เวลาเจริญสติปัฏฐานขับรถยนต์ได้ไหม

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ก.ย. 2565
หมายเลข  43743
อ่าน  459

ในตอนนี้มีท่านผู้ใดสงสัยในการสติปัฏฐาน ๔ บ้าง หรือยังไม่เข้าใจ ยังไม่เห็นด้วยว่า สิ่งที่มีอยู่ทุกๆ ขณะในชีวิตประจำวันนั้นเป็นสติปัฏฐาน หรือคิดว่าขณะไหนไม่ใช่สติปัฏฐาน ขณะไหนเป็นสติปัฏฐาน


. มีผู้เถียงเสมอว่า เวลาเจริญสติปัฏฐานนั้นขับรถยนต์ไม่ได้

สุ . เวลาขับรถยนต์นั้น ใครขับ มีตัวตน มีสัตว์บุคคลที่กำลังขับรถยนต์หรือเปล่า พิจารณาด้วยตัวของท่านเองว่า ท่านก็เคยขับรถยนต์ เคยดูละคร เคยอ่านหนังสือพิมพ์ เคยโทรศัพท์ ก็เป็นนามเป็นรูปประเภทต่างๆ เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นโมหะบ้าง เป็นกุศลที่เป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง ในการเจริญความสงบ เท่านั้นเอง แต่ความรวดเร็วของนามและรูปซึ่งเป็นสังขารธรรม ทั้งจิตก็ดี เจตสิกที่เกิดกับจิตก็ดี รูปก็ดี เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วมากทีเดียว มากจนกระทั่งทำให้ผู้ที่หลงลืมสติ ไม่ได้พิจารณารู้ลักษณะของนามและรูปแต่ละชนิดตามความเป็นจริง เข้าใจผิด ยึดถือว่า เป็นตัวตน เพราะเหตุว่านามรูป เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว

ผู้ที่ยังไม่เจริญสติเลย ก็คิดว่าทุกขณะมีตัวตนแน่นอน แต่ให้ทราบว่า ผู้ที่ตรัสรู้แล้วประจักษ์ลักษณะของนามรูปชัดเจนถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ทุกขณะนั้นเป็นแต่เพียงสภาพรู้อย่างหนึ่ง และสภาพที่ไม่รู้อะไร แต่เป็นสภาพที่ปรากฏให้รู้ได้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่าเมื่อย่อโลกลง จะมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ลักษณะ คือ สภาพรู้อย่าง ๑ และสภาพที่ไม่รู้อย่าง ๑ ถ้าไม่มีสติ ไม่พิจารณา ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปชนิดหนึ่งชนิดใดแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้เลยว่า โลภะเกิดขึ้นก็ดับไป ทุกคนมีโลภะ ดับไหม ดับ แต่ไม่ประจักษ์ เพียงขั้นการศึกษาว่า โลภะดับ แต่ไม่ประจักษ์ความดับของโลภะ เพราะว่า สติไม่ได้รู้ลักษณะของโลภะที่กำลังปรากฏ กำลังเห็นดับไหม โดยการศึกษาทราบว่า การเห็นเกิดดับทุกขณะ แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับของเห็นที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ เพราะเหตุว่าไม่ระลึกรู้ลักษณะที่กำลังเห็นตามความเป็นจริง

เวลานี้เห็นมีไหม มี ได้ยินมีไหม มี คิดนึกด้วยหรือเปล่า คิดนึกด้วย ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึก นี่แสดงถึงความรวดเร็วของจิต แต่โดยสภาพความจริงแล้ว จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ หรือว่าทีละ ๑ ดวงเท่านั้น จะเกิดพร้อมกันทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึกไม่ได้เลย แต่ถ้าผู้นั้นเจริญสติ เห็นก็ยังคงเป็นเห็นตามปกติธรรมดา แต่สติรู้ลักษณะของสภาพที่กำลังเห็นว่า ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่ร้อน ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ แต่ว่าเป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเพราะมีตา หรือว่าอาศัยตา จึงมีการเห็นเกิดขึ้นได้

เพราะฉะนั้น คนหนึ่งกำลังเจริญสติปัฏฐาน อีกคนหนึ่งไม่เจริญสติปัฏฐาน ในขณะที่คนซึ่งไม่ได้เจริญสติ เห็น แล้วก็ชอบ แล้วก็อยากได้ ผู้เจริญสติเห็น อาจจะชอบ แต่มีสติ ระลึกรู้ลักษณะที่เห็นก็ได้ ระลึกรู้ลักษณะความพอใจที่กำลังปรากฏในขณะนั้นก็ได้

สำหรับเรื่องขับรถยนต์ ขอให้พิจารณาเหตุผลตามความเป็นจริงว่า ผู้ที่กำลังขับรถยนต์กันอยู่ในท้องถนนขณะนี้นั้น เจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า กำลังรับประทานอาหาร กำลังนั่ง นอน ยืน เดิน เคลื่อนไหว เหยียดคู้ พูด นิ่ง คิด ตามปกติ เจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า

บางท่านก็เข้าใจผิดว่า ถ้าเจริญสติปัฏฐานแล้ว จะขับรถยนต์ชน แต่ขอให้คิดถึงปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันว่า ที่ขับรถยนต์ทุกๆ วัน มีโลภะไหม มีโทสะไหม มีโมหะไหม ถ้าท่านเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่เจริญสมาธิ ไม่ใช่บังคับ เพราะเหตุว่าการเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นอนุสติ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ต้องสร้างอะไรขึ้นมาเลย เย็นมีไหม ร้อนมีไหม เห็นมีไหม ได้ยินมีไหม รู้ว่าเป็นคน เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย ได้ยินเสียงรู้ความหมายต่างๆ ตามปกติ ผู้ที่เจริญสติ แทนที่โลภะจะเกิด โทสะจะเกิด โมหะจะเกิด สติก็เกิดรู้ลักษณะของสิ่งนั้นตามความเป็นจริง ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 41

รับฟัง ...

จุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ