ปปาตสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  6 ธ.ค. 2565
หมายเลข  45309
อ่าน  21

สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ... ปปาตสูตร ข้อ ๑๗๒๘

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย มาเถิด เราจักเข้าไปยังยอดเขากั้นเขตแดนเพื่อพักกลางวัน

เจริญสติปัฏฐาน แต่ว่าไปได้ ไปเพื่อพักกลางวัน ไม่ใช่ว่าไปไหนไม่ได้

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมากเสด็จเข้าไปยังยอดเขากั้นเขตแดน ภิกษุรูปหนึ่งได้เห็นเหวใหญ่บนยอดเขากั้นเขตแดน ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เหวนี้ใหญ่ เหวนี้ใหญ่แท้ๆ เหวอื่นที่ใหญ่กว่า และน่ากลัวกว่าเหวนี้มีอยู่หรือพระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เหวอื่นที่ใหญ่กว่า และน่ากลัวกว่าเหวนี้มีอยู่

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เหวอื่นที่ใหญ่กว่า และน่ากลัวกว่าเหวนี้เป็นไฉน

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะ หรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด เพื่อความแก่ เพื่อความตาย เพื่อความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจ

ยินดีแล้วย่อมปรุงแต่งสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิดบ้าง เพื่อความแก่บ้าง เพื่อความตาย เพื่อความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจบ้าง

ครั้นปรุงแต่งแล้วย่อมตกลงสู่เหว คือ ความเกิดบ้าง ความแก่บ้าง ความตาย บ้าง ความโศกบ้าง ความร่ำไรบ้าง ความทุกข์บ้าง ความโทมนัส และความคับแค้นใจบ้าง

เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส ความคับแค้นใจ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในสังขารทั้งหลายซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด เพื่อความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจ

ไม่ยินดีแล้วย่อมไม่ปรุงแต่งสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ตลอดไปจนถึงความคับแค้นใจ ครั้นไม่ปรุงแต่งแล้ว ย่อมไม่ตกลงสู่เหว คือ ความเกิดบ้าง ความแก่บ้าง ความตายบ้าง ความเศร้าโศกบ้าง ความร่ำไรบ้าง ความทุกข์และโทมนัสบ้าง ความคับแค้นใจบ้าง

เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความทุกข์และโทมนัส และความคับแค้นใจ ย่อมพ้นจากทุกข์

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

อะไรน่ากลัวกว่าเหว ในโลกนี้เหวน่ากลัว และภพภูมิต่างๆ ที่เป็นอบายภูมิก็น่ากลัว แต่ว่าอะไรที่น่ากลัวกว่า ก็คือ การเกิด ไม่ใช่แต่เฉพาะหลังจากจุติจากโลกนี้ สิ้นชีวิตจากโลกนี้แล้วจะไปเกิด แต่เป็นทุกขณะที่กำลังเกิดสืบต่อกันของขันธ์ ของอายตนะ ของธาตุ ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงและไม่เห็นว่าเป็นโทษ ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ แต่ทุกข์จริงๆ คือ ความเกิด ไม่ว่าจะเป็นในภูมิไหนทั้งสิ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นอบายภูมิ ทุคติภูมิ ก็ไม่มีโอกาสที่จะเจริญกุศล เจริญสติปัญญา จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

สำหรับนรก เปรต อสุรกาย ซึ่งเป็นอบายภูมิ หลายท่านทีเดียวไม่เชื่อ แล้วก็ไม่หวาดกลัวด้วย เพราะเหตุว่าไม่เห็น

ในพระไตรปิฎก แม้พระผู้มีพระภาคเองก็ไม่ได้ทรงพาผู้ใดไปเห็น หรือไปดู ทรงแสดงเหตุที่จะให้ไปสู่ภูมินั้นๆ ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 232

รับฟัง ...

ปปาตสูตร


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ