กิเลส และ อาสวะ
บางท่านได้ยินคำว่ากิเลส บางท่านได้ยินคำว่าอาสวะ ท่านอาจจะไม่ทราบว่า ทำไมบางครั้งใช้คำว่ากิเลส และบางครั้งก็ใช้คำว่าอาสวะ ซึ่งความจริงแล้วสภาพของอกุศลธรรมทั้งหมดเป็นเจตสิก ๑๔ ดวง หรือ ๑๔ ประเภท แต่มีกิจการงานในวันหนึ่งๆ ตามประเภทของสภาพธรรมนั้นๆ เช่น อาสวะเป็นอกุศลธรรมซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๔ คือ อาสวะ ๔ ได้แก่ กามาสวะ ๑ ภวาสวะ ๑ ทิฏฐาสวะ ๑ อวิชชาสวะ ๑
กามาสวะ สภาพที่ไหลไปตามรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ด้วยความยินดี ด้วยความพอใจ ด้วยความเพลิดเพลิน
ภวาสวะ เป็นความยินดีความพอใจ ได้แก่ โลภเจตสิก สภาพที่มีความยินดี มีความต้องการในภพ ในชาติ หรือว่าในขันธ์นั้นเอง
ความยินดีพอใจนี้ไม่ได้เป็นไปแต่เฉพาะในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ว่ายังยินดีที่จะเห็น ที่จะได้ยิน ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นภพเป็นชาติสืบต่อไป นี่เป็นความยินดีในภพซึ่งทุกท่านมี ถ้าไม่เจริญสติจะหมดไปไม่ได้เลย
สำหรับทิฏฐาสวะนั้นก็เป็นความเห็นผิด ยินดียึดมั่นในความเห็นผิด
อวิชชาสวะนั้นก็ได้แก่ การที่ไหลไป หลงไปด้วยความไม่รู้สภาพความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าสติไม่เกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่สามารถที่จะละอาสวะเหล่านี้ได้เลย
และการที่จะละอาสวะทั้ง ๔ จะยากสักแค่ไหน
สำหรับกามาสวะ ความยินดี ความหลง ความไหลไปตามอารมณ์ที่เป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น ใน ปปัญจสูทนี ซึ่งเป็น อรรถกถาของ มัชฌิมนิกาย แสดงการอุปมาว่า
อุปมาเหมือนกับมีดหั่นเนื้อและเขียง คนวางเนื้อบนเขียง แล้วสับด้วยมีดฉันใด สัตว์ทั้งหลายก็ถูกกิเลสกามเบียดเบียนอยู่ เพราะต้องการวัตถุกาม ชื่อว่า ถูกสับโขกด้วยกิเลสกามบนวัตถุกาม เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคจึงตรัสให้ละฉันทราคะในกามคุณ ๕
เมื่อมีกามราคะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเกิดขึ้น สิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว ปรากฏแล้วเพราะมีเหตุปัจจัย สติก็ระลึกรู้ เป็นจิตตานุปัสสนา เป็นปกติธรรมดา
ถ้ายิ่งศึกษาธรรมโดยละเอียด ท่านก็จะยิ่งเข้าใจชัดเจนขึ้นถึงการละกิเลสว่า ควรจะเจริญอย่างไร ไม่ใช่ไปบังคับ ไม่ใช่ไปฝืน เพราะเหตุว่ากามราคะ หรือกามาสวะนั้นจะหมดสิ้นไปได้ก็ต่อเมื่อบรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามี ถ้าเป็นพระโสดาบันบุคคล หรือพระสกทาคามีบุคคล ก็ยังมีกามาสวะ แต่ไม่มีทิฏฐาสวะ นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจด้วย
สำหรับเรื่องของภวาสวะ คือ ความยินดีพอใจในภพในชาติ ไม่ว่าจะเป็นในการเห็น การได้ยิน ก็อยากจะเห็นอยู่เรื่อยๆ อยากจะได้ยินอยู่เรื่อยๆ อยากจะมีขันธ์ ๕ อยู่เรื่อยๆ ซึ่งในข้อนี้มีอุปมาว่า
นันทิราคะ เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ ขึ้นชื่อว่าชิ้นเนื้อนั้นคนส่วนมากต้องการ แม้มนุษย์ทั้งหลาย มีกษัตริย์ เป็นต้น เดรัจฉาน มีกา เป็นต้น ก็มีความต้องการในชิ้นเนื้อเช่นกัน สัตว์เหล่านี้มีอวิชชา ติดในนันทิราคะ ย่อมปรารถนาวัฏฏะ ชิ้นเนื้อย่อมติดอยู่ในที่ที่วางไว้แล้วฉันใด สัตว์ทั้งหลายถูกนันทิราคะผูกพัน ย่อมติดอยู่ในวัฏฏะ ฉะนั้น
แม้ถึงประสบความทุกข์ ก็ไม่รู้จักเบื่อหน่าย เพราะเหตุนั้นนันทิราคะจึงเปรียบด้วยชิ้นเนื้อ พระผู้มีพระภาคตรัสให้ละนันทิราคะด้วยมรรคที่ ๔
การละกิเลสนี้ต้องละเป็นขั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นพระอนาคามีบุคคล ละความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ยังมีความยินดีพอใจในภพ ในชาติ ในขันธ์ ซึ่งจะละได้ก็ด้วยอรหัตตมรรค
นี่ก็เป็นเครื่องที่แสดงให้เห็นว่า การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ อย่าไปละผิด หรือว่าอย่าไปบังคับผิดๆ
สำหรับในเรื่องของ ทิฏฐาสวะ นั้นที่จะละได้หมด ต้องเป็นพระโสดาบัน บุคคล สำหรับผู้ที่เริ่มเจริญสติปัฏฐาน ถ้าท่านระลึกรู้แต่เพียงรูปธรรม ตัวตนยังอยู่ที่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะฉะนั้น ผู้เจริญสติปัฏฐานก็ทราบว่า ปัญญาเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ท่านก็จะไม่ข้ามการระลึกรู้ลักษณะของเวทนา คือ ความรู้สึกที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ถ้าคิดจะข้ามก็เป็นตัวตนที่คิด ไม่ใช่เป็นสติที่ระลึกรู้ว่า การละสักกายทิฏฐิได้จริงๆ นั้น ปัญญาต้องสมบูรณ์มาก ละเอียดขึ้น คมกล้าขึ้น รู้แจ้งจริงๆ ในลักษณะของรูปและนามที่กำลังปรากฏ แล้วก็ไม่มีเยื่อใยไปยึดโยงไว้ว่าเป็นตัวตน
สำหรับ อวิชชาสวะ ใน ปปัญจสูทนี ได้ทรงแสดงเปรียบ อวิชชาด้วยลิ่มสลัก ซึ่งก็เป็นลิ่มสลักของประตูเมืองที่ปิดกั้นคนข้างนอกและข้างในไม่ให้ผ่านไปมาได้
ลิ่มสลัก คือ อวิชชาในญาณมุขของผู้ใดตกไป การเข้าถึงญาณที่จะให้บรรลุพระนิพพานของผู้นั้นถูกปิดลง เข้าประตูพระนิพพานไม่ได้ ไปติดสลักคือ อวิชชาอยู่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การละอวิชชา เริ่มต้นด้วยการเรียน สอบถามกัมมัฏฐาน
บางท่านฟังปริยัติ แต่เวลาเจริญสติจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ความต้องการเข้ามาแทรก เข้ามาบิดเบือนเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความหวังผลว่าให้ทำอย่างนั้น มีตัวตนเข้าไปแทรก
เวลาที่ฟังเรื่องการเจริญสติปัฏฐานก็เข้าใจถูกต้อง แต่เวลาสติเกิดจริงๆ ไม่เป็นเหมือนอย่างที่ฟังแล้วเข้าใจ เพราะเหตุว่าอวิชชานั้นหลายขั้นมากมายเหลือเกิน กำลังฟังพิจารณาเหตุผลแล้วเข้าใจถูกเป็นญาณสัมปยุตต์ เป็นกุศลจิต ไม่ใช่อวิชชา อวิชชานั้นไม่ใช่หมดไปด้วยการฟัง อวิชชายังมีกิจที่จะทำงานจริงๆ อีกมากมายหลายขณะ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้อบรมเจริญสติจนกระทั่งสามารถสำเหนียกสังเกตรู้จริงๆ ว่า ขณะนั้นจิตยังมีความต้องการ ยังมีตัวตนที่แฝงอยู่ ทำให้จงใจ หรือว่าประพฤติปฏิบัติคลาดเคลื่อนไปอย่างไรบ้าง
เพราะฉะนั้น อวิชชานี้ก็กั้นได้หลายขั้น ถ้าไม่ฟังธรรม อวิชชาก็กั้นอยู่ตลอด สำหรับอวิชชาสวะนี้จะละดับหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทด้วยอรหัตตมรรค
ในวันหนึ่งๆ กามาสวะก็มีทุกขณะที่สติไม่เกิด ภาวสวะก็มี ทิฏฐาสวะก็มี อวิชชาสวะก็มี ไหลไปเป็นกระแสของจิตที่เป็นอกุศลอยู่เรื่อยๆ ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามของรูป ถ้าเห็นกิเลสมากๆ อย่างนี้ ก็จะต้องเห็นด้วยว่า การเจริญสติปัฏฐานนั้นจะต้องมากอย่างไร แล้วก็จะต้องรู้ชัดอย่างไร
ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย มีข้อความว่า
พระผู้มีพระภาคนั้นทรงรู้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อให้รู้
ทรงรู้อะไรแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นนามขันธ์ใด รูปขันธ์ใดที่เกิดขึ้นปรากฏ พระผู้มีพระภาคทรงรู้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อให้รู้ ไม่ใช่เพื่อให้ไม่รู้
ข้อความต่อไปมีว่า
พระผู้มีพระภาคนั้นทรงฝึกฝนแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อฝึกฝน
ไม่ใช่ว่าพระผู้มีพระภาคไม่ได้อบรมสติปัฏฐาน แต่ทรงบำเพ็ญพระบารมี มาที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงธรรมเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ประพฤติปฏิบัติ ให้ฝึกฝน ให้เจริญ
เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องของการเจริญ เป็นเรื่องของการอบรม
ข้อความต่อไปมีว่า
พระผู้มีพระภาคนั้นทรงสงบแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความสงบทั้งปวง
ท่านที่ยังเต็มไปด้วยกามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะนั้น ไม่ใช่ผู้สงบ เป็นผู้ที่กระสับกระส่ายยิ่งนักด้วยความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ พอใจในขันธ์ ในตา ในหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในการเห็น ในการได้ยิน ในทุกสิ่งทุกอย่างหมดทีเดียว ไม่ใช่เป็นผู้ที่สงบเลย แต่พระผู้มีพระภาคนั้นทรงสงบแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความสงบทั้งปวง
ข้อความต่อไปมีว่า
พระผู้มีพระภาคนั้นทรงข้ามพ้นแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อให้ข้ามพ้น
คือ ข้ามพ้นจากภัยต่างๆ ของวัฏฏะ หรือว่าข้ามพ้นจากวัฏฏะ
ข้อความต่อไปมีว่า
พระผู้มีพระภาคนั้นทรงปรินิพพานแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อปรินิพพาน ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 133
ธรรมที่ทรงแสดงไม่ใช่เพียงเพื่อให้สัตว์โลกบรรลุคุณธรรมเป็นเพียงพระโสดาบันบุคคล แต่ให้ถึงกับเป็นพระอรหันต์ทีเดียว ซึ่งการบรรลุคุณธรรมที่ทำให้สงบทั้งปวงแล้วก็ปรินิพพานได้นั้น ก็ด้วยหนทางเดียวเท่านั้น คือ การเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป แล้วก็ละกิเลสเป็นขั้นๆ
ข้อความต่อไปมีว่า
พระผู้มีพระภาคนั้นทรงดับเย็นแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อให้ดับเย็น
นี่ก็เป็นการเจริญสติปัฏฐานเหมือนกัน
สำหรับอาสวะที่ได้กล่าวถึง โลภเจตสิก ๑ ซึ่งเป็นกามาสวะและภวาสวะ ทิฏฐิเจตสิก ๑ ซึ่งเป็นทิฏฐาสวะ โมหเจตสิก ๑ ซึ่งเป็นอวิชชาสวะ เพียง ๓ เจตสิกที่ทำให้จิตไหลไปสู่กระแสของความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในขันธ์ และในความเห็นผิดต่างๆ แต่ในวันหนึ่งๆ กิเลสมากกว่านี้ ยังมีอีกมากนักที่เป็นทุกข์ เป็นโทษ เป็นภัย ทำความเศร้าหมองแก่จิตใจ
ถ. ขอให้อาจารย์อธิบายคำว่า ภวาสวะ
สุ. ผู้ที่ละความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นพระอนาคามีบุคคล แต่ยังไม่หมดความยินดีพอใจในขันธ์ที่ไม่ใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ผู้ที่จะละภวาสวะได้ คือ พระอรหันต์ซึ่งท่านหมดกิเลสทั้งปวง ไม่มีกิเลสเหลืออีกเลย จะเห็นได้ว่า การละกิเลสต้องเป็นขั้นๆ การเจริญสติปัฏฐานก็ไม่ใช่ให้ละภวาสวะ หรือกามาสวะ หรืออวิชชาสวะ แต่ให้ละทิฏฐาสวะก่อน
เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเจริญสติบรรลุอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลละ ทิฏฐาสวะแล้ว ก็ยังมีกามาสวะ ยังมีภวาสวะ ยังมีอวิชชาสวะ ซึ่งแสดงให้เห็นความเหนียวแน่น ความหนาแน่นของโลภมูลจิต สราคจิตว่ามีประเภทต่างๆ กัน
ผู้ที่เป็นปุถุชนเจริญสติ ก็ระลึกรู้ลักษณะของโลภมูลจิตที่เป็นกามาสวะได้ ที่เป็นทิฏฐาสวะได้ เวลาที่ผู้นั้นบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล ก็ยังมี กามาสวะ ยังมีภวาสวะ ยังมีอวิชชาสวะ ก็ระลึกรู้ต่อไปอีกจนกว่าจะเป็น พระสกทาคามีบุคคล ก็ระลึกรู้ลักษณะของกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะต่อไปจนกว่าจะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล ก็หมดกามาสวะ แต่ยังมีภวาสวะและอวิชชาสวะ
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเจริญสติ ท่านจะรู้ลักษณะของจิตเหล่านี้ได้ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดเกิดขึ้น จิตประเภทไหนเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าเหตุปัจจัยยังมีอยู่ ต้องเกิด อย่างทิฏฐาสวะยังไม่หมด เพราะเหตุว่ายังไม่ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล ก็ยังจะต้องมีทิฏฐาสวะเกิดขึ้นปรากฏเป็นโลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์ให้จิตสำเหนียกระลึกรู้ได้ จนกว่าจะดับหมดเป็นพระโสดาบัน แต่ยังมีปัจจัยของจิตประเภทอื่นให้เกิดขึ้น จิตประเภทนั้นก็เกิดขึ้นได้
ถ. เมื่อคราวที่แล้ว อาจารย์ได้อธิบายถึงความหมายของคำว่า เห็นรูปโดยความเป็นตน เห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป เฉพาะข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ ๔ หมายความถึงไปยึดมั่นนามขันธ์ทั้ง ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นตน เลยเข้าใจว่าตนนั่นแหละมีรูป หรืออะไรเช่นนี้
นามขันธ์ ๔ ทั้งหมด ใน ๔ ข้อนี้เอานามทั้งนั้นมาเป็นตน บางท่านอธิบายว่าการที่ต้องพิจารณาเฉพาะนามอย่างนี้ เพราะว่าเมื่อตาเห็นสี ให้พิจารณาเฉพาะเห็น พิจารณาที่จิตเห็น อย่างนี้จะสงเคราะห์เข้ามาเป็นตนมีรูป เห็นรูปในตน อะไรอย่างนี้ได้ไหมครับ
สุ. ทรงแสดงสักกายทิฏฐิไว้ไม่ใช่เพียง ๕ คือ ไม่ใช่ยึดถือรูปว่าเป็นตน เวทนาว่าเป็นตน สัญญาว่าเป็นตน สังขารขันธ์ว่าเป็นตน หรือวิญญาณว่าเป็นตนเท่านั้น แต่ยังทรงจำแนกไปถึง ๒๐ ประการ คือ ขันธ์ละ ๔ อย่าง
ผู้ที่เจริญสติสามารถสำเหนียกรู้ลักษณะของสักกายทิฏฐิในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร บางท่านที่เริ่มระลึกรู้ลักษณะของรูป ก็เกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นรูป แต่สักกายทิฏฐิยังอยู่ที่นามขันธ์ คือ ที่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
เพราะฉะนั้น ถ้าในขณะที่กำลังพิจารณาระลึกรู้นามขันธ์หนึ่งนามขันธ์ใด เป็นต้นว่า จะระลึกรู้ลักษณะของวิญญาณขันธ์ว่าเป็นนามธรรม แต่ไม่ได้พิจารณารูปขันธ์ ก็ยึดถือว่า รูปขันธ์นั้นเป็นตัวตน
ถ. ที่ท่านให้กำหนดเฉพาะ พิจารณาเฉพาะขันธ์
สุ. ขอให้อ้างข้อความในพระไตรปิฎกสักแห่งหนึ่งที่ให้เจาะจงพิจารณาแต่เฉพาะว่า ทางตาให้รู้แต่เห็นไม่ให้รู้สี ทางหูให้รู้แต่ได้ยินไม่ให้รู้เสียง ทางจมูกให้รู้แต่กลิ่นไม่ให้รู้สภาพที่รู้กลิ่น ทางลิ้นให้รู้แต่รสไม่ให้รู้สภาพที่รู้รส ทางกายให้รู้แต่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ไม่ให้รู้สภาพที่รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ขอพยัญชนะข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ซึ่งก็ไม่มี ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 134
เปิดฟัง ...

