อโนตตาปีสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  27 ธ.ค. 2565
หมายเลข  45418
อ่าน  82

สังยุตตนิกาย นิทานวรรค กัสสปสังยุต ... อโนตตาปีสูตร ข้อ ๔๖๔ ข้อ ๔๖๙ ข้อความโดยย่อว่า

ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี ครั้งนั้นท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนในเวลาเย็น เข้าไปหาท่านพระมหากัสสปถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกัน และได้สนทนาธรรม

ซึ่งท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะท่านพระมหากัสสปะว่า

ท่านกัสสป ผมกล่าวดังนี้ว่า ผู้ไม่มีความเพียรเครื่องเผากิเลส ผู้ไม่มีความสะดุ้งกลัว เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความตรัสรู้ ไม่ควรเพื่อพระนิพพาน ไม่ควรเพื่อบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม

นี่คือความสำคัญของความเพียรและหิริโอตตัปปะ เพราะถ้าไม่เพียร ไม่มีทาง ที่จะเจริญกุศลขึ้นจนสามารถดับกิเลสได้ และถ้าหิริโอตตัปปะไม่เกิดบ่อยๆ เนืองๆ ที่จะเห็นโทษของอกุศล ผู้นั้นก็ ไม่ควรเพื่อความตรัสรู้ ไม่ควรเพื่อพระนิพพาน ไม่ควรเพื่อบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม

ส่วนผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส ผู้มีความสะดุ้งกลัว เป็นผู้ควรเพื่อ ความตรัสรู้ ควรเพื่อพระนิพพาน ควรเพื่อบรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะอย่างยอดเยี่ยม

ท่านผู้ฟังคิดถึงการดับกิเลสเป็นสมุจเฉทหมด อีกไกลมากไหม ไกลมากจริงๆ เพราะฉะนั้น กลับมาที่ใกล้ๆ คือ ไม่ใช่แต่เฉพาะจะเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว แต่ควรจะรู้ลักษณะจิตของตนเองที่เป็นอกุศลแต่ละขณะ เพื่อที่หิริจะเกิดเพิ่มขึ้น

ข้อความต่อไป จะเห็นพระคุณของท่านพระสารีบุตร ซึ่งท่านได้ถาม ท่านพระมหากัสสปะว่า

ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีความเพียรเครื่องเผากิเลส เป็นผู้ไม่มีความสะดุ้งกลัว และด้วยเหตุเพียงเท่าไร จึงจักได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความเพียรเครื่องเผากิเลส เป็นผู้มีความสะดุ้งกลัว

ดูเป็นคำถามธรรมดาๆ ซึ่งทุกคนก็อาจจะตอบได้ หรือท่านอาจจะกล่าวว่า ก็รู้กันอยู่แล้ว แต่แม้กระนั้นพระคุณของท่านพระสารีบุตรซึ่งไม่เว้นโอกาสที่จะถามเรื่อง ที่เป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัทรุ่นหลังที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท เพื่อที่จะได้มีความเพียรและมีหิริโอตตัปปะ ซึ่งคำตอบของท่านพระมหากัสสปะก็น่าสนใจ เพราะว่า เป็นชีวิตประจำวันของทุกท่าน และคงไม่มีท่านผู้ใดปฏิเสธ

ท่านพระมหากัสสปกล่าวว่า

ภิกษุไม่ทำความเพียรเครื่องเผากิเลส และไม่มีความสะดุ้งกลัว โดยคิดว่า อกุศลธรรมลามกที่ยังไม่เกิดเมื่อเกิดขึ้นแก่เรา จะพึงเป็นไปเพื่อความเสียประโยชน์

ขอให้พิจารณา ไม่ใช่ไม่รู้ คนที่ไม่มีหิริโอตตัปปะรู้ แต่หิริโอตตัปปะไม่เกิด เพราะผู้นั้นคิดว่า อกุศลธรรมลามกที่ยังไม่เกิดเมื่อเกิดขึ้นแก่เรา จะพึงเป็นไปเพื่อความเสียประโยชน์ คือ รู้ แต่ทำไม่ได้ หรือไม่ทำ หรือไม่คิดที่จะทำ ไม่เพียรที่จะละ

ข้อความต่อไป ท่านกล่าวว่า

ไม่ทำความเพียรเครื่องเผากิเลสและไม่สะดุ้งกลัว โดยคิดว่า อกุศลธรรม อันลามกบังเกิดขึ้นแล้วเมื่อเรายังละไม่ได้ จะพึงเป็นไปเพื่อความเสียประโยชน์

ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด แต่ก็เกิด ขณะนั้นเมื่อเกิดก็เป็นไปเพื่อความเสียประโยชน์ หรือแม้แต่อกุศลธรรมที่เกิดในขณะนี้ เมื่อยังละไม่ได้ ก็จะพึงเป็นไปเพื่อความเสียประโยชน์ รู้ทั้ง ๒ อย่างในเรื่องของอกุศล แต่ไม่ทำความเพียรเพื่อเผากิเลส และไม่มีความสะดุ้งกลัว

พุทธบริษัททุกคนรู้ ใช่ไหม อกุศลมีโทษแค่ไหน แต่ขณะใดที่ไม่เพียร ขณะใดที่ไม่มีความสะดุ้งกลัว ก็เพราะทั้งๆ รู้ แต่หิริไม่เกิด โอตตัปปะไม่เกิด เป็นชีวิตประจำวันของทุกคนหรือเปล่า คงไม่มีใครปฏิเสธ และถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ก็หมายความว่าคนนั้นมีกุศลตลอดเวลา เพราะเมื่อรู้แล้วหิริก็เกิด แต่ไม่ใช่เสมอไป นี่เป็นเรื่องของอกุศล ขอให้พิจารณาในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้ที่ไม่เจริญสติปัฏฐาน จะรู้ไหมว่า อกุศลเกิดในขณะที่กุศลไม่เกิด

วันหนึ่งๆ เกือบจะไม่รู้เลยใช่ไหมว่า อกุศลเกิดแล้วมากมายตั้งแต่เช้า แต่เมื่อไม่รู้ ก็จะเห็นแต่อกุศลกรรมขั้นที่เป็นอกุศลกรรมบถทางกาย ทางวาจา ทางใจ คิดว่าขณะใดที่ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยหรือสัตว์ใหญ่ ขณะนั้นเป็นอกุศล เข้าใจว่าอย่างนั้น สำหรับผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน แต่ก็ยังทำ เพราะว่าขณะนั้นอหิริกะและอโนตตัปปะ มีกำลัง

พุทธบริษัทฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยบ้างไหม ทั้งๆ ที่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ขณะนั้น ไม่เพียรที่จะระงับอกุศลในขณะนั้น นี่คือทางกาย

สำหรับทางวาจา ก็มีคำพูดที่เป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ แต่ก็ยังพูด เพราะว่าอหิริกะ อโนตตัปปะ ไม่ใช่ว่าไม่รู้อีกเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องของชีวิตตาม ความเป็นจริง

สำหรับทางใจ เวลาที่คิดถึงคนอื่น คิดดีหรือไม่ดี คิดด้วยเมตตาหรือไม่ใช่ด้วยเมตตา และขณะใดที่ไม่ได้คิดด้วยเมตตารู้ไหมว่า เป็นโทษ นำมาซึ่งความเสื่อม แต่แม้อย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ อหิริกะ อโนตตัปปะ ก็ยังเกิด และคิดอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เวลาที่อกุศลเกิด ถ้าสติไม่ระลึก ก็ไม่มีทางที่จะละคลายอกุศล นั้นๆ เลย ซึ่งอกุศลนั้นๆ ก็จะเพิ่มขึ้นและมีกำลัง

กำลังรับประทานอาหาร และสัตว์เลี้ยงหิวมาก แสดงกิริยาอาการให้รู้ว่า หิว เพราะว่าผิดเวลากินของสัตว์เลี้ยงแล้ว จะเห็นหิริโอตตัปปะได้ไหม ถ้ารับประทานต่อไป ไม่คำนึงถึงความหิวของสัตว์เลี้ยง ขณะนั้นสติจะเกิดระลึกลักษณะของโลภะ ในขณะที่รับประทานต่อได้ไหม เพราะฉะนั้น แม้ในขณะชีวิตปกติประจำวันก็ยังสามารถระลึกถึงลักษณะของอหิริกะและอโนตตัปปะได้ ถ้าหิริเกิด เมตตาทันที กระทำสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่ถ้ายังคงนั่งรับประทานจนอิ่มด้วยความอร่อย สติปัฏฐาน อาจจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นโลภะในขณะนั้นซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

แต่การที่หิริโอตตัปปะจะเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดแม้แต่ ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้หิริโอตตัปปะเพิ่มกำลังขึ้นได้ โดยการคิดถึงความ ทุกข์ยากของคนอื่นมากกว่าการคิดถึงความสุขสบายของตนเอง ซึ่งในวันหนึ่งๆ ก็พอที่จะรู้ได้ว่า หิริมาก โอตตัปปะมาก หรือว่าอหิริกะมาก อโนตตัปปะมาก

หรือแม้แต่ความอดทนที่จะทำตามมารยาท นี่ก็เป็นเรื่องของจิตอีกเหมือนกัน ใช่ไหม ถ้าใครมารยาทดีก็ทำให้คนอื่นสบายใจ แต่แม้กระนั้นบางคนซึ่งเป็นผู้เห็นแก่ความสุขของตนเอง ก็ไม่สนใจที่จะเกิดหิริในขณะนั้นที่จะคำนึงถึงความสบายใจของ คนอื่น แต่ถ้าขณะนั้นมีหิริโอตตัปปะ ขณะนั้นก็จะเป็นตามมารยาทที่สมควร และ การที่จะพิจารณาเรื่องของมารยาท เมื่อหิริมีคือทำตามมารยาทที่ควรแล้ว ยังเพิ่มมารยาทที่งามขึ้นกว่านั้นอีกได้ไหม

นี่คือพระธรรมวินัยที่ทรงแสดงไว้ ถ้าเป็นเรื่องของมารยาท ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของพระวินัยบัญญัติ ซึ่งไม่พ้นไปจากหิริโอตตัปปะในชีวิตประจำวันนั่นเอง

สำหรับกุศล ผู้ที่รู้ว่ากุศลมีประโยชน์อย่างไร แต่ยังไม่ทำความเพียรเครื่อง เผากิเลส และไม่สะดุ้งกลัว ก็เป็นชีวิตประจำวันอีก โดยที่ผู้นั้นคิดว่า กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อไม่เกิดขึ้น จะพึงเป็นไปเพื่อความเสียประโยชน์ คือ รู้ว่ากุศลดี แต่ก็ไม่ทำ เมื่อไม่ทำก็ต้องเสื่อมหรือว่าเสียประโยชน์ แต่ก็ยังไม่ทำ นี่ก็เป็นชีวิตประจำวัน

และสำหรับกุศลธรรมนั้น ผู้ที่ไม่มีความเพียรเครื่องเผากิเลสและไม่สะดุ้งกลัว ก็คิดว่า กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อดับคือไม่เกิดอีกเพราะเสื่อมไป จะพึงเป็นไปเพื่อความเสียประโยชน์ ทั้งๆ ที่รู้อย่างนี้ ก็ไม่ทำความเพียรเครื่องเผากิเลสและ ไม่สะดุ้งกลัว ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1578

แต่สำหรับผู้ที่หิริโอตตัปปะเกิด ท่านพระมหากัสสปะกล่าวว่า

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ทำความเพียรเครื่องเผากิเลส โดยคิดว่า อกุศลที่ยังไม่เกิดเมื่อเกิดขึ้นย่อมเสียประโยชน์ อกุศลที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อยังละไม่ได้ย่อมเสียประโยชน์ กุศลที่ยังไม่เกิดเมื่อไม่เกิดย่อมเสียประโยชน์ กุศลที่เกิดขึ้นเมื่อดับแล้ว ไม่เกิดอีกเพราะเสื่อมย่อมเสียประโยชน์

เหมือนกันทุกประการกับผู้ที่อหิริกะ อโนตตัปปะเกิด รู้ทั้ง ๒ ท่าน แต่ท่านหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ อหิริกะ อโนตตัปปะก็เกิด อีกท่านหนึ่ง รู้ แต่หิริโอตตัปปะเกิด เพราะฉะนั้น พระธรรมสำหรับแต่ละบุคคลที่จะพิจารณาตนเองจริงๆ

บางท่านอาจจะเห็นท่านผู้อื่นมีหิริโอตตัปปะที่น่าชื่นชม ซึ่งท่านยังทำไม่ได้ แต่ก็ขวนขวายเพียรเพิ่มขึ้นที่จะกระทำ ซึ่งวันหนึ่งย่อมจะเป็นไปได้ แทนที่จะประมาท และไม่สนใจเรื่องของหิริและโอตตัปปะเลย

ถ. ทั้งๆ ที่รู้แล้วยังทำ ชื่อว่าไม่มีความเพียร ไม่สะดุ้งกลัว แต่คนที่ทำโดยความไม่รู้ จะชื่อว่าไม่มีความเพียร ไม่สะดุ้งกลัวไหม

สุ. แน่นอน ผู้ที่ไม่เจริญสติปัฏฐานไม่สามารถรู้เลยว่า วันนี้มีอกุศลกี่ครั้งมากไหม หรือผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้พิจารณาพระธรรมเลยก็ไม่รู้ ใช่ไหม ก็เป็นอหิริกะ อโนตตัปปะ และสำหรับผู้ที่รู้ก็ยังเป็นอหิริกะ อโนตตัปปะได้ ทั้งๆ รู้

ถ. ผู้รู้ ไม่มีความเพียรก็ต้องกลัว แต่ผู้ไม่รู้ เขาไม่รู้นี่

สุ. ไม่รู้ก็ทำไปสบายมาก ทำต่อไป ใช่ไหม ถ้าไม่รู้ จะเลิกไหม ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1579

เปิดฟัง ...

อโนตตาปีสูตร


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ