ไทย-ฮินดี 16 กรกฎาคม 2565 ส่วนที่ 1

 
prinwut
วันที่  16 ก.ค. 2565
หมายเลข  43352
อ่าน  491

Thai-Hindi 16 July 2022

- ต้องเป็นคนตรงที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะไม่สามารถเข้าถึงธรรม เข้าใจธรรมได้เลย วนเวียนอยู่ที่ผิวรอบนอกธรรมที่เป็นชื่อต่างๆ เท่านั้น ทั้งๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วตรัสว่า ธรรมละเอียดลึกซึ้ง

- เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราต้องไม่ลืมเลยว่า ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นและอยู่ในโลกของความไม่รู้มานานเท่าไหร่ ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่กำลังปราฏกตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นเรา เป็นภูเขา เป็นทะเล เป็นคน เป็นโรงเรียน เป็นถนน เป็นทุกอย่างหมด แต่ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงความจริงคืออะไรจนกว่าจะมีคำที่เราได้ยิน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เราแน่ๆ แต่เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง

- แค่คำนี้ใครคิดถึงบ้างที่จะเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นประการที่เราจะไปรู้ธรรมนู่นนี่ ปฏิบัติเข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความคิดของเราที่มาจากการได้ยินได้ฟังเรื่องใหม่ ทำใหม่ที่เอามาพูดด้วยตัวเองแบบใหม่

- แต่ว่าจริงๆ แล้วถ้าได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเข้าใจมั่นคงว่า พระองค์เป็นผู้ที่ไม่แหมือนใครเลยเพราะว่า ตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ต้องเริ่มละเอียดมากๆ ที่จะรู้ว่า แม้แต่ว่า ทุกคำความจริงคืออะไร ถ้าข้ามไปแล้วฟังคนเขาบอกก็เป็นความคิดของเขา แต่เราเข้าใจตามนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราไม่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า เราเอาคำที่พระองค์ตรัสมาเป็นคำของเรา ก็คิดตามที่เราคิด

- เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนที่ละเอียด ลึกซึ้งและมั่นคง สัจจบารมีสำคัญที่สุดและความตรงต่อความจริง อธิษฐานบารมีต้องมีแม้ในขณะที่ได้ยินได้ฟังคำอะไร ไม่ใช่คิดเองแต่ต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจคำนั้น อย่างนี้เรารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง ถ้าไม่รู้จักธรรมเลยจะรู้จักไหม

- หมายความว่า เริ่มรู้จัก เริ่มรู้ความจริงว่า เราต้องไม่รู้มากมายขนาดไหน ไม่ใช่แค่เกิดมาวันนี้ แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ประมาณไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะทรงตรัสรู้ ระลึกชาติเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจะจบสิ้น ความไม่รู้ก็อย่างนั้นแหละ และอยู่ดีๆ เราไม่รู้เลยว่า เราไม่รู้ คิดว่ารู้หมดและฟังคำไหนของพระพุทธเจ้าก็คิดว่ารู้หมดแต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย นั่นไม่ใช่การรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

- ได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐสุด ไม่มีใครเปรียบเทียบได้ เพราะรู้ความจริงถึงที่สุด เพราะ ทรงแสดงความจริง เท่านี้ที่เราฟัง เราข้ามไปแล้ว เราจะไปเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งได้โดยวิธีการต่างๆ แต่นั่นคือ การไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ถ้ารู้จักจริงๆ พระองค์ตรัสว่าอย่างไร คำนั้นต้องไม่เปลี่ยน แล้วจะได้รู้ตัวเองว่า ไม่รู้แค่ไหน

- เวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ มีคนนั้น มีคนนี้ มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ มีถนนหนทาง ผู้คน อะไรมากมาย ทุกชาติก็เป็นอย่างนี้ จะต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นจริงอย่างนี้เพียงเท่านี้

- แต่เพราะเหตุว่า เราไม่รู้ตัวแม้แต่ว่าอยู่ในความไม่รู้ จมลึกอยู่ในความไม่รู้ มืดสนิทเหมือนเราฝันใช่ไหม ในฝันเหมือนจริงทุกอย่าง มีนู่น มีนี่ มีนั่น แล้วจริงหรือเปล่า มีจริงๆ หรือเปล่า นี่ก็เหมือนกัน

- ทุกชาติไม่ได้เข้าใจความจริงว่า ไม่มีเราหมายความว่าอะไร อนัตตา ไม่ใช่เราหมายความว่าอะไร ธรรมหมายความว่าอะไร ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจโดยละเอียด ไม่มีทางที่จะค่อยๆ ขยับไปทีละน้อยที่จะรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

- ที่พระองค์ตรัสว่า ธรรมลึกซึ้ง ละเอียด ยากที่จะรู้ได้แต่สามารถเข้าใจได้จนค่อยๆ รู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย เป็นอย่างนี้รึเปล่า แต่เราได้ยินคำไหนเหมือนเรารู้แล้วต่อไปเลย รีบร้อนต่อไปเลยแต่จริงๆ รู้จักธรรมจริงๆ รึเปล่า

- เหมือนรู้กันไปหมดเลย เอาความคิดของตัวเองมาใส่หมดแต่หารู้ไม่ว่า รู้จักธรรมจริงๆ รึเปล่า และกว่าจะรู้จักธรรมจริงๆ อยู่ไหนล่ะธรรม? ก็เดี๋ยวนี้ไง

- รู้ว่าไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นลองเปรียบเทียบ อย่างนี้แล้วยังว่าไม่รู้เหรอ เพราะฉะนั้นความจริงจะต่างกับขณะนี้ยังไง เห็นไหม ในเมื่อเดี๋ยวนี้เหมือนมีจริงอย่างนี้แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเวลารู้จะต้องต่างจากที่เป็นอย่างนี้ใช่ไหม

- เห็นไหมว่า เราไม่เคยไตร่ตรอง ไม่เคยรู้ว่าไม่รู้จริงๆ ต่อให้พระองค์ตรัสว่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เราก็แค่จำ นี่ก็จริง นั่นก็จริง เป็นธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ รู้จักรึเปล่า

- ถ้าไม่รู้อย่างนี้ คิดว่า เราไม่มีแล้วใช่ไหม เรารู้แล้ว นี่คือความประมาทอย่างยิ่งที่จะไม่ฟังแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไตร่ตรองว่า ทุกคำที่เป็นจริงเราเข้าใจแค่ไหน ระดับไหน

- อย่างสิ่งที่มีจริงเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็น เราก็เห็นใช่ไหม แต่ความรู้อะไรที่ต่างกันที่ผู้หนึ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกคนนึงเป็นคนที่ไม่ได้สนใจหรือเห็นเลย ต่างกันมาก

- เพราะฉะนั้นที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดทุกครั้งที่ฟังธรรม คือ รู้ตัวว่าไม่รู้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จนกว่าจะเริ่มเข้าใจและก็รู้เลยว่า ทำไมธรรมลึกซึ้ง เพราะว่า ธรรมมีเดี๋ยวนี้เอง เดี๋ยวนี้เองแต่ไม่รู้ นี่คือความลึกซึ้งอย่างยิ่งและกว่าจะรู้ไม่ใช่รู้แล้ว

- รู้จักจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งที่มีขณะนี้ เพราะฉะนั้นฟังแล้วรู้เลยว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึง ฉันทะ ความสนใจ ถ้าไม่มีฉันทะจะฟังไหม เห็นไหมทำไมเขาไม่ฟังธรรมกัน เขาไม่สนใจที่จะรู้ความจริง จะไปบอกให้เขาสนใจก็ไม่ได้เพราะเป็นธรรมที่ไม่สนใจ แล้วจะไปบอกให้ธรรมที่ไม่สนใจมาสนใจก็ไม่ได้

- ต้องเริ่มเข้าใจคำว่า ธรรม และกว่าจะรู้จักธรรมจริงๆ ได้ยินชื่อไปอีกนานเท่าไหร่ทั้งๆ ที่ตัวธรรมก็อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้

- เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจความลึกซึ้งและไม่ตรงต่อความเป็นจริง สิ่งที่ได้ฟังทั้งหมดไร้ประโยชน์แล้วก็ลืม


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
siraya
วันที่ 16 ก.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
namarupa
วันที่ 17 ก.ค. 2565

เป็นหัวข้อที่ควรศึกษาอย่างละเอียด อนุโมทนาน้องตู่ในกุศลวิริยะด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มังกรทอง
วันที่ 20 ส.ค. 2565

อาจารย์สุจินต์ท่านแจ้งได้แจ่มแจ้งยิ่งนักขอรับ ด้วยแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ

กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ