ธรรม ยาก แต่สามารถเข้าใจได้_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๕

 
khampan.a
วันที่  12 มี.ค. 2565
หมายเลข  42808
อ่าน  825

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

" ธรรม ยาก แต่สามารถเข้าใจได้ "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๕



~
ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ได้ยินคำ ได้ยินชื่อ เพราะฉะนั้น จะรู้จัก ต่อเมื่อได้เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าอย่างไร จริงหรือเปล่า นี่แสดงว่า คนไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แต่คิดว่ารู้จัก เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคิดว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เขารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่พระองค์รู้แจ้ง ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น จะเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจแต่ละคำที่พระองค์ตรัส

~
ทำไมว่า เห็นเป็นธรรม? เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้สิ่งที่เขาไม่รู้เดี๋ยวนี้ คือ เห็นที่กำลังเกิดดับ และพระองค์บำเพ็ญพระบารมีอบรมเจริญปัญญาเท่าไหร่ที่จะละความไม่รู้ซึ่งกำลังปิดกั้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งความจริงถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทรงมีพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ แสดงธรรมเพื่อให้เราได้ฟัง แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมากที่จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ

~
ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ ไม่มีทางที่จะรู้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรื่องเห็นเดี๋ยวนี้หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น เห็นเป็นธรรม เป็นอริยสัจจธรรม ไม่ใช่ใคร ใช่ไหม? เดี๋ยวนี้ เห็นเกิดดับหรือเปล่า? แล้วทำไมไม่รู้ว่าเห็นกำลังเกิดดับ? เพราะความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่เห็น ยังไม่มีเลย

~
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสให้เข้าใจถูกต้องว่าเห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับ ไม่เหลือ ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น

~ จุดประสงค์ของการฟัง เพื่อเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฟังคำของพระองค์ ไม่มากเท่ากับการที่ไม่เคยรู้ความจริงที่เกิดดับเลย เพราะว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เล็กน้อยนิดหน่อย ไม่เท่ากับการคิด การจำว่ามีเรา วันนี้ทั้งวัน ลืมว่าธรรมไม่ใช่เรา มากแค่ไหน?

~
ถ้าไม่ลืมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ธรรม ทั้งปวง ทั้งหมด ทั้งสิ้น เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ของใครทั้งหมด ก็แสดงว่าเขาเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มั่นคงขึ้น

~
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงและความจริงกำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้ สามารถรู้แจ้งได้ไหม? ถ้าไม่รู้ความจริง จะหมดความสงสัยว่าไม่มีเรา ได้ไหม? ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เป็นคุณมานิสหรือเปล่า? ไม่เป็น, เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ จะประจักษ์อริยสัจจธรรมได้ไหม? ไม่ได้

~
เมื่อตรัสรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ธรรม ละเอียด ลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ แต่ก็สามารถจะเข้าใจได้ จริงไหม? เริ่มเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้อย่างที่พระองค์ได้ตรัสรู้ จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

~
มีสาวกไหมหรือว่ามีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า? มีสาวก, แล้วสาวกทุกท่านเป็นท่านพระสารีบุตรหรือเปล่า? พระสารีบุตรมีปัญญาเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? พระโสดาบันมีปัญญาเท่าพระอรหันต์ไหม? พระโสดาบันรู้อริยสัจจ์ ๔ เหมือนพระอรหันต์ไหม? เพราะว่า อริยสัจจ์ ไม่เปลี่ยน แต่ปัญญาของผู้ประจักษ์แจ้ง ไม่เท่ากัน

~
ทำไมต้องรอบรู้จริงๆ ในแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงจำเท่านั้นไม่ได้หรือ เพราะฉะนั้น เพียงจำชื่อ นามธรรม รูปธรรม ปฏิจจสมุปบาท แต่ไม่รู้จักแต่ละหนึ่งซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ จะทำให้ค่อยๆ ละความไม่รู้และมีการติดข้องน้อยลง ได้ไหม?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสคำว่า พหูสูตหรือเปล่า? ถ้าได้ยินมาก จำคำได้มาก แต่ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ตามที่เขาได้จำไว้ จะมีประโยชน์ไหม

~
อีกนานไหมกว่าจะสามารถประจักษ์สิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ ที่เป็นอริยสัจจธรรมได้

~ สิ่งที่มีประโยชน์ในชีวิต คือ เขาเองต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องและเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดในการเกิดมาแล้วต้องพ้นความเป็นบุคคลนี้ ก็คือ สามารถเข้าใจและยังช่วยอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วย

~
ถ้าไม่มีวันนี้แล้วพรุ่งนี้คุณมานิส ตาย ชีวิตจะมีประโยชน์ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจในวันนี้? ความไม่รู้และความติดข้องเมื่อวานนี้ ถ้าไม่มีวันนี้ที่เข้าใจขึ้น ความไม่รู้และความติดข้องนั้น ก็จะเพิ่มขึ้นทุกวันตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่จนกว่าจะตาย เพิ่มขึ้นเท่าไหร่

~
ไม่มีคุณมานิส แต่มีธรรม ซึ่งดี มีธรรมที่ชั่ว มีปัญญาที่ประเสริฐกว่าอย่างอื่น คือ มีความเข้าใจถูกต้องจนสามารถประจักษ์อริยสัจจธรรม

~ พรุ่งนี้ ตาย ได้ไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีค่าที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ ได้เข้าใจความจริงเพิ่มขึ้นจนกว่าจะประจักษ์ความจริงซึ่งเป็นอริยสัจจธรรม

~
ทั้งหมดเป็นธรรม ทุกอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงแสดงความจริงให้ค่อยๆ เข้าใจ จนค่อยๆ ละความเป็นเรา

~ ไม่มีคุณสุคิน ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีคุณมานิส ไม่มีคุณอาคิล มีแต่ธรรมซึ่งเป็นธรรม ที่ดี กับธรรม ที่ไม่ดี และธรรมอื่นๆ ทั้งวัน ตลอดทั้งชาติแล้วไม่เหลือเลย

~
ขณะนี้ ไม่มีเมื่อวานนี้เหลือเลย และเมื่อถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้กำลังไม่เหลือ จนถึงพรุ่งนี้จะไม่เหลือวันนี้เลย

~
พระเทวทัตตายแล้ว ต้องเกิดไหม? พระเทวทัต อยากเกิดในนรกไหม? แล้วทำไมเกิด?

~
ใครจะไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน ไม่เกิดในอบายภูมิ? พระโสดาบัน อีกนานไหมกว่าจะเป็นพระโสดาบัน ถ้าไม่รู้จักธรรมเดี๋ยวนี้ จะเป็นพระโสดาบันได้ไหม?

~ ถ้าไม่เห็นกิเลส จะเห็นทุกข์ไหม? เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ต้องมีความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ และเข้าใจว่ากิเลสคืออะไร จึงจะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้น ดับทุกข์คือดับกิเลส จึงจะดับทุกข์ได้ ถ้ายังมีกิเลสก็ยังเป็นทุกข์ เพราะยังต้องเกิดดับอยู่ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นคนตรงจริงๆ สัจจบารมี ถ้ายังไม่ประจักษ์การเกิดดับ ก็ยังไม่ใช่การประจักษ์ทุกข์ ถ้าไม่ประจักษ์ทุกข์ ก็ไม่เห็นภัยของสังสารวัฏฏ์ของการเกิดดับ เพราะฉะนั้น ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพต่อความจริง จริงๆ

~
ถ้าไม่รู้ความจริงแม้ในระดับของการฟัง ก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่เห็นพระคุณของพระองค์ มีแต่ได้ยินชื่อ กราบไหว้บูชา แต่ไม่เข้าใจคำที่พระองค์ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ว่า เพื่ออะไร ทุกคำเพื่อให้เข้าใจความจริงซึ่งจะต้องเริ่มจากการค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เห็นความจริงทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับขั้น จึงสามารถที่จะค่อยๆ ถึงหนทางที่จะละกิเลสได้ และหนทางซึ่งเป็นอริยสัจจะที่ ๔ มีหนทางเดียว คือ เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละ สามารถประจักษ์แจ้งโดยการเริ่มค่อยๆ เข้าใจ และเป็นคนที่ตรงว่าความเข้าใจแค่ไหน นี่คือ ประโยชน์สูงสุดต่อการที่เกิดในภูมิที่ดีสามารถมีโอกาสได้ยินได้ฟังและได้เข้าใจความจริง

~
อดทนไหมที่จะรู้ว่าความจริงมีเดี๋ยวนี้ที่สามารถค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยที่จะดับความที่เคยยึดถือว่าเป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอย่างที่คิดว่าได้พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

~
ยังคิดว่าไม่ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สามารถที่จะทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า? หนทางที่จะรู้ความจริงซึ่งเป็นอริยสัจจธรรม ง่ายหรือยาก ละเอียดลึกซึ้ง หรือ ไม่ละเอียดลึกซึ้ง? ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นความลึกซึ้งหรือเปล่า?

~
ต้องมีความอดทน ต้องมีบารมี มิฉะนั้นแล้วก็จะผิดทันที

~
เห็นผิดกับเห็นถูก อะไรยาก อะไรลึกซึ้ง อะไรง่าย? เห็นผิดง่ายมาก เห็นถูกยากและลึกซึ้งมาก

~
ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงคำเดียว ต้องไตร่ตรองจนเข้าใจจริงๆ ในความหมาย ว่า หมายความถึงธรรมเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่ใช่เราและไม่ใช่ของใคร ว่างเปล่า เพราะเกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย

~
ชีวิตประจำวันเป็นเครื่องแสดงว่ามีความเข้าใจธรรมมากน้อยแค่ไหน ไม่ต้องถามใครเลย เพราะใครจะรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ซึ่งต้องเป็นผู้นั้นเท่านั้นที่รู้ได้

~
ไม่ใช่เพียงได้ยินคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แต่ต้องเข้าใจความลึกซึ้งของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ซึ่งหมายความถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้และความติดข้องซึ่งเป็นอริยสัจจะ ที่ ๒ จนกว่าจะเบาบางลง จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงได้วันหนึ่งแล้วแต่เหตุปัจจัย

~
เป็นผู้ตรงต่อความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จึงสามารถที่จะเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ว่า มีความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น การตรงต่อความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เป็นอธิษฐานบารมี ไม่ไปทำอย่างอื่น ไม่คิดอย่างอื่น ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี พร้อมด้วยสัจจบารมี วิริยะบารมี เนกขัมมบารมี เริ่มเข้าใจบารมีและประโยชน์ยิ่งของบารมี ใช่ไหม? ถ้าไม่มีบารมีแล้ว ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้เลย

~
ถ้าเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่เป็นปกติ ก็จะเป็นปัจจัยให้ละการที่เป็นเราจะคิดว่าต้องผิดปกติถึงจะเข้าใจธรรมได้

~
การเข้าใจความลึกซึ้งของธรรมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เคารพในการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่ลึกซึ้งจนกระทั่งสามารถเข้าใจเพิ่มขึ้นได้ เพราะความไม่รู้มากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ ผล คือ เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นตามลำดับ

~ จะเป็นคนดีคนชั่ว ตามเหตุตามปัจจัย แต่ต้องรู้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ เรารู้ว่าคนอื่นไม่ดี แต่ขณะนั้น เรารู้ไหมว่าจิตที่คิด ดีหรือเปล่า? การรู้ว่าคนอื่นไม่ดี ไม่สามารถจะทำให้เขาดีได้ แต่การรู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นว่าไม่ดีตรงไหน คนนั้นเท่านั้นที่สามารถที่จะละความไม่ดีนั้นได้ คนอื่นแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถจะละความไม่ดีของคนอื่นได้
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองไม่ดี ความไม่ดีเพิ่มขึ้นจนสามารถจะถึงอย่างท่านพระเทวทัตได้ ต้องไม่ประมาทแม้ความชั่วเพียงเล็กน้อย แม้ความดีเพียงเล็กน้อย เพราะสิ่งที่เล็กน้อยนี่แหละ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนมาก เพราะฉะนั้น ดีและชั่วของแต่ละคน คนอื่นทำให้ไม่ได้เลย นอกจากปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจถูก ทำให้สามารถที่จะละความชั่วไปทีละน้อยได้ และความดีเพิ่มขึ้นทีละน้อยได้ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจธรรมเป็นที่พึ่ง อย่างอื่นไม่ใช่ที่พึ่งเลย เพราะฉะนั้น พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์สูงสุด คือ เป็นผู้เดียวที่จะทำให้มีความเห็นที่ถูกต้องจนสามารถที่จะดับกิเลสได้

~ หวังว่าทุกคนจะเข้าใจความจริงนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการที่เคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะเจริญในกุศลและก็ทำให้อกุศลลดน้อยลงได้ นี่เป็นประโยชน์สูงสุดในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Jans
วันที่ 12 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 12 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 12 มี.ค. 2565

    ...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
ยินดีในความดีของ อ.คำปั่น
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
petsin.90
วันที่ 12 มี.ค. 2565

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
มังกรทอง
วันที่ 12 มี.ค. 2565

จุดประสงค์ของการฟัง เพื่อเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฟังคำของพระองค์ ไม่มากเท่ากับการที่ไม่เคยรู้ความจริงที่เกิดดับเลย เพราะว่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เล็กน้อยนิดหน่อย ไม่เท่ากับการคิด การจำว่ามีเรา วันนี้ทั้งวัน ลืมว่าธรรมไม่ใช่เรา มากแค่ไหน?น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Sea
วันที่ 12 มี.ค. 2565

กราบครูผู้ให้ปัญญา กราบความเมตตา .. กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มังกรทอง
วันที่ 13 มี.ค. 2565

เป็นผู้ตรงต่อความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จึงสามารถที่จะเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ว่า มีความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น การตรงต่อความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เป็นอธิษฐานบารมี ไม่ไปทำอย่างอื่น ไม่คิดอย่างอื่น ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี พร้อมด้วยสัจจบารมี วิริยะบารมี เนกขัมมบารมี เริ่มเข้าใจบารมีและประโยชน์ยิ่งของบารมี ใช่ไหม? ถ้าไม่มีบารมีแล้ว ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้เลย

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tim7755tim
วันที่ 13 มี.ค. 2565

ควรรู้จิตว่าเดี๋ยวนี้มีจิตอกุศลหรือกุศลเมื่อเห็นสิ่งดีหรือชั่วตามเหตุปัจจัยเกิดขึ้นจะประมาทไม่ได้เลยถ้าเกิดตายไปตอนที่กำลังมีจิตอกุศลเพราะฉะนั้นควรรู้เดี๋ยวนี้ให้มากขึ้นและทุกสิ่งเป็นธรรมะไม่เราไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรถึงแม้จะเห็นสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น

ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระศาสดาด้วยความเคารบสูงสุดขอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารและกัลยานมิตทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 13 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
napachant
วันที่ 13 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Lai
วันที่ 13 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Lai
วันที่ 14 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jaturong
วันที่ 14 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ