ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔
ข้อความใน ขุททกนิกาย มหานิทเทส ตุวฏกสุตตนิทเทสที่ ๑๔ ข้อ ๗๗๒ มีว่า
คำว่า เมื่อรู้สึกตัว ไม่พึงทำความโอ้อวด
ต้องขัดเกลาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ไม่ว่าสภาพธรรมจะเกิดขึ้นวิจิตรอย่างไรก็ตาม สติจะต้องเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลา เพื่อให้ถึงการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท สำหรับท่านที่ไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน เวลาที่โอ้อวด รู้สึกตัวบ้างไหม บางท่านอาจจะโอ้อวดจนเป็นนิสัย เพื่อนฝูงก็รู้จักดีว่า ท่านเป็นผู้ที่โอ้อวด แต่ว่าบุคคลผู้โอ้อวดเอง รู้จักตัวเองบ้างไหมในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐาน จะทำให้รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ ชัดเจนยิ่งขึ้นในลักษณะของสภาพธรรม ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลที่ได้สะสมมาตามความเป็นจริง พร้อมกันนั้นสติก็จะเกิดขึ้น เพราะว่ามีปัจจัยที่ได้อบรมแล้ว ทำให้ขัดเกลาได้ ทำให้รู้ว่า ขณะนั้นเป็นนามธรรมและรูปธรรม ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งแล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นสติขั้นใด บางครั้งก็เป็นสติเพียงขั้นเกิดขึ้นวิรัติ แต่ไม่ใช่สติปัฏฐาน เพราะไม่ได้ระลึกรู้ว่า เป็นแต่เพียงนามธรรมลักษณะหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน ที่ทำให้กระทำการโอ้อวดไม่ว่าจะด้วยกาย หรือด้วยวาจาก็ตาม
เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน จะเห็นสภาพธรรมละเอียดขึ้น ทั้งสติขั้นที่ไม่ใช่สติปัฏฐาน และขั้นของสติที่เป็นสติปัฏฐานด้วย
ข้อความต่อไปมีว่า
ความว่า ความเป็นผู้โอ้อวดเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้โอ้อวด เป็นผู้อวดอ้าง ความโอ้อวด กิริยาที่โอ้อวด ความเป็นผู้โอ้อวด ความเป็นผู้ฟุ้งเฟ้อ กิริยาที่ฟุ้งเฟ้อ ความเป็นผู้เห่อ กิริยาที่เห่อ ที่มีในบุคคลนั้น ลักษณะนี้เรียกว่า ความเป็นผู้โอ้อวด
คำว่า เมื่อรู้สึกตัว ไม่พึงทำความโอ้อวด ความว่า เมื่อเป็นผู้รู้สึกตัว ไม่พึงทำความเป็นผู้โอ้อวด ไม่พึงยังความโอ้อวดให้เกิด ไม่ให้เกิดพร้อม ไม่ให้บังเกิด ไม่ให้บังเกิดเฉพาะ พึงละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มีซึ่งความเป็นผู้โอ้อวด เป็นผู้งด เว้น เว้นเฉพาะ ออก สลัดออก พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องความเป็นผู้โอ้อวด พึงเป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อรู้สึกตัว ไม่พึงทำความโอ้อวด
ยากหรือง่าย เป็นไปตามความตั้งใจหรือความต้องการได้หรือไม่ได้ หรือว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจะเห็นกิเลสและเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ได้สะสมมาอย่างละเอียด และการที่จะละคลายกิเลส ก็เป็นไปอย่างละเอียด ทีละเล็ก ทีละน้อยตามลำดับขั้นของปัญญาจริงๆ
ท่านผู้ฟังบางท่านที่อ่านพระไตรปิฎกกล่าวว่า คล้ายๆ กับพระผู้มีพระภาคให้กระทำด้วยความเป็นตัวตน บังคับว่า ให้เว้น ให้งด อย่ากระทำอย่างนั้น อย่ากระทำอย่างนี้
แต่อย่าลืมว่า การอ่านพระธรรมวินัยทั้งหมดต้องประกอบกัน เพราะว่าพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้วว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะทรงแสดงธรรมด้วยประการใดๆ ก็ตาม จะต้องไม่ลืมที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เป็นตัวตนที่จะเว้น วิรัติ บังคับได้ตามใจชอบ แต่ต้องเป็นธรรมที่เป็นโสภณธรรมเกิดขึ้น ระลึกได้ รู้แล้ว จึงงดเว้น จึงละ จึงบรรเทา ตามขั้นของสภาพธรรมนั้นๆ แล้วแต่ว่าจะเป็นโสภณธรรม เป็นกุศลธรรมขั้นใด
ข้อความต่อไป
ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงโอวาทโดยละเอียดถี่ถ้วน เพื่อเกื้อกูลอุปการะแก่จริตอัธยาศัยของทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ข้อ ๗๗๓ มีข้อความว่า
อนึ่ง ภิกษุไม่พึงดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยความเป็นอยู่ ด้วยปัญญา ด้วยศีล และวัตร ดังนี้ ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง ย่อมดูหมิ่นภิกษุอื่นที่เป็นอยู่อย่างประณีตว่า ก็ภิกษุนี้ ทำไมจึงมีความเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือย ย่อมได้ฉันพืชทั้งปวง คือ พืชแต่ราก พืชแต่ลำต้น พืชแต่ผล พืชแต่ยอด พืชแต่พืชเป็นที่ ๕ ภิกษุนี้ข้าม (ทุกข์) ไม่ได้แล้ว เพราะความที่ตนมีความเพียรเสมอด้วยฟ้าแลบและพะเนินเหล็ก ภิกษุนั้น ย่อมดูหมิ่นภิกษุอื่นที่เป็นอยู่อย่างประณีตด้วยความเป็นอยู่เศร้าหมอง
กิเลสไม่ได้ละเว้นเลยตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ถึงแม้จะเป็นบรรพชิตที่มีความเป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง แต่กิเลสนี้ก็ยังทำให้ภิกษุรูปนั้นดูหมิ่นภิกษุอื่นที่เป็นอยู่อย่างประณีตได้ นี่เป็นเรื่องของบรรพชิต แต่ว่าสำหรับเรื่องของท่านเอง วันหนึ่งๆ เป็นอย่างนี้บ้างไหม นี่คือสภาพชีวิตตามความเป็นจริง เคยดูหมิ่นบุคคลอื่นบ้างหรือเปล่า โดยประการใดๆ ก็ตามแม้สักเล็กน้อย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ เมื่อมีปัจจัยจึงเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ แต่ถ้าสติไม่เกิด ไม่รู้ ไม่เคยรู้เลยว่า เป็นสิ่งที่ควรจะ ขัดเกลา ละคลาย บรรเทา และให้ดับเป็นสมุจเฉทจริงๆ
ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงทรงโอวาททุกประการ เพื่อท่านผู้ใดที่มีอุปนิสัยอัธยาศัยอย่างไร ซึ่งแต่ก่อนนี้อาจจะยังไม่เคยทราบ ไม่เคยระลึกรู้ว่า ตัวท่านเป็นอย่างนี้ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงก็จะช่วยเตือนให้ท่านได้พิจารณาตัวท่านเองว่า เป็นอย่างนี้บ้างไหม
หรือว่ามีใครบ้างที่ไม่เป็นอย่างนี้เลย เพราะว่าทุกท่านจะต้องมีกิเลสแต่ละชนิด ซึ่งตัวท่านเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้รู้ดีว่า ท่านมีกิเลสประเภทใดที่ยังมากมายเหลือเกิน และกิเลสชนิดใดที่ไม่มากมายเท่ากับกิเลสอื่น ซึ่งท่านก็จะได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ข้อความต่อไปมีว่า
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้เป็นอยู่อย่างประณีต ย่อมดูหมิ่นภิกษุอื่นที่เป็นอยู่อย่างเศร้าหมองว่า ภิกษุนี้ ทำไมจึงมีบุญน้อย มีศักดิ์น้อย ไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ภิกษุนั้น ย่อมดูหมิ่นภิกษุอื่นที่เป็นอยู่อย่างเศร้าหมองด้วยความเป็นอยู่อย่างประณีต
แม้ในความเป็นอยู่ ซึ่งเป็นนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกรรมที่ได้สะสมมาเฉพาะตนแต่ละท่าน ใครจะได้รับความสุขมาก ใครจะได้รับความสุขน้อย ใครจะเป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง ใครจะเป็นอยู่อย่างประณีต ก็แล้วแต่บุญกรรมที่ได้กระทำแล้ว มีโอกาสให้ผลเมื่อไรก็เป็นปัจจัยให้นามธรรมนั้นๆ รูปธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น ไม่ควรที่จะยึดถือด้วยกิเลส และเกิดกิเลสที่ทับถมขึ้นโดยการที่ดูหมิ่นบุคคลอื่น
แต่ว่ากิเลสที่สะสมมา ก็กระทำให้ดูหมิ่นบุคคลอื่นได้ ถ้าเป็นภิกษุผู้ที่มีความเป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง ก็ดูหมิ่นภิกษุผู้ที่มีความเป็นอยู่อย่างสบาย อย่างประณีต และสำหรับภิกษุผู้ที่มีความเป็นอยู่อย่างประณีต ก็ยังมีกิเลสที่ทำให้ดูหมิ่นภิกษุอื่นผู้ที่เป็นอยู่อย่างเศร้าหมอง
ข้อความต่อไปมีว่า
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ใครถามปัญหาแล้วก็แก้ได้ เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ส่วนภิกษุอื่นเหล่านี้ไม่ถึงพร้อมด้วยปัญญา เธอก็ดูหมิ่นภิกษุอื่นด้วยความถึงพร้อมด้วยปัญญานั้น
ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่ดับกิเลสได้ตามความเป็นจริง แม้แต่บุคคลที่มีปัญญา ใครถามปัญหาก็แก้ได้ ถ้าขณะนั้นดูหมิ่นบุคคลอื่นว่า มีปัญญาน้อยกว่าไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ ขณะนั้นผู้ที่มีสติหรืออบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ควรจะเห็นกิเลสโดยชัดเจนว่า เพราะยังมีกิเลสอยู่ จึงมีปัจจัยที่จะให้ปรากฏเป็นความดูหมิ่นอย่างนั้นขึ้น แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน สติจะเกิดได้ไหมที่จะระลึกรู้อย่างนั้น ในขณะนั้นทันที ก็ย่อมเกิดไม่ได้ เมื่อสติและปัญญาเกิดไม่ได้ การดับ การละกิเลสที่ปรากฏในขณะนั้น ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น กิเลสทั้งหมดที่มีปัจจัยเกิดขึ้น ที่จะละ หรือว่าจะดับได้เป็นสมุจเฉท ก็ด้วยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ด้วยสติที่เกิดขึ้นระลึกรู้ จึงจะละการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้นว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงสภาพของนามธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ข้อความต่อไปมีว่า
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล สำรวมแล้วด้วยความสำรวมในปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลาย มีประมาณเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ส่วนภิกษุอื่นเหล่านี้ เป็นผู้ทุศีล มีบาปธรรม เธอก็ดูหมิ่นภิกษุอื่นด้วยความถึงพร้อมด้วยศีลนั้น
เป็นเรื่องของกิเลสที่ปรากฏให้รู้ สำหรับผู้ที่ระลึกได้
ข้อความต่อไป เป็นเรื่องของภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยการอยู่ป่าเป็นวัตร เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้เป็นบรรพชิต ก็ยังมีกิเลสถึงอย่างนั้น สำหรับตัวท่านเอง ถ้าไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นกิเลสที่มีมาก และปรากฏในลักษณะต่างๆ กัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงทั้งในเรื่องของกายและวาจาเพื่อที่จะให้ระลึกได้ ในสภาพของกิเลสที่ปรากฏ
ข้อความต่อไป
ข้อ ๗๗๘
ก็ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ พึงเป็นผู้มีสติ ศึกษาในกาลทุกเมื่อ
เป็นเรื่องที่ท่านผู้ฟังไม่ควรที่จะข้ามแต่ละพยัญชนะไป เช่น ข้อความที่ว่า ก็ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้วค้นคว้าอยู่ ธรรมนั้น ธรรมอะไร หลายท่านกล่าวว่า เห็นเป็นนามธรรม สีเป็นรูปธรรม ได้ยินเป็นนามธรรม เสียงเป็นรูปธรรม นี่คือธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริง ทั้งๆ ที่มีความเข้าใจอย่างนี้ก็จริง คือ มีความเข้าใจว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่นามธรรมกับรูปธรรมเท่านั้นเอง นี่คือชีวิตในวันหนึ่งๆ ตามความเป็นจริง คือ ธรรมนั้นตามความเป็นจริง แต่พอไหมที่จะรู้เพียงเท่านี้ หรือว่าถ้าศึกษาเพิ่มขึ้น มากขึ้น และก็รู้ว่า อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม โดยการศึกษา พอไหมเพียงเท่านี้
นี่คือธรรมนั้นๆ ที่ได้เข้าใจ ที่ได้เรียน ที่ได้ศึกษา แต่ยังไม่พอ เพราะว่ายังไม่ประจักษ์ลักษณะของสภาพนั้นๆ ตามความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้จึงมีข้อความต่อไปว่า พึงเป็นผู้มีสติ ศึกษาในกาลทุกเมื่อ
ถ้าไม่เข้าใจความหมายของสติ ก็ไม่ทราบว่าสติคืออย่างไร ขณะใดมีสติ ขณะใดหลงลืมสติ เพราะฉะนั้น จะต้องเข้าใจลักษณะของสติ นอกจากเป็นผู้ที่มีสติแล้ว ศึกษาในกาลทุกเมื่อ คือ ศึกษาในขณะที่สติกำลังระลึกทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกที่กำลังรู้กลิ่น ทางลิ้นที่กำลังลิ้มรส ทางกายที่กำลังกระทบสัมผัส
มีสติ ศึกษาในกาลทุกเมื่อ ศึกษาในลักษณะของนามธรรมที่กำลังรู้สภาพที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ สิ่งที่กำลังปรากฏนี้ พร้อมที่จะให้ศึกษาด้วยสติ
มีสติ ศึกษาในกาลทุกเมื่อ ขณะนี้กำลังเห็น ศึกษาได้แล้วถ้าสติเกิด และต้องศึกษาด้วยสติที่เกิดระลึกรู้ ถ้าสติไม่เกิด ก็ไม่ได้ศึกษาในลักษณะของนามธรรมที่กำลังเห็น ที่กำลังได้ยิน ที่กำลังได้กลิ่น ที่กำลังลิ้มรส ที่กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส
เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยสติเกิด ระลึกรู้ในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จนกว่าจะเป็นความรู้ที่ประจักษ์แจ้งจริงๆ ในสภาพธรรมนั้นๆ
ข้อความต่อไปมีว่า
ภิกษุรู้ความดับว่าเป็นความสงบแล้ว ไม่พึงประมาทในศาสนาของพระโคดม
พระผู้มีพระภาคทรงโอวาทเรื่องของความไม่ประมาททั้งหมด ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 494
ข้อความต่อไปมีว่า
คำว่า นั้น ในคำว่า ภิกษุรู้ธรรมนั้นแล้ว คือ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศแล้ว
คำว่า รู้ธรรมนั้นแล้ว (ความหมายของคำว่ารู้) ความว่า รู้ พิจารณา เทียบเคียง ทำให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ่มแจ้งแล้ว แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่ารู้ธรรมนั้นแล้ว
เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งกล่าวง่ายๆ ว่า รู้แล้ว เห็นเป็นนามธรรม รู้แล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปธรรม รู้แล้ว ได้ยินเป็นนามธรรม รู้แล้ว เสียงที่ปรากฏทางหูเป็นรูปธรรม รู้แล้ว อย่าเพิ่งกล่าวง่ายๆ อย่างนี้ว่า รู้แล้ว เพราะเหตุว่า คำว่า รู้ธรรมนั้นแล้ว ความว่า รู้ พิจารณา เทียบเคียง ทำให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ่มแจ้งแล้ว แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่ารู้ธรรมนั้นแล้ว
ข้อความต่อไป
อีกอย่างหนึ่ง รู้ ทราบ พิจารณา เทียบเคียง ทำให้แจ่มแจ้งแล้วซึ่งธรรมอันเสมอ ธรรมอันไม่เสมอ ธรรมเป็นทาง ธรรมไม่เป็นทาง ธรรมมีโทษ ธรรมไม่มีโทษ ธรรมเลว ธรรมประณีต ธรรมดำ ธรรมขาว ธรรมที่วิญญูชนติเตียน ธรรมที่วิญญูชนสรรเสริญ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่ารู้ธรรมนั้นแล้ว
อย่างเช่น เวลาที่ความโอ้อวดเกิดขึ้น หรือว่ากิเลสประเภทใดก็ตามเกิดขึ้น ในลักษณะที่วิจิตรต่างๆ กันไป ถ้าสติไม่เกิดขึ้น จะรู้ไหมว่า น่ารังเกียจเหลือเกิน เป็นธรรมดำ เป็นธรรมที่วิญญูชนติเตียน ก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้เลย แต่เมื่อสติเกิด จึงสามารถที่จะรู้ และขัดเกลาให้เบาบางลงได้
ข้อความต่อไป
อีกอย่างหนึ่ง รู้ ทราบ พิจารณา เทียบเคียง ทำให้แจ้ง ทำให้เป็นแจ้งแล้ว ซึ่งความปฏิบัติชอบ ความปฏิบัติสมควร ความปฏิบัติไม่เป็นข้าศึก ความปฏิบัติเป็นไปตามประโยชน์ ความปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ความเป็นผู้ทำความบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ความหมั่นประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ สติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นิพพาน ธรรมเป็นข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงนิพพาน แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่ารู้ธรรมนั้นแล้ว
ถ้าเป็นผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน รู้ไหมว่า นี่เป็นหนทางให้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ ซึ่งแต่ก่อนกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลัง ลิ้มรส กำลังรู้โผฏฐัพพะก็ไม่เคยระลึกได้ว่า จะต้องศึกษาค้นคว้า พิจารณา เทียบเคียง ให้เป็นความรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ต่อเมื่อมีการเริ่มอบรมแล้ว ผลย่อมเกิด คือ ความรู้ค่อยๆ เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แม้ว่าจะน้อยมากก็จริง แต่ก็ยังมีสติที่เกิดระลึก มีการพิจารณาเพื่อจะรู้ และค่อยๆ รู้ขึ้น เพราะฉะนั้น วันหนึ่งก็จะต้องเป็นความรู้ชัด ประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงได้ ตลอดจนถึงการรู้แจ้งแทงตลอด ประจักษ์ในสภาพของนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ดับกิเลสได้ เพราะว่ามีการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
แต่ถ้าไม่มีการอบรมเจริญสติปัฏฐานเลย ปัญญาที่ไหนจะเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ทาง ไม่ใช่หนทางข้อปฏิบัติที่จะทำให้บรรลุผล แต่เมื่อเข้าใจในเรื่องเหตุ ก็ย่อมจะรู้ถึงผลได้ว่า เมื่อเหตุดำเนินไปอย่างนี้เรื่อยๆ ก็ย่อมจะทำให้บรรลุถึงผล คือ การประจักษ์แจ้งแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมที่สติระลึกได้ และเริ่มรู้เพิ่มขึ้น มากขึ้น
ถ้าท่านผู้ฟังพิจารณาเทียบเคียงชีวิตของสาวกของพระผู้มีพระภาค ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว เช่น ท่านพระสารีบุตร หรือว่าท่านอนาถบิณฑิกะ ท่านวิสาขามิคาร-มารดาก็ตาม ท่านที่บรรลุความเป็นพระโสดาบัน เป็นการรู้แจ้งแทงตลอดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไป และประจักษ์ชัดในสภาพของนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ดับกิเลส แต่ว่าก่อนที่จะถึงชาตินั้น จะมีความรู้ชัดอย่างนั้นได้ไหม ถ้ามีความรู้ชัดอย่างนั้น ท่านก็เป็นพระอริยสาวกแล้วในชาติโน้นๆ
เพราะฉะนั้น มีหลายท่านที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน รู้สภาพธรรมในขณะที่สติเกิด และเห็นว่า เวลาที่สติเกิด มีการพิจารณา สำเหนียกที่จะรู้ลักษณะของนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้าง แต่ไม่ชัดเจนสักที ใช่ไหม ไม่ประจักษ์ชัดในลักษณะที่เป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม ซึ่งการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็จะต้องเป็นโดยลักษณะนี้ เช่นเดียวกับในอดีตชาติก่อนๆ ของพระอริยเจ้า ก่อนที่ท่านจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะเหตุว่าสติเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเล็กน้อย ขณะนี้ ถ้าสติจะเกิด บางท่านอาจจะระลึกรู้แข็งที่กำลังปรากฏ ระลึกรู้เสียงที่กำลังปรากฏ หรือว่าระลึกรู้สภาพรู้ที่กำลังรู้สีสันวัณณะที่ปรากฏ ในขณะที่ฟังอย่างนี้ สติก็ตามระลึก รู้ทันที ชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นไปได้ แต่หลังจากนั้น กิเลสก็มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วขณะเล็กน้อยที่สติเกิดขึ้น สังเกต สำเหนียกที่จะให้เป็นความรู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม กับขณะที่กิเลสมีปัจจัยเกิดขึ้นท่วมทับปิดบังไม่ให้ระลึกได้ และรู้ว่าได้เริ่มพิจารณา สังเกต สำเหนียกในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมบ้างแล้ว เพราะฉะนั้น ก็เป็นการเหมือนไม่รู้ และไม่ได้สังเกตเห็นการที่ค่อยๆ เทียบเคียงพิจารณา แม้นิด แม้หน่อย แม้เล็ก แม้น้อย แต่ก็ได้สะสมแล้วเป็นอุปนิสัยที่ว่า ในกาลต่อไปสามารถที่จะเป็นความรู้อย่างรวดเร็วพร้อมสติที่เกิดได้ ซึ่งตามความเป็นจริง จะเห็นได้จริงๆ ว่า สติเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเล็กน้อย และก็อบรมอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่ละภพ แต่ละชาติ จนกว่าจะถึงภพชาติที่ประจักษ์แจ้งในอริยสัจธรรม เป็นพระอริยสาวก
เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะท้อถอย พร้อมกันนั้นก็ไม่ควรหวังว่า ชาตินี้ของท่านจะเหมือนกับชาติสุดท้ายของท่านพระสารีบุตร ซึ่งจะเป็นไปได้ไหม เพราะว่าท่าน พระสารีบุตรท่านอบรมมามากเหลือเกิน
สำหรับท่านผู้ฟังที่ได้ฟัง ก็กำลังเพียรระลึกรู้ในขณะที่สติเกิด ซึ่งจะต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เริ่มรู้ขึ้นๆ จนกว่าจะเป็นความรู้ชัด และสำหรับกิเลสซึ่งยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท เมื่อมีปัจจัยย่อมเกิดขึ้น ทำให้กระทำกรรมต่างๆ ที่วิจิตรในแต่ละภพ แต่ละชาติ ยังไม่ได้เป็นผู้ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยศีล ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 495

