ปเจตนสูตร
อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ... ปเจตนสูตร มีข้อความว่า
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่า ปเจตนะ ครั้งนั้นพระเจ้าปเจตนะ ได้รับสั่งกะนายช่างรถว่า ดูกร นายช่างรถผู้สหาย แต่นี้ไปอีก ๖ เดือน ฉันจะทำสงคราม ท่านสามารถจะทำล้อคู่ใหม่ของฉันได้ไหม นายช่างรถได้ทูลรับรองแด่พระเจ้าปเจตนะว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจะทำถวายได้ ครั้งนั้นแล นายช่างรถได้ทำล้อสำเร็จข้างหนึ่งโดย ๖ เดือน หย่อน ๖ ราตรี
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเจตนะตรัสเรียกนายช่างรถมาถามว่า ดูกร นายช่างรถผู้สหาย แต่นี้ไปอีก ๖ วันฉันจะทำสงคราม ล้อคู่ใหม่สำเร็จแล้วหรือ นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ โดย ๖ เดือน หย่อนอยู่อีก ๖ ราตรี นี้แล ล้อได้เสร็จไปแล้วข้างหนึ่ง พระเจ้าปเจตนะตรัสถามว่า ดูกร นายช่างรถผู้สหาย ๖ วันนี้ท่านสามารถจะทำล้อข้างที่ ๒ ของฉันให้เสร็จได้หรือ นายช่างรถได้กราบทูลรับรองต่อพระเจ้าปเจตนะว่า ขอเดชะ ข้าพระองค์สามารถจะทำให้เสร็จได้
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล นายช่างรถทำล้อข้างที่ ๒ เสร็จ โดย ๖ วัน แล้วนำเอาล้อคู่ใหม่เข้าไปเฝ้าพระเจ้าปเจตนะถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ ล้อคู่ใหม่ของพระองค์นี้สำเร็จแล้ว พระเจ้าปเจตนะรับสั่งถามว่า ดูกร นายช่างรถผู้สหาย ล้อของท่านข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือน หย่อน ๖ ราตรี กับอีกข้าง ๑ เสร็จโดย ๖ วันนี้ เหตุอะไรเป็นเครื่องทำให้แตกต่างกัน ฉันจะเห็นความแตกต่างกันของมันได้อย่างไร นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ ความแตกต่างของมันมีอยู่ ขอพระองค์จงทอดพระเนตรความแตกต่างกันของมัน
ตามเหตุตามปัจจัยหรือเปล่า แม้แต่ล้อรถ ๒ ข้างซึ่งใช้เวลาไม่เหมือนกัน เมื่อเหตุปัจจัยต่างกัน ผลก็ต้องต่างกันด้วย ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 251
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นแล นายช่างรถยังล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วันให้หมุนไป ล้อนั้น เมื่อนายช่างรถหมุนไป ก็หมุนไปได้เท่าที่นายช่างรถหมุนไป แล้วหมุนเวียน ล้มลงบนพื้นดิน นายช่างรถได้ยังล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือน หย่อน ๖ ราตรีให้หมุนไป ล้อนั้น เมื่อนายช่างรถหมุนไป ก็หมุนไปได้เท่าที่นายช่างรถหมุนไป แล้วตั้งอยู่ เหมือนอยู่ในเพลา ฉะนั้น
นี่คือ ความต่างกันของล้อรถที่ใช้เวลาต่างกัน
พระเจ้าปเจตนะได้ตรัสถามว่า ดูกร นายช่างรถผู้สหาย อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วันนี้ เมื่อถูกท่านหมุนไปแล้ว จึงหมุนไปเพียงเท่าที่ท่านหมุนไปได้ แล้วหมุนเวียน ล้มลงบนพื้นดิน ก็อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือน หย่อน ๖ ราตรีนี้ เมื่อท่านหมุนไป จึงหมุนไปเท่าที่ท่านหมุนไปได้ แล้วได้ตั้งอยู่ เหมือนกับอยู่ในเพลา ฉะนั้น นายช่างรถกราบทูลว่า ขอเดชะ กงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดีของล้อข้างที่เสร็จแล้วโดย ๖ วันนี้ มันคดโค้ง มีโทษ มีรสฝาด เพราะกงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดี คดโค้ง มีโทษ มีรสฝาด ฉะนั้น เมื่อข้าพระองค์หมุนไป จึงหมุนไปเท่าที่ข้าพระองค์หมุนไป แล้วหมุนเวียน ล้มลงบนพื้นดิน
ขอเดชะ ส่วนกงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดีของล้อข้างที่เสร็จแล้วโดย ๖ เดือน หย่อน อยู่ ๖ ราตรีนี้ ไม่คดโค้ง หมดโทษ ไม่มีรสฝาด เพราะกงก็ดี กำก็ดี ดุมก็ดี ไม่คดโค้ง หมดโทษ ไม่มีรสฝาด ฉะนั้น เมื่อข้าพระองค์หมุนไป จึงหมุนไปได้เท่าที่ข้าพระองค์หมุนไป แล้วได้ตั้งอยู่ เหมือนกับอยู่ในเพลา ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาค ตรัสต่อไปว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็ท่านทั้งหลาย จะพึงคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นนายช่างรถ แต่ข้อนี้ไม่ควรเห็นดังนั้น สมัยนั้น เราได้เป็นนายช่างรถ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย คราวนั้นเราเป็นคนฉลาดในความคดโค้งแห่งไม้ ในโทษแห่งไม้ ในรสฝาดแห่งไม้ แต่บัดนี้ เราเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉลาดในความคดโค้งแห่งกาย ในโทษแห่งกาย ในรสฝาดแห่งกาย ฉลาดในความคดโกงแห่งวาจา ในโทษแห่งวาจา ในรสฝาดแห่งวาจา ฉลาดในความคดโกงแห่งใจ ในโทษแห่งใจ ในรสฝาดแห่งใจ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย ไม่ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา ไม่ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ เขาได้พลัดตกไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วัน ฉะนั้น
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจได้ เขาดำรงมั่นอยู่ในธรรมวินัยนี้ เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ เดือน หย่อนอยู่ ๖ ราตรี ฉะนั้น
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย จักละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา จักละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ในการปฏิบัติธรรม ในการเป็นพุทธบริษัท เพื่อจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ แต่ถ้าท่านผู้ใดยังไม่ตรง ยังเห็นแก่บุคคลบ้างสำนักบ้าง สถานที่บ้าง ข้อปฏิบัติที่คลาดเคลื่อนบ้าง ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ละความคดโกงแห่งกาย โทษแห่งกาย รสฝาดแห่งกาย ไม่ละความคดโกงแห่งวาจา โทษแห่งวาจา รสฝาดแห่งวาจา ไม่ละความคดโกงแห่งใจ โทษแห่งใจ รสฝาดแห่งใจ เขาได้พลัดตกไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนกับล้อข้างที่เสร็จโดย ๖ วัน ฉะนั้น
พยายามหาวิธีเร่งรัด ข้ามไปเสีย ไม่รู้นามรูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจในขณะนี้ จะไปรู้อื่นที่ไม่มีสภาวธรรม ไม่มีสภาพธรรม ไม่มีลักษณะปรมัตถธรรมให้รู้ และก็เข้าใจว่ารู้แล้ว เข้าใจว่าได้บรรลุวิปัสสนาญาณต่างๆ แล้ว เข้าใจว่ารู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้วภายในเวลา ๖ เดือน หรือภายในกำหนดเวลา แต่กล่าวว่า ขณะนี้สติไม่สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริงได้ เหมือนล้อรถที่ทำเสร็จภายใน ๖ วัน แล้วก็ล้ม เพราะเหตุว่าไม่ได้ละโทษ คือ ความไม่ตรงทางกาย ทางวาจา ทางใจ
เพราะฉะนั้น พระธรรมวินัยที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดครบถ้วน ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก ก็เพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทให้ศึกษา เป็นผู้ตรงต่อธรรมวินัยจริงๆ และการประพฤติปฏิบัติก็ต้องตรงต่อธรรมวินัยด้วย ซึ่งผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้นั้น ต้องเป็นอุชุปฏิปันโน ถ้าคดโค้ง หรือว่าคดโกง ไม่ตรงต่อธรรม ทั้งในความเข้าใจ ทั้งในการประพฤติปฏิบัติ ก็ไม่สามารถที่จะเป็นอริยสาวกได้ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 251
รับฟัง ...

