ผู้ให้ย่อมผูกมิตร

 
wannee.s
วันที่  28 ก.ค. 2550
หมายเลข  4384
อ่าน  2,777

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 425

[๘๔๒] อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า

คนข้ามโอฆะได้อย่างไรหนอ ข้าม

อรรณพได้อย่างไร ล่วงทุกข์ได้อย่างไร

บริสุทธิ์ได้อย่างไร.

[๘๔๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

คนข้ามโอฆะได้ด้วยศรัทธา ข้าม

อรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท ล่วงทุกข์

ได้ด้วยความเพียร บริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา.

[๘๔๔] อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า

คนได้ปัญญาอย่างไรหนอ ทำอย่างไร

จึงจะหาทรัพย์ได้ คนได้ชื่อเสียงอย่างไร

หนอ ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้ คน

ละโลกไปสู่โลกหน้า ทำอย่างไรจึงจะ

ไม่เศร้าโศก.

[๘๔๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์

เพื่อบรรลุนิพพาน ฟังอยู่ด้วยดีย่อมได้

ปัญญา เป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้ฉลาด เป็น

ผู้ทำเหมาะเจาะ ไม่ทอดธุระ เป็นผู้หมั่น

ย่อมหาทรัพย์ได้ คนย่อมได้ชื่อเสียงเพราะ

ความสัตย์ ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
แวะเข้ามา
วันที่ 28 ก.ค. 2550

ถ้าไม่มีผู้รับ การให้ก็ไม่สำเร็จ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

เรื่อง ผู้รับของจากผู้ให้ย่อมผูกมิตรและรักษาความเป็นมิตรไว้

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 514
ข้อความบางตอนจาก อสัมปทานชาดก

ในอดีตกาล ครั้งพระราชามคธพระองค์หนึ่ง เสวยราช-

สมบัติอยู่ในพระนครราชคฤห์ แคว้นมคธ พระโพธิสัตว์เสวย

พระชาติเป็นเศรษฐี (ในรัชกาล) ของพระราชาพระองค์นั้น

มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ชื่อว่า สังขเศรษฐี ในพระนครพาราณสี

มีเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ชื่อว่า ปิลิยเศรษฐี เศรษฐีทั้งสองนั้น

เป็นสหายกัน ในเศรษฐีทั้งสองนั้น ปิลิยเศรษฐี ในพระนคร-

พาราณสี ประสบภัยอย่างมหันต์ด้วยหน้าที่การงานบางอย่าง

ถึงกับสิ้นเนื้อประดาตัวกลายเป็นคนขัดสนไร้ที่พำนัก ชวน

ภรรยาเดินทางไปหมายพึ่งท่านสังขเศรษฐี ออกจากพระนคร-

พาราณสี มุ่งไปสู่พระนครราชคฤห์ด้วยเท้าเปล่า จนถึงนิเวศน์

ของท่านสังขเศรษฐี ท่านสังขเศรษฐีเห็นเขาแล้ว กล่าวว่า

เพื่อนของเรามาแล้ว ต้อนรับแข็งแรง แสดงความเคารพนับถือ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

ให้พักอยู่สอง-สามวัน วันหนึ่งจึงถามว่า เพื่อนรัก ท่านมาด้วย

ต้องการอะไร ? ปิลิยเศรษฐีตอบว่า เพื่อนยาก ภัยบังเกิดแก่

ข้าพเจ้า ถึงสิ้นเนื้อประดาตัว ช่วยอุดหนุนข้าพเจ้าด้วยเถิด

ฝ่ายสังขเศรษฐีก็กล่าวว่า ดีละเพื่อน อย่ากลัวไปเลย แล้วสั่ง

ให้เปิดคลัง แบ่งเงินให้ ๔๐ โกฏิ แล้วยังแบ่งครึ่งสวิญญาณกทรัพย์

และอวิญญาณกทรัพย์ที่เป็นของตนทุกอย่าง อันเป็นบริวาร

ตามกำหนด ส่วนที่เหลือให้อีกด้วย ปิลิยเศรษฐีขนสมบัติกลับไป

พระนครพาราณสี ตั้งหลักฐานได้.

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

ในเวลาต่อมา ภัยเช่นเดียวกันนั่นแหละ ก็เกิดแก่ท่าน-

สังขเศรษฐีบ้าง ท่านสังขเศรษฐีใคร่ครวญถคงที่พำนักของตน

คิดได้ว่า เราได้ทำอุปการะอย่างใหญ่หลวงไว้แก่สหาย แบ่ง

สมบัติให้ครึ่งหนึ่ง เขาเห็นเราแล้วคงไม่ทอดทิ้ง เราจักไปหาเขา

ดังนี้แล้ว พาภรรยาเดินทางไปพระนครพาราณสีด้วยเท้าเปล่า

กล่าวว่า นางผู้เจริญ เธอจะเดินไปตามท้องถนนพร้อมกับพี่

ดูไม่ควรเลย เธอคอยขึ้นยานที่พี่ส่งมารับไปกับบริวารจำนวน

มากภายหลัง จงคอยอยู่ที่นี่จนกว่าพี่จะส่งยานมารับ ดังนี้แล้ว

ให้นางพักที่ศาลา ตนเองเข้าสู่พระนคร ไปสู่เรือนเศรษฐี

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

ให้คนบอกท่านเศรษฐีว่า สหายของท่านชื่อ สังขเศรษฐีมาจาก

พระนครราชคฤห์ ปิลิยเศรษฐีให้คนไปเชิญมา ครั้นเห็นสังขเศรษฐี

แล้ว ก็มิได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ไม่กระทำปฏิสันถารเลย เอ่ยถาม

อย่างเดียวว่า ท่านมาทำไม?. สังขเศรษฐีตอบว่า ข้าพเจ้ามา

เพื่อพบท่าน ถามว่า ท่านพักที่ไหนล่ะ?. ตอบว่า ที่พักของ

ข้าพเจ้ายังไม่มีดอก ข้าพเจ้าให้แม่บ้านหยุดคอยที่ศาลาแล้ว

มาก่อน ปิลิยเศรษฐีกล่าวว่า ที่พักของท่านที่นี่ก็ไม่มี ท่านจงรับ

อาหารไปให้เขาหุงต้มกิน ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วพากันไปเสียเถิด

อย่ามาพบเราอีกเลย พลางสั่งทาสว่า เจ้าจงตวงข้าวลีบ ๔ ทะนาน

ห่อชายผ้าสหายของเราให้ไปเถิด ได้ยินว่า วันนั้น ปิลิยเศรษฐี

ให้คนฝัดข้าวสาลีแดงไว้ประมาณพันเกวียน ขึ้นยุ้งไว้เต็ม

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

ทั้งที่ได้รับทรัพย์ ๔๐ โกฏิมา ยังเนรคุณ เป็นเหมือนมหาโจร

บอกให้ข้าวทะนานเดียวแก่เพื่อนได้ ทาสตวงข้าวลีบ ๔ ทะนาน

ใส่กระเช้าแล้วไปหาพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คิดว่า ผู้นี้เป็น

อสัตบุรุษ ได้ทรัพย์ ๔๐ โกฏิจากสำนักของเรา บัดนี้สั่งให้

ข้าวลีบ ๔ ทะนาน เราจะรับหรือไม่รับดีหนอ ครั้นแล้วมีปริวิตก

ว่า คนผู้นี้เป็นคนเนรคุณ ประทุษร้ายมิตร ทำลายมิตรภาพ

ระหว่างเราเสียแล้ว ด้วยความเป็นคนตัดรอนอุปการะที่เราทำไว้

ถ้าเราไม่รับข้าวลีบ ๔ ทะนานที่เขาให้ เพราะเป็นของเลวไซร้

ก็จักต้องทำลายมิตรภาพ คนอันธพาลที่ไม่ยอมรับสิ่งของที่ตน

ได้เล็กน้อย ย่อมยังมิตรภาพให้สลายไป แต่เรารับข้าวลีบที่เขา

ให้ จักยังดำรงมิตรภาพไว้ได้ด้วยอำนาจของเรา แล้วก็ห่อข้าวลีบ

๔ ทะนาน ที่ชายผ้าลงจากปราสาทไปสู่ศาลา ครั้งนั้น ภรรยา

ถามท่านว่า ท่านเจ้าข้า ท่านได้สิ่งไรมาบ้าง? ตอบว่า ปิลิยเศรษฐี

สหายของเราให้ข้าวลีบมา ๔ ทะนาน แล้วสลัดเราเสียในวันนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

เลยทีเดียว นางกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ท่านรับมาทำไม มันสมควร

แก่ทรัพย์ ๔๐ โกฏิละหรือ แล้วเริ่มร้องไห้ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า

นางผู้เจริญ เธออย่าร้องไห้เลย พี่เกรงจะเสียไมตรีกับเขา จึง

รับมาเพื่อดำรงมิตรภาพไว้ด้วยอำนาจของพี่ เธอจะร้องไห้ไป

ทำไม ดังนี้แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า

" ไมตรีของผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นคนพาล

ย่อมเป็นโทษ ก่อให้เกิดแตกร้าวกัน เพราะไม่

รับของไว้ เพราะฉะนั้น เราจึงรับเอาข้าวลีบ

กึ่งมานะ๑ ไว้ด้วยมาคิดว่า ไมตรีของเราอย่าได้

แตกร้าวเสียเลย ขอให้ไมตรีของเรานี้ ดำรงยั่งยืน

ต่อไปเถิด " ดังนี้.

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

ก็เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอยู่อย่างนี้ ภรรยาคงร้องไห้อยู่

นั่นเอง ในขณะนั้น ทาสผู้ทาการงานที่ท่านสังขเศรษฐีมอบให้แก่

ปิลิยเศรษฐี ผ่านมาทางประตูศาลา ได้ยินเสียงภรรยาของท่าน-

เศรษฐีร้องไห้ จึงเข้าไปยังศาลา เห็นเจ้านายเก่าของตน ก็

หมอบลงแทบเท้า ร้องไห้คร่ำครวญ พลางถามว่า ข้าแต่นาย

ท่านพากันมาที่นี่ทำไม ? ท่านเศรษฐีก็เล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด

ทาสผู้ทำงานจึงปลอบท่านทั้งสองว่า ช่างเถิดนาย ท่านทั้งสอง

อย่าคิดเลย แล้วพาไปเรือนของตน ให้อาบน้ำหอม ให้บริโภค

อาหาร เรียกทาสทั้งหลายที่เหลือมาประชุมกัน แสดงให้รู้ว่า

เจ้านายของพวกท่านมาแล้ว รออยู่สอง-สามวัน ก็พาทาสทั้งหมด

ไปสู่ท้องพระลานหลวง แล้วร้องตะโกนโพนทนาขึ้น พระราชา

รับสั่งให้เรียกมาตรัสถามว่า นี่เรื่องอะไรกัน?

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

ทาสเหล่านั้นพากันกราบทูลเรื่องทั้งหมดแด่พระราชา พระราชาทรงสดับ

คำของพวกทาสแล้ว รับสั่งให้เรียกเศรษฐีทั้งสองเข้ามาเฝ้า

ตรัสถามท่านสังขเศรษฐีว่า มหาเศรษฐี ได้ยินว่า ท่านให้ทรัพย์

๔๐ โกฏิ แก่ปิลิยเศรษฐี จริงหรือ? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า

ข้าแต่มหาราชเจ้า มิใช่แต่ทรัพย์อย่างเดียวเท่านั้น ที่ข้าพระองค์

ให้แก่สหายผู้นึกถึงข้าพระองค์ แล้วบ่ายหน้ามาสู่พระนครราชคฤห์

ข้าพระองค์แบ่งสวิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์ที่เป็น

สมบัติทุกอย่าง ออกเป็นสองส่วน แล้วแบ่งเท่าๆ กัน พระเจ้าข้า

พระราชาตรัสถามปิลิยเศรษฐีว่า ข้อนั้นเป็นความจริงหรือ ?

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

ปิลิยเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เป็นความจริงพระเจ้าข้า

ตรัสถามต่อไปว่า ก็เมื่อเขานึกถึงท่าน มาหาถึงนี่แล้ว ท่านยังจะ

ได้กระทำสักการะ สัมมานะ อะไรบ้างเล่า? เขานิ่งเสีย รับสั่ง

ถามต่อไปว่า ยังอีกข้อหนึ่งเล่า เจ้าได้ให้ทาสตวงข้าวลีบดุมพะหนึ่ง

ใส่ชายผ้าให้เขาไป ยังจะจริงหรือ? ปิลิยเศรษฐีแม้จะฟังพระดำรัส

นั้น ก็คงนิ่งอึ้งอยู่นั่นเอง พระราชาทรงปรึกษากับพวกอำมาตย์

ว่า ควรทำอย่างไร ทรงบริภาษปิลิยเศรษฐี แล้วตรัสว่า ไปกัน

เถิดท่านทั้งหลาย จงไปเอาสมบัติในเรือนของปิลิยเศรษฐี ให้แก่

สังขเศรษฐีเถิด พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า

ข้าพระองค์ไม่ต้องการสิ่งของของผู้อื่นเลย ขอได้ทรงพระกรุณา

โปรดพระราชทานส่วนที่ข้าพระองค์ให้แก่เขาเท่านั้นเถิด

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 28 ก.ค. 2550

พระราชารับสั่งให้พระราชทานสมบัติอันเป็นส่วนของ

พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ได้คืนสมบัติที่ตนให้ไปทั้งหมดแล้ว

แวดล้อมด้วยทาสกลับไปสู่พระนครราชคฤห์ นั่นแหละ ตั้ง

หลักฐานได้แล้ว กระทำบุญทั้งหลาย มีให้ทานเป็นต้น แล้ว

ไปตามยถากรรม.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุม

ชาดกว่า ปิลิยเศรษฐีในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต ส่วนสังขเศรษฐี

ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาอสัมปทานชาดกที่ ๑
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ajarnkruo
วันที่ 29 ก.ค. 2550

"รักษาไมตรีกับคนพาลว่ายากยิ่งแล้ว รักษาไมตรีกับใจตนยากยิ่งกว่านักแล"

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wannee.s
วันที่ 30 ก.ค. 2550

กุศลเปรียบเหมือนญาติมิตรที่สนิทคอยพะเน้าพนอในปรโลกค่ะ อกุศลเปรียบเหมือนศัตรูคอยทำร้ายให้ในสิ่งที่เป็นโทษ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
olive
วันที่ 1 ส.ค. 2550
ขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ