Thai-Hindi 24 September 2022

 
prinwut
วันที่  24 ก.ย. 2565
หมายเลข  44160
อ่าน  384

Thai-Hindi 24 September 2022


- รู้จักธรรมรึยัง (เริ่มรู้จัก)

- ต้องเริ่มจริงๆ ว่า ธรรมอยู่ไหน มีรึเปล่า (มี) เดี๋ยวนี้มีไหม

- ฟังเพื่อให้รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้รู้สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่พระองค์ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้

- ทำไมเราฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้) หมายความว่า ไม่ได้รู้ความจริงว่า ขณะนี้มีอะไรใช่ไหม

- เดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังเห็นแต่ไม่เคยรู้ว่า เห็นไม่ใช่เราเห็น ก่อนฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเราเห็นทุกครั้งที่เห็น

- เมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นเราเห็นรึเปล่า (ไม่ใช่อย่างนั้นเพราะไม่มีเรา) แล้วเป็นอะไร

- ธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นเห็นมีจริง เห็นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

- คิดมีจริง คิดเกิดคิดแล้วดับไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจถูกต้องตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะไม่ใช่เรา

- ทุกคนมั่นใจ มั่นคง ดีมากทุกคนเข้าใจมั่นคงแน่นอน ไม่มีเรา มีแต่ธรรมแต่ละ ๑ เกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นความคิดที่เริ่มคิดถูกต้อง

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ต้องรู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงคิดว่า เดี๋ยวนี้เห็นไม่ใช่เรา นี่คือความตรง เปลี่ยนไม่ได้เลย

- คิดถูกว่า กำลังเห็นไม่ใช่เรา คิดไม่ใช่เรา ทุกอย่างไม่ใช่เรา แต่ยังไม่ได้รู้จริงๆ แต่ละ ๑ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างอื่นไม่มี มีเฉพาะสิ่งนั้นที่ปรากฏ

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นต่างกับเห็นไหม (ต่าง) ต่างอย่างไร

- เพราะฉะนั้นเวลาได้ยินกับสิ่งที่ถูกได้ยินต่างกันไหม

- เดี๋ยวนี้ได้ยินไหม (มี) ได้ยินได้ยินอะไร

- เสียงกับได้ยินเป็นอย่างเดียวกันรึเปล่า (ต่างกัน) ต่างอย่างไร (ยังไม่เข้าใจเสียง)

- เสียงมีจริงไหม เสียงรู้อะไรรึเปล่า เปลี่ยนเสียงให้รู้ได้ไหม เสียงเกิด มีเสียงแล้วเสียงดับรึเปล่า ไม่ให้เสียงเกิดได้ไหม เสียงดับ ไม่ให้เสียงดับได้ไหม เสียงมีจริงไหม เสียงเกิดแล้วดับรึเปล่า

- นี่คือความหมายของคำว่า ธรรม ไม่ใช่ให้จำ ไม่ใช่ให้จำแต่ขณะกำลังพูดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นกำลังมีให้เริ่มรู้ความจริง

- ถ้าไม่เข้าใจความจริง จะรู้อะไร ไม่มีอะไรจะรู้ใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี จะรู้อะไรได้

- เมื่อรู้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้กำลังมี เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เขาสามารถเข้าใจได้ว่าตลอดชีวิตทั้งหมดไม่มีเขา ไม่มีอะไรนอกจากมีธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งเกิดแล้วดับ

- เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรม คือ เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา

- ธรรมอยู่ไหน เดี๋ยวนี้ ธรรมอยู่ที่ได้ยิน ได้ยินเป็นธรรมไม่ใช่ที่อื่น ขณะเห็นเป็นธรรม ไม่ใช่อยู่ที่อื่น เพราะฉะนั้นธรรมอยู่ที่สิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ทุกขณะ จะไปหาธรรมที่อื่นไหม จะเข้าใจธรรมที่อื่นไหม

- เพราะฉะนั้นจะเข้าใจธรรม คือ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีทีละ ๑ เพราะเป็นธรรมแต่ละ ๑

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏคือ เห็นกำลังเห็น เห็นเกิดขึ้นเห็น เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

- เขาเห็นคนรึเปล่า แต่เริ่มเข้าใจถูกใช่ไหมว่า สิ่งที่เห็นไม่ใช่คน

- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยน ไม่ได้เห็นคน แต่เห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตาขณะนั้น นี่เป็นสัจจบารมีตรงต่อความเป็นจริง ไม่เปลี่ยน

- เริ่มเข้าใจมั่นคง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เริ่มเข้าใจความหมายของความจริงว่า ธรรมคืออะไร อนัตตาคืออะไร

- ธรรมที่ไม่รู้อะไร เกิดแต่ไม่รู้อะไร มีไหม (มี) อะไรบ้าง (เสียง สิ่งที่ปรากฏทางตา รส กลิ่นอ่อนแข็ง) ครบรึยัง

- ให้นับสิ่งที่ไม่รู้อะไร เกิดเป็นสภาพธรรมมีอะไรบ้าง ให้ครบ

- นี่เป็นเหตุว่า ทำไมเราพูด พูด พูด จนเขามีความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยไม่คลาดเคลื่อนเพราะเป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน ธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อยู่ที่เดี๋ยวนี้ กำลังศึกษาธรรมเห็นไหม เพราะไม่เข้าใจความลึกซึ้งของธรรม

- นี่คือความลึกซึ้ง ไม่ใช่ง่ายๆ ธรรมดาๆ พูดแล้วพูดอีกในสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ได้เข้าใจอะไรตามความเป็นจริงเลย

- เพราะฉะนั้นเรากำลังพูดถึงสิ่งนี้ที่มีจริงเพียง ๑ ทีละ ๑ ให้เข้าใจชัดเจนที่ไม่ต้องไปท่องหรือไปจำ แต่เข้าใจจนหมดความสงสัย

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ เราจะพูดเฉพาะเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังมีจริงๆ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจ พูดถึงอะไรต้อง ๑ กำลังพูดถึงเห็น

- เห็นมีจริงไหม กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นมีจริงๆ รึเปล่า เห็นเห็นอะไร ไม่ต้องเรียกอะไรก็เห็นสิ่งนั้นใช่ไหม

- เห็นอะไรไม่ได้นอกจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะที่กำลังเห็นใช่ไหม

- ถ้าเห็นเกิดขึ้นไม่รู้อะไร จะรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังถูกเห็นไหม เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้นต้องรู้และรู้คือกำลังเห็น

- มีสิ่งที่ถูกเห็นแน่นอนใช่ไหม ไม่ต้องเรียกอะไรแต่ว่า เปลี่ยนสิ่งที่ถูกเห็นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม

- สิ่งที่ถูกเห็นรู้อะไรรึเปล่า สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่ถูกเห็นต้องต่างกันใช่ไหม

- เห็นมีจริงๆ เป็นธรรมรึเปล่า เพราะธรรมคือสิ่งที่มีจริง

สิ่งที่ถูกเห็นมีจริง เป็นธรรมรึเปล่า

- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า ธรรมเกิดขึ้นเป็น ๒ อย่างๆ หนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ อีกอย่างหนึ่งเกิดแล้วไม่รู้อะไร ไม่สามารถจะรู้อะไรได้

- สิ่งที่เกิดขึ้นรู้มีหลายอย่าง ไม่ใช่มีแต่เห็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราเรียกให้เข้าใจว่า ธรรมใดๆ ที่เกิดขึ้นรู้เป็น นามธรรม

- และสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไรมีหลายอย่างใช่ไหม แต่ละอย่างต่างกันแต่ทุกอย่างไม่รู้อะไรจึงเป็น รูปธรรม

- เพราะฉะนั้น เห็นเดี๋ยวนี้เป็นสภาพรู้อย่างหนึ่งใช่ไหม และสิ่งที่ถูกเห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเพียง ๑ เท่านั้น ไม่ใช่อย่างอื่นที่ไม่ถูกเห็นใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นเริ่มคิดให้ละเอียด สิ่งที่ถูกเห็นเดี๋ยวนี้อะไรถูกเห็น

เริ่มฟัง เริ่มไตร่ตรอง เริ่มลึกซึ้ง

- สิ่งที่ถูกเห็นต้องต่างกับสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ถูกเห็นเพราะเห็นไม่ได้ใช่ไหม

เห็นเสียงได้ไหม เห็นกลิ่นได้ไหม เห็นแข็งได้ไหม

- เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีเพียง ๑ คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น

เดี๋ยวนี้กำลังมีสิ่งที่ถูกเห็น อะไรทั้งหมดต้องถูกเห็นในขณะที่กำลังเห็น

- ถ้าสิ่งที่กำลังถูกเห็นไม่กระทบตาจะเห็นได้ไหม เพราะฉะนั้น ตาเห็นรึเปล่า

ตาไม่เห็น สิ่งที่กระทบตาก็ไม่เห็น เป็นธรรมประเภทไหน

- เห็นตาได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นเห็นอะไร ลืมว่าต้องเห็นสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น

- สิ่งที่กระทบตาได้แต่อยู่ข้างหลัง เห็นไหม เพราะฉะนั้นเห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตาใช่ไหม ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดจะกระทบตาได้ไหม

- ถ้าตาไม่เกิดจะมีการเห็นได้ไหม เพราะฉะนั้น ตาเกิด สิ่งที่กระทบตาเกิด เห็นเกิดเห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น

- เห็นรูปร่างสัณฐานได้ไหม เข้าใจแล้วใช่ไหม

- สิ่งที่กระทบตาได้ ใหญ่หรือเล็ก พร้อมกันไหม ทีเดียวไหม แบ่งรูปที่ใหญ่ให้เป็นรูปเล็กๆ ที่สุดได้ไหม

- เพราะฉะนั้นเขาเห็นอะไรเดี๋ยวนี้ (เห็นคุณสุคิน) อะไรเป็นคุณสุคิน

- คุณสุคินมีตาไหม มีคิ้วไหม ขณะที่คิดว่า เห็นคิ้ว เห็นตาด้วยรึเปล่า เพราะฉะนั้นมีคุณสุคินไหม หรือว่า มีคิ้ว มีตา กว่าจะเป็นคุณสุคินได้ก็ต้องมีสิ่งที่กระทบตาเล็กที่สุดจึงกระทบได้

- เพราะฉะนั้นเห็นเพียงสิ่งที่เล็กๆ ยังไม่เป็นรูปร่างสัณฐานเลยใช่ไหม

เริ่มเห็นความลึกซึ้งของธรรมบ้างไหม

- ตุ๊กตาตัวหนึ่งมีตา ๒ ข้าง กระทบพร้อมกันไหมจึงได้บอกว่ามี ๒ ข้าง และก่อนจะเป็นตา เป็นตารึยัง หรือเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น กว่าจะเป็นตา ๑ ข้าง กว่าจะเป็นตาครึ่งข้าง กว่าจะเป็นตา ๒ ข้าง

- นี่เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งที่ ไม่ปรากฏความจริงตลอดมาในสังสารวัฏฏ์จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ความจริงทีละ ๑ ซึ่งเล็กที่สุด เกิดดับเร็วที่สุด สืบต่อเร็วที่สุดจนปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นนิมิตที่ทำให้รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prinwut
วันที่ 24 ก.ย. 2565

- สิ่งที่เรากำลังได้ฟังทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างนี้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม

- พระองค์ตรัสว่า ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่มีธรรมสิ่งที่มีจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- ถ้าเพียงประมาทฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าเข้าใจแล้ว รู้จักนามธรรมแล้ว เข้าใจรูปธรรมแล้ว ไม่สามารถที่จะรู้จริงๆ ได้เลย

- ต้องไตร่ตรองทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เข้าใจจริงๆ หรือไม่เพราะต้องเป็นความเข้าใจของตนเองไม่ใช่ของคนอื่น

- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตาเพราะพระองค์ตรัสรู้ความจริงซึ่งละเอียดอย่างยิ่งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

- เพราะฉะนั้นเห็นรูปร่างสัณฐานรึเปล่า เพราะฉะนั้นสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงที่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้และไม่กลับมาอีกเลย จึงไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทุกอย่างเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

- ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นจะคิดว่า เราเห็นรูปร่าง เราเห็นคน เพราะสภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ทำให้ปรากฏเหมือนเป็นรูปร่างสัณฐานเหมือนไม่ได้ดับเลย

- สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงทำให้ปรากฏสืบต่อจนเป็นรูปร่างสัณฐานเป็นนิมิตของสิ่งที่เกิดดับ ถ้าไม่มีสิ่งที่เกิดดับ นิมิตก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี

- ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมคือความจริงอย่างนี้ได้เลย แต่เมื่อไม่รู้ความจริง ไม่ประจักษ์แจ้งความจริงก็เข้าใจว่า อยู่ในโลกของคน อยู่ในโลกของแม่น้ำ ภูเขา ทุกสิ่งทุกอย่างแต่ความจริงถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพียง ๑ โลกนี้ก็ไม่มี โลกไหนๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น

- เริ่มรู้ความจริงรึยังว่า อยู่ในโลกของความไม่รู้มาตลอดในสังสารวัฏฏ์ อยู่ในโลกของนิมิต

- การเข้าใจสิ่งที่ปรากฏสืบต่ออย่างเร็วว่า เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ เป็นสิ่งของต่างๆ ที่เที่ยงเพราะไม่ปรากฏการเกิดดับ

- เพราะฉะนั้นฟังคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อรู้จักความจริงและรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและรู้จักคุณของพระปัญญา พระบริสุทธิคุณและพระมหากรุณาคุณ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ความจริงเลย

- เริ่มรู้รึยังว่า ตั้งแต่เกิดทุกชาติ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีโอกาสรู้ความจริงเลยทุกชาติ

- เริ่มรู้ว่าอยู่ในโลกของความไม่รู้ทุกชาติแค่ไหนและเริ่มรู้ว่า อยู่ในโลกของนิมิตไม่มีสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงแต่ถ้าไม่มีสิ่งนั้นนิมิตก็มีไม่ได้

- เมื่อเริ่มเข้าใจความจริง ก็จะเริ่มเข้าใจความละเอียด ความลึกซึ้งของทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส

- ไม่มีเราแต่มีธรรม จริงไหม นี่จึงเป็นการปลูกฝัง อธิษฐานบารมี มั่นคงต่อความจริง สัจจบารมี

- เมื่อรู้ว่า ความจริงเดี๋ยวนี้สามารถที่จะประจักษ์แจ้งรู้ความจริงได้ ก็รู้ว่าได้เข้าใจขึ้นๆ จากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้

- เพราะฉะนั้นมีวิริยะ ความเพียร มีความอดทน มีความตรงต่อธรรมที่จะเห็นความลึกซึ้งและไม่เปลี่ยนความลึกซึ้งให้เป็นสิ่งที่ง่ายๆ อย่างที่บางคนเข้าใจผิด

- ถ้าเข้าใจผิดคิดว่า ธรรมง่าย จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม จากเห็นพระองค์แล้วกราบไหว้กับเริ่มเห็นคุณของพระองค์แล้วกราบไหว้ ต่างกันมากแค่ไหน

- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ เห็นรูปร่างสัณฐานรึเปล่า (ไม่เห็นเพราะเข้าใจว่าเหมือนจุดเล็กๆ บนจอคอมพิวเตอร์) แม้ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คิดอย่างนั้นได้ใช่ไหม

- เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร เก่งอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเขา ขณะนั้นคิดคืออะไร ธรรมคืออะไร ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

- เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจจึงรู้ว่า ไม่มีใครที่จะมีปัญญาเหนือพระองค์ได้เลย

- สิ่งที่ปรากฏขณะนี้สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ไหม ไม่ใช่เพียงขั้นแค่คิด (ใช่) รู้ได้แต่ต้องรู้ว่า ขณะนี้ไม่ใช่การรู้อย่างนั้นใช่ไหม เพราะทุกอย่างยังรวมกัน ไม่ได้รู้เลยว่า แต่ละ ๑ ซึ่งต่างกันนั้นคืออะไร

- การจะรู้ความจริง ต้องรู้ความจริงของธรรมแต่ละ ๑ เท่านั้น ไม่ใช่รู้หลายๆ อย่างพร้อมกัน

- ขณะนี้เขารู้ว่า มีธาตุรู้ซึ่งกำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เห็นเกิดขึ้นเห็น เห็นทำอย่างอื่นได้ไหม เห็นได้ยินด้วยได้ไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นนามธรรม ๑ ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น

- คุณมธุรู้ไหมว่า เห็นอะไร (รู้แค่ขั้นฟัง) แต่ต้องฟังคำถาม ไม่ได้ถามอย่างนี้เลย ถามว่า คุณมธุรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้เห็นอะไร (ไม่รู้)

- เห็นอะไร (เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา) ต้องเป็นคนตรง เห็นอะไร (เห็นบุคคลต่างๆ หน้าจอ) ถ้าไม่จำสิ่งที่เห็นจะรู้ว่าเป็นบุคคลต่างๆ ได้ไหม

- เห็นจำได้ไหม (ไม่) เพราะฉะนั้น จำมีจริงไหม (มี) จำไม่ใช่เห็นใช่ไหม (ใช่) จำเป็นอะไร (เป็นอีกธรรมหนึ่ง)

- เริ่มเข้าใจว่า ไม่มีมธุใช่ไหม (ใช่) เริ่มจำว่า จำเป็นจำไม่ใช่เห็น จำไม่ใช่มธุ เห็นไม่ใช่มธุ ทุกอย่างที่มีจริง ๑ ซึ่งไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร เกิดขึ้นแล้วดับไปไม่เหลือแล้วใช่ไหม

- เมื่อการเกิดดับไม่ได้ปรากฏให้รู้ก็ยังจำว่า เป็นมธุใช่ไหม

- เพราะฉะนั้น คำไม่กี่คำที่เริ่มเข้าใจ ไม่สามารถที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งความจริงได้ ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมนานเท่าไหร่ ๔๕ พรรษา เพื่อให้คนค่อยๆ เข้าใจจนรู้จริงๆ จนความจริงนั้นปรากฏเป็นอริยสัจจธรรม

- แล้วลืมไหม ไม่ลืมหรือว่า อยู่ในโลกของนิมิต เพราะฉะนั้นความจริงไม่ใช่สิ่งที่จะรู้ได้ง่ายๆ เพราะทั้งหมดปรากฏเป็นนิมิตเพราะการเกิดดับสืบต่อเร็วมากจึงปรากฏว่า เป็นนิมิตของเห็นเพราะไม่ใช่เห็นขณะเดียว เป็นนิมิตของคิดเพราะไม่ใช่คิดขณะเดียว ทุกอย่างปรากฏโดยความเป็นนิมิต

- เปลี่ยนธรรมให้เป็นโลกของธรรม ไม่ใช่โลกของนิมิตได้ไหม เปลี่ยนไม่ได้แน่นอนแต่เข้าใจได้

- เดี๋ยวนี้กำลังเริ่มเข้าใจเห็น เริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่เห็น แต่เปลี่ยนนิมิตของสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ได้ แต่เริ่มรู้ว่า ถ้าไม่มีสภาพธรรมก็ไม่มีนิมิตแน่นอน

- การเข้าใจความจริงแม้เพียง ๑ คน ก็เป็นประโยชน์ของคนนั้น และถ้าเขาสามารถจะทำให้คนอื่นเห็นถูกด้วยก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะทำให้พ้นจากความไม่รู้

- ฟังแล้วไม่ลืม ไตร่ตรองทีละเล็กทีละน้อยโดยความเป็นปัจจัย ไม่ใช่ว่าเราเองพยายามตั้งใจที่จะไม่ลืม

- ฟังเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องมั่นคงขึ้นว่า ไม่มีเราแต่เป็นธรรมทั้งหมด

- ฟังต่อไปไม่มีวันจบจนกว่าประจักษ์แจ้งความจริง ยินดีด้วยในกุศลของทุกคนที่ได้เข้าใจ ไม่เปลี่ยนจากความเข้าใจถูกให้เป็นความเข้าใจผิด

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
siraya
วันที่ 24 ก.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ