุดโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อฟังคำของพระองค์เท่านั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ได้ยินชื่อ แต่ ฟังคำ แล้วไตร่ตรองว่า เป็นความจริงหรือเปล่า เดี๋ยวนี้มีสภาพรู้จริงไหม? (มีจริง) สิ่งที่มีจริงเป็นขณะที่สภาพรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น จึงเข้าใจความจริงว่า สิ่งนั้นมีจริงๆ .

- ก่อนฟังคำของพระพุทธเจ้ารู้ว่า สิ่งที่มีจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า? (ไม่ได้รู้อย่างนี้) เริ่มเห็นคุณสูงสุดไหม ไม่เคยเข้าใจเลยในสังสารวัฏฏ์ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้ว่า มีธาตุรู้ ต้องเข้าใจแต่ละคำมั่นคงละเอียดขึ้น ธาตุรู้เกิดขึ้นไม่รู้ได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ต้องมั่นคงว่า ธาตุ สิ่งที่มีจริง ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ เพราะฉะนั้น จะเปลี่ยนจากธาตุรู้เป็นธาตุไม่รู้หรือเป็นอื่นไม่ได้เลย.

- ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ ธาตุรู้เป็นเรา เป็นงู เป็นนก เป็นปลาหรือเปล่า? (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้น ธาตุรู้เกิดขึ้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่มีจริงๆ เกิดขึ้นรู้ เกิดขึ้นต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้.

- เสียง เป็นธาตุหรือเปล่า? (เป็น) เพราะอะไร? (เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น) เปลี่ยนเสียงให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม? (ไม่ได้) ภาษาบาลีใช้คำว่า สัททธาตุ ธาตุที่เกิดขึ้นเป็นเสียง ใครทำให้ธาตุที่เป็นเสียงเกิดขึ้นได้บ้าง? (ไม่มีใครทำได้) นี่คือ ความเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพที่มีจริงทุกอย่าง.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 11 ก.พ. 2566

- เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มั่นคงไหม? (มั่นคง) ความไม่รู้มีไหม? (มี) ความไม่รู้เกิดขึ้น รู้ เข้าใจได้ไหม? (ไม่ได้) ความไม่รู้เป็นธรรมหรือเปล่า? (เป็น) ความไม่รู้เป็นธาตุหรือเปล่า? (เป็น) ความไม่รู้เป็นเราหรือเปล่า? (ไม่เป็น) มีเราไหม? (ไม่มี) ใครเห็น? (ธาตุเห็น) เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้น ธาตุรู้มีแน่นอน ใช่ไหม? (มีแน่นอน) เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้ไหม? (มี) รู้จักธาตุรู้หรือยัง? (ยัง) ถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตามลำดับ ให้มีการไตร่ตรองให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี จนกว่าจะประจักษ์แจ้งในความเป็นสิ่งนั้น.

- ทำไมเราต้องเรียนทุกอย่างที่มีจริงในชีวิต? (เพื่อละความไม่รู้) เพราะถ้าไม่รู้ความจริง ก็เข้าใจว่า มีเรา เป็นเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง พระคุณของพระองค์ประมาณไม่ได้ จากการที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยในชีวิต ก็ค่อยๆ รู้ความจริงจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง.

- เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเราเลยได้ไหม ฟังแค่นี้จะหมดความเป็นเราหรือยัง? (ยัง) ต้องฟังอีกนานเท่าไหร่? จนกว่าจะเข้าใจขึ้น นี่เป็นความรู้ขั้นปริยัติ ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง ทั้งๆ ที่สิ่งนี้กำลังเป็นจริง แต่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น.

- เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นเกิดแล้วดับไปหรือเปล่า? (ยัง) แต่ความจริงเห็นเกิดแล้วดับหรือเปล่า? (เกิดดับ) แล้วความจริงเป็นอย่างนี้ สามารถจะรู้แจ้งความจริงของเห็นที่เกิดดับได้ไหม? (รู้ได้) เมื่อมีความเข้าใจขึ้นจึงเข้าใจถูกต้องว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของธรรมให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับจนสามารถประจักษ์ความจริงได้.

- ถัาไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง แต่ละขณะ สามารถที่จะละความเป็นเราได้ไหม? (ไม่ได้) แต่เมื่อเข้าใจความจริงทีละหนึ่ง ค่อยๆ ละความไม่รู้ทีละหนึ่งจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ ว่า ขณะนี้กำลังสนใจ หรือเข้าใจ หรือใส่ใจเฉพาะธรรมหนึ่ง ความเข้าใจอย่างนี้เป็นเราหรือเปล่า? (ไม่เป็นเรา) ความไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นเราหรือเปล่า? (ไม่เป็นเรา) นี่เป็นหนทางที่จะรู้ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา.

- เริ่มต้น ไม่ลืมว่า ทุกอย่างที่มีจริงไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่เรา เป็นแต่ละหนึ่งที่เป็นธาตุรู้ และสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ไม่ใช่ธาตุรู้ สภาพที่เกิดขึ้นรู้เป็นนามธรรม จะใช้คำว่า (นาม + ธาตุ) นามธาตุก็ได้ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่รู้อะไร ไม่สามารถรู้ได้เป็นรูปธรรม (รูป + ธรรม) ทั้งหมดไม่ว่าที่ไหน โลกนี้ โลกหน้า สวรรค์ มนุษย์ อะไรก็ตาม เป็นธาตุ ธรรม อย่างหนึ่งอย่างไรคือ เป็นนามธาตุหรือรูปธาตุเท่านั้นใช่ไหม เราเรียกว่า สุนัข แต่ความจริงคืออะไร? (ตอนที่เห็น ก็เป็นเห็น ถ้าคิดก็เป็นอีกธาตุหนึ่ง) ที่เราเรียกว่า สุนัข ก็เป็นนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น นามธาตุเป็นสุนัขหรือเป็นเรา? (ไม่ได้เป็นสุนัข ไม่ใช่เป็นเรา) นี่เริ่มเข้าใจ คำว่า ธรรมละเอียดขึ้น เป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่ของใคร เกิดแล้วก็ดับไป ความรู้เท่านี้ไม่พอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงความจริงของแต่ละหนึ่งละเอียดขึ้น เพื่อให้ค่อยๆ เห็นความจริงว่า ไม่ใช่สิ่งอื่น นอกจากเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของใคร และไม่เป็นใคร จึงเป็นอนัตตา.

- คุณอาคิ่ล คุณอาช่า คุณสุคิน ดิฉัน ต่างกับสุนัขอย่างไรค่ะ (เป็นนามธาตุ และรูปธาตุ ไม่มีอะไรต่างกัน) แล้วอะไรทำให้ต่างกัน (จากนัยะที่เรากำลังสนทนาธรรมอยู่ พูดได้ว่า สุนัขที่อยู่ที่บ้านไม่สามารถที่จะฟังและเข้าใจธรรมที่เราพูดกันได้) ค่ะ และก็มีรูปร่างที่ต่างกัน ทำให้เป็นนก เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเทวดาต่างๆ มีความจริงก็เป็นนามธรรม รูปธรรมที่เป็นกุศล และอกุศล และเป็นผลของกุศล และอกุศล ใครก็ตามที่ตายแล้วเกิดเป็นสุนัขได้ไหม? (ได้ ตามเหตุปัจจัย) อะไรทำให้เกิดเป็นสุนัข เป็นนก เป็นแมว? (เป็นผลของอกุศลกรรม) เราพูดได้ แต่ยังไม่รู้จักความเป็นจริงของธรรม.

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 11 ก.พ. 2566

- ถ้าไม่ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด โดยประการทั้งปวง ๔๕ พรรษา ไม่สามารถที่จะคิดเองได้ ว่า อะไรเป็นเหตุให้ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏหลากหลายต่างๆ กัน ถ้าไม่เข้าใจความจริงจนสามารถละความเห็นผิดๆ ก็ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งแล้ว ใครก็ตามที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้.

- การไม่รู้ความจริงมีมากไหม? (มีมาก) มากอย่างไร? (ยกตัวอย่างเห็นที่มีอยู่ตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเห็นมีจริง สำหรับเราเห็นเหมือนกับว่าเป็นสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จึงสรุปว่าความไม่รู้เยอะ) เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้ความจริงของอะไรทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนตายทุกอย่างใช่ไหม? (ใช่) แต่พอฟังความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เริ่มเข้าใจถูกขึ้นทีละน้อยใช่ไหม? (ใช่) .

- เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เราจะสนทนาสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว เรื่องอะไรก็ได้ ทุกคนที่ฟังแล้วรู้แล้วว่า ความจริงต้องเป็นการที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงสัยอะไร จะสนทนาเรื่องอะไรก็เชิญเลย.

- ทุกคำที่เป็นคำตอบ เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะเข้าใจความจริงนั้นมากน้อยแค่ไหน ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจ ก็คือ ต้องฟังต่อไป ไตร่ตรองต่อไปจนกระทั่งรู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผิดจากความเป็นจริงได้ไหม? (ไม่ได้) จะรู้อย่างนี้ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระองค์.

- เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ก็จะกล่าวถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว ถ้าต้องการที่จะเข้าใจคำไหน เราก็จะสนทนาคำนั้น.

- (คุณสุคิน: อาช่าบอกว่าเวลาศึกษาธรรม ไม่สำคัญตรงภาษา เราสามารถเข้าใจจากภาษาตัวเองได้ เพราะฉะนั้น จะฟังภาษาใดภาษาหนึ่งรู้เรื่องไม่สำคัญ แต่สำคัญว่าสิ่งที่มีจริงสามารถเข้าใจในภาษาตัวเองได้ เขาก็สงสัยเรื่องสุนัขเพราะไม่สามารถเข้าใจภาษาคนได้ แล้วสุนัขจะเข้าใจธรรมได้หรือเปล่า?) ลองพูดธรรมกับสุนัขซิ (ตอนนี้ถ้าคุยกับสุนัขไม่เข้าใจแน่นอน แต่สงสัยว่าถ้าตามหลักแล้วสุนัขที่อยู่กับคุณอาช่า ถ้าชาติก่อนเป็นมนุษย์ได้ฟังธรรมได้เข้าใจธรรม ผมเลยพูดอย่างนี้ว่า ถ้าชาติก่อนเกิดที่อิเดียฟังภาษาฮินดีเข้าใจภาษาฮินดี แล้วเรากำลังสนทนาธรรมภาษาฮินดีกัน ตรงนี้หรือเปล่าที่เป็นคำถามของคุณอาช่าว่าชาติก่อนได้ฟังภาษาฮินดีแล้วเข้าใจ ชาตินี้เกิดเป็นสุนัขมาฟังธรรมภาษานี้อยู่จะเป็นปัจจัยอย่างไรให้สุนัขระลึกอะไรได้ครับ) ไปอีกเรื่องใช่ไหม พ้นจากเรื่องสุนัขแล้วใช่ไหม หรือเรื่องสุนัขอยู่? (เรื่องสุนัขอยู่) เพราะฉะนั้น คุณอาช่าสามารถรู้ได้ไหมว่าที่เรากำลังคุยกันนี่ สุนัขเข้าใจหรือเปล่า? (ไม่ทราบ) ไม่ทราบ แล้วจะรับทราบได้ไหม? (คือ คุณอาช่าเองไม่ทราบว่าสุนัขรู้หรือไม่) แล้วคนอื่นจะรู้ไหมถ้าเขาไม่รู้? (ความไม่รู้ไม่สามารถจะรู้ได้) แล้วจะคิดทำไม คิดแล้วรู้ได้ไหม?.

- (คำถามของอาช่า คือ ความไม่รู้ เราเข้าใจว่าความไม่รู้ ก็คือ ไม่รู้สิ่งที่มีจริงตอนนี้ มีความหมายหรืออวิชชาทำกิจนอกจากนี้ไหมว่า ไม่รู้ มีอวิชชาชนิดอื่นไหม นอกจากไม่รู้สิ่งที่มีจริง) ชนิดอื่นหมายความว่าอะไร? (อาช่าอยากรู้ว่า อวิชชาแต่ละครั้งเกิดขึ้นจะมีความต่างกันไหมว่า จะแรงจะมากหรือน้อย ผมเพื่อให้รู้ว่าเขามาถูกทางไหม ผมเลยพูดถึงอกุศลจิต ๑๒ ซึ่งมีอวิชชาเกิดร่วมด้วยทั้งหมด แกเลยตั้งคำถามใหม่ว่า อยากทราบเกี่ยวกับอวิชชา ว่า อวิชชาที่เกิดกับอกุศลจิตทั้ง ๑๒ มีความแตกต่างกันหรือเปล่า) คุณสุคินคะ จะพูดเรื่องกุศลจิต อกุศลจิตมีเท่าไหร่ไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจคำถามนี้เลย เพราะฉะนั้น เราไม่ไปไกล เราจะอยู่ที่แต่ละคำ ให้เขาเข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น ถามเขาว่าเวลาที่เขาไม่รู้ เป็นความไม่รู้อย่างเดียวหรือเป็นอย่างอื่นด้วย บางคนฟังแล้วเข้าใจได้ บางคนอีกนานกว่าจะเข้าใจ แสดงให้เห็นว่า อวิชชา มากหรือน้อยแค่ไหน จะรู้ได้ว่า อวิชชามากหรือน้อยแค่ไหนเมื่อฟังคำจริงแล้วเข้าใจทันที หรืออีกนาน หรือเข้าใจนิดหน่อย คนที่ฟังธรรมแล้วไม่ได้เข้าใจทั้งหมดทันทีพร้อมกันถึงที่สุด แสดงว่า อวิชชาต่างๆ สะสมมามากน้อยแค่ไหน.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอ อย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 11 ก.พ. 2566

- คนที่ฟังธรรมแล้วไม่ได้เข้าใจทั้งหมดทันทีพร้อมกันถึงที่สุด แสดงว่า อวิชชาต่างๆ สะสมมามากน้อยแค่ไหน จะรู้ความจริงเมื่อกำลังเกิดขึ้น อธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ เข้าใจไม่ได้เลย มากไหม กับคนที่ฟังแล้วสามารถเข้าใจได้ ธรรมไม่ใช่คิดเอง เอาโน่นเอานี่มาผสม แต่พิสูจน์ได้ทันที.

- ไม่ทราบมีเรื่องอื่นไหมที่ควรเข้าใจให้ชัดเจนถูกต้องละเอียดขึ้น เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้มากขึ้นก็ละความติดข้องความสงสัยไม่ได้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นหนทางเดียวที่จะละคลายความไม่รู้และความติดข้อง หนทางอื่นไม่มีใช่ไหม.

- เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ความรู้ยังไม่พอที่จะรู้ว่า เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ต้องค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นจึงรู้ว่า นี่เป็นหนทางเดียวที่ลึกซึ้งที่จะรู้ความจริงซึ่งเป็นอริยสัจจธรรมที่ ๔ ถ้าไม่รู้ว่าความเข้าใจเดี๋ยวนี้ทีละน้อยที่เพิ่มขึ้นเป็นหนทางที่จะรู้แจ้งความจริง ก็ไม่สามารถที่จะถึงการประจักษ์แจ้งความจริงได้.

- เพราะฉะนั้น การเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อย จะค่อยๆ ละความสงสัยและความไม่รู้ ถ้ารู้แล้วจะสงสัยไหม (ไม่สงสัย) เพราะฉะนั้น ที่สงสัยเพราะไม่รู้จริงๆ ใช่ไหม นี่คือความต่างกันของ ปริยัติกับปฏิปัตติ กับปฏิเวธะ.

- เพราะฉะนั้น ยังสงสัยในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ใช่บอกให้เราเข้าใจเพียงจากการที่พระองค์คิด แต่จากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่เป็นอย่างที่พระองค์ตรัสให้เรารู้ทุกคำ.

- เพราะฉะนั้น ฟังทุกคำของพระองค์ ไตร่ตรองให้เข้าใจถูกต้องจริงๆ เพิ่มขึ้น เป็นหนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และความสงสัย เพียงฟังสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงทันทีได้ไหม? (ไม่ได้) แล้วแต่กำลังของปัญญา ถ้าเป็นท่านพระสารีบุตรเพียงฟังไม่มากก็สามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ เพราะรู้จริง ไม่ใช่เพราะไม่รู้.

- เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้กำลังฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ตรงว่ามีความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสที่หมายความถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แค่ไหน เพียงได้ยินได้ฟังเท่านี้สามารถจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมทีละหนึ่งซึ่งเกิดดับได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น รู้ว่า จะเข้าใจได้ต่อเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ได้ฟังแล้วไตร่ตรอง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

- ความสงสัยมีจริงไหม? (มีจริง) เป็นธรรมหรือเปล่า? (เป็นธรรม) เป็นธรรมอะไร? (เป็นเจตสิก) เจตสิกคืออะไร? (เป็นนามธาตุ) ทำไมเป็นเจตสิก (เพราะเจตสิกไม่ได้เหมือนจิต) ไม่เหมือนกันอย่างไร (จิตรู้อารมณ์ทั่ว) ไม่ใช่นะ จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ เจตสิกก็เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ต่างกันอย่างไร? (ต่างกันตรงกิจ ไม่เหมือนกัน จิตเพียงแต่รู้อารมณ์ทั่ว ส่วนเจตสิกที่เกิดพร้อมจิตมีกิจของตนเอง) หมายความว่าอย่างไร รู้ทั่ว (ยกตัวอย่างเห็น เห็นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา จะเรียกว่าสี หรือสิ่งที่ปรากฏทางตา รู้ชัดเจน) ไม่ใช่ทั่ว (ครับ ผมพูดผิดไป) เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เดี๋ยวนี้มีจิตไหม? (มี) รู้ว่ามีจิต แต่ประจักษ์แจ้งสภาพที่เป็นธาตุรู้เท่านั้นแล้วหรือยัง (ยัง) นี่เป็นความลึกซึ้งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางว่า สามารถที่จะรู้จิตแจ่มแจ้ง ถูกต้อง ด้วยความเข้าใจว่า เป็นจิต ไม่ใช่สภาพธรรมอื่น.

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธาตุรู้ทุกประเภท เพราะว่าธาตุรู้มีหลายอย่าง เพราะฉะนั้น เราจึงได้ยินคำว่า จิต จิตตะ เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้น รู้แจ้ง สิ่งที่ปรากฏซึ่งเป็นอารมณ์ แต่จิตเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ซึ่งเป็นธาตุรู้ทั้งหมด ธาตุรู้ที่เกิดพร้อมกับจิตมีลักษณะต่างๆ แต่ไม่ใช่จิต สภาพรู้ที่เกิดพร้อมกับจิตรู้อารมณ์สิ่งเดียวกับที่จิตรู้ ดับพร้อมจิต แต่ไม่ใช่จิต เพราะมีลักษณะเป็นธาตุรู้ แต่ละอย่าง หลากหลายจึงเป็นเจตสิก.

- เดี๋ยวนี้มีอะไร? (มีเห็น) มีจิต มีเจตสิก มีรูป ขณะเกิดก็มีจิต เจตสิก รูป ขณะที่ไม่ใช่ขณะเกิดแต่ไม่ใช่ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็มีจิต มีเจตสิก มีรูป เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีเราเพราะรู้ว่าเป็นจิตอะไร เป็นเจตสิกอะไร เป็นรูปอะไร ถ้าไม่รู้อย่างนี้ก็เป็นเราแน่นอน สิ่งที่มีจริงไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร แต่เข้าใจผิดว่า เป็นเรา ของเรา เพราะฉะนั้น ความเข้าใจผิดมีจริง เป็นทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากความเป็นจริง.

- สิ่งที่มีจริง แล้วเข้าใจขึ้นทีละน้อย เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเบื้องต้นที่จะทำให้ได้ยินคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรม ก็สามารถเข้าใจความจริงได้ ว่า คืออะไร เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงก็สามารถที่จะทิ้งลักษณะที่เป็นอย่างนั้นในขณะนี้ได้ นั่นคือ การเริ่มเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ จนสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เริ่มปรากฏให้รู้ความจริงว่า เป็นอย่างหนึ่งเท่านั้นแต่ละหนึ่งๆ ที่สามารถถึงสิ่งที่มีจริงด้วยความเข้าใจ ขณะนั้นไม่เพียงเข้าใจเรื่องของสิ่งนั้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริง แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง.

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ