ทรงแสดงปริยายอันเป็นมูลของธรรมทั้งปวง
การเจริญปัญญานั้น จะต้องรู้ลักษณะสภาพของรูปแต่ละรูปที่ประชุมรวมกัน ละคลายการยึดถือความเป็นกลุ่มเป็นก้อน ถ้ายังควบคุมประชุมรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่ตราบใด ความยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ว่าวัตถุสิ่งนั้นเที่ยงก็ต้องมีอยู่ เมื่อไม่กระจัดกระจายก็จะประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมแต่ละลักษณะนั้นไม่ได้ เพราะเหตุว่ายังประชุม ยังรวมกันอยู่
ขอกล่าวถึงใน มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มูลปริยายสูตร
ซึ่งครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โคนไม้พญารัง ในสุภควัน เขตเมืองอุกกัฏฐา พระผู้มีพระภาคทรงแสดงปริยายอันเป็นมูลของธรรมทั้งปวง
ซึ่งมีข้อความโดยย่อว่า
ปุถุชนในโลกนี้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมรู้สภาพธรรม แต่ยินดียึดถือในสภาพธรรม เช่น ธาตุดิน ลักษณะที่อ่อนแข็ง
มีใครบ้างไหมที่ไม่รู้ลักษณะที่อ่อนที่แข็ง ทุกคนรู้ในลักษณะที่อ่อนที่แข็งในสภาพที่อ่อนแข็งนั้น แต่ยึดถือ สำคัญโดยความเป็นของเรา รูปของเราหรือเปล่า อ่อนแข็งก็จริง แต่ก็ยึดถือโดยความเป็นของเรา และข้อความต่อไปก็กล่าวถึงสภาพธรรมไม่ว่าจะเป็นเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
แม้ย่อมรู้สัตว์โดยความเป็นสัตว์ แต่ย่อมสำคัญในสัตว์
ต่อไปก็เป็น ในเทวดา ในพรหม ในรูปที่เห็น ในเสียงที่ได้ฟัง ในอารมณ์ที่ได้ทราบ ในธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยใจ ในสักกายะโดยความเป็นอันเดียวกัน ใน สักกายะโดยความต่างกัน
เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีปรากฏ อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ตึง ไหว เสียง สี กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ รู้ แต่มีความสำคัญในสิ่งนั้นโดยความเป็นตัวตน หรือโดยความเป็นเรา โดยความเป็นของเรา
ข้อความใน อรรถกถาปปัญจสูทนี อธิบายพยัญชนะเหล่านี้ จะขอยกมาบางตอน ซึ่งมีว่า
ทิฏฺฐํ กล่าวว่า เป็นชื่อของรูปายตนะ รูปารมณ์
เห็นรูปารมณ์ด้วยสุภสัญญาและสุขสัญญา และให้เกิดฉันทราคะในรูปายตนะนั้น ชื่อว่า ชื่นชมยินดีรูปายตนะนั้น
เห็นสิ่งต่างๆ เห็นรูปารมณ์ รูปารมณ์ที่มากระทบตาก็เป็นรูปายตนะ เวลาที่เห็นของที่สวยๆ งามๆ มีความรู้สึกว่าเป็นสุข เห็นวัตถุแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ความจริงรูปนั้นปรากฏชั่วขณะที่เป็นรูปายตนะที่กระทบกับจักขุปสาทเท่านั้น แต่ก็ชื่นชมยินดีในรูปายตนะ ในรูปารมณ์ ในสิ่งที่กำลังเห็นนั้น นี่เป็นประการหนึ่ง คือ เมื่อเห็นแล้ว ก็เกิดความชื่นชมยินดีด้วยตัณหาหนึ่ง
ย่อมสำคัญรูปารมณ์นั้น ด้วยความสำคัญแห่งมานะ
วันหนึ่งก็เห็นกันมากมาย เห็นทั้งเราเอง เห็นทั้งบุคคลอื่น แต่ว่าย่อมสำคัญรูปารมณ์ด้วยความสำคัญแห่งมานะ
เพราะเมื่อเห็นสมบัติและวิบัติของรูปของตนและผู้อื่นแล้ว ให้เกิดมานะขึ้นว่า เราดีกว่า เราเสมอเหมือน เราเลวกว่า
แล้วแต่ว่าเราจะเกิดมานะในลักษณะใด นี่เป็นประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง ย่อมสำคัญรูปายตนะว่าเที่ยง ยั่งยืน ด้วยอำนาจทิฏฐิ
สิ่งที่กำลังเห็นนี้ไม่ดับเลยใช่ไหม กำลังเห็นกันอยู่ทุกคนๆ เวลานี้ ถ้าไม่เห็นการเกิดขึ้นและดับไปก็ด้วยอำนาจของทิฏฐิหนึ่ง ซึ่งในเรื่องของรูป ไม่ใช่แต่เฉพาะที่เห็นด้วยตาเนื้ออย่างเดียว ยังสำคัญรวมไปถึงสิ่งที่เห็นด้วยตาทิพย์
สำหรับ สุตํ ก็โดยนัยเดียวกัน
สุตํ ในที่นี้หมายถึงเสียง ที่ได้ยินด้วยโสตะและทิพพโสตะ ถึงมีทิพพโสตะได้ฌานอภิญญาสมาบัติสามารถรู้เสียงที่ไกล เสียงที่เป็นทิพย์ แต่ก็ยังมีความยึดถือสำคัญตนด้วยมานะได้ หรือว่ายึดถือด้วยความยินดี เพลิดเพลินด้วยอำนาจของความชื่นชมยินดีด้วยตัณหาได้ หรือด้วยอำนาจของทิฏฐิที่ไม่เห็นความเกิดขึ้นและดับไปของเสียงนั้นได้
ข้อต่อไป คือ มุตํ เป็นชื่อของกลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ส่วน วิญญาตํ เป็นสภาพธรรมที่รู้ด้วยใจอย่างเดียว ไม่สามารถที่จะรู้ด้วยตา หรือด้วยหู ด้วยจมูก ด้วยลิ้น ด้วยกาย
ที่สำคัญของสูตรนี้ คือ ตอนท้ายของ มูลปริยายสูตร มีข้อความว่า
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสมูลปริยายนี้จบแล้ว ภิกษุเหล่านั้นมิได้ชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล
ท่านผู้ฟังคงจะได้เห็นความละเอียดลึกซึ้งของสภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แม้พระภิกษุที่ท่านได้ฟังแล้ว ถ้าอินทรีย์ไม่แก่กล้า ท่านก็มิได้ชื่นชมในพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค
อรรถกถาสารัตถปกาสินี ซึ่งเป็นอรรถกถาของ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค นกุลปิตาสูตร มีข้อความว่า
บทว่า ปริยุฏฺฐฏฺฐายี ความว่า เป็นผู้ดำรงอยู่โดยอาการที่ถูกปริยุฏฐานกิเลสครอบงำ เป็นผู้ที่ยึดถืออย่างหนักแน่นด้วยตัณหา ทิฏฐิ อย่างนี้ว่า รูปํ อหํ มมํ รูปเป็นเรา รูปเป็นของเรา แม้ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็โดยนัยเดียวกัน
สำหรับสักกายทิฏฐิ ได้ทรงจำแนกเป็นอุจเฉททิฏฐิและสัสสตทิฏฐิ คือ ถ้ามีอุจเฉททิฏฐิก็เป็นสักกายทิฏฐิ และถ้ามีสัสสตทิฏฐิก็เป็นสักกายทิฏฐิด้วย
ถ้าท่านผู้ฟังพบพยัญชนะเรื่องตัณหา ๑๐๘ คือ กามตัณหา ๑ ภวตัณหา ๑ วิภวตัณหา ๑ รวมเป็นตัณหา ๓ ซึ่งเป็นไปในอารมณ์ ๖ คือ เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ รวมเป็นตัณหา ๑๘ ตัณหาเหล่านี้เป็นไปในภายใน ๑๘ ภายนอก ๑๘ รวมเป็น ๓๖ และตัณหาเหล่านี้เป็นอดีต ๓๖ เป็นอนาคต ๓๖ เป็นปัจจุบัน ๓๖ ก็รวมเป็นตัณหา ๑๐๘ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 147
เปิดฟัง ...

