พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. โลกุตรกถา ว่าด้วยโลกุตรธรรม

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 พ.ย. 2564
หมายเลข  40971
อ่าน  730

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 599

ยุคนัทธวรรค

๘. โลกุตรกถา

ว่าด้วยโลกุตรธรรม หน้า 599

อรรถกถาโลกุตรกถา หน้า 600


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 599

ยุคนัทธวรรค

โลกุตรกถา

ว่าด้วยโลกุตรธรรม

[๖๒๐] ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ อริยมรรค ๔ สามัญผล ๔ และนิพพาน ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระ.

ชื่อว่า โลกุตระ ในคำว่า โลกุตฺตรา นี้ เพราะอรรถว่ากระไร.

ชื่อว่า โลกุตระ เพราะอรรถว่า ข้ามพ้นโลก ข้ามพ้นแต่โลก ข้ามไปจากโลก ล่วงพ้นโลก ล่วงพ้นโลกแล้ว เป็นอดิเรกในโลก สลัดออกแต่โลก สลัดออกจากโลก สลัดออกไปจากโลก สละออกจากโลก สละออกแต่โลก สละออกไปจากโลก ไม่ตั้งอยู่ในโลก ไม่ดำรงอยู่ในโลก ไม่ติดอยู่ในโลก ไม่เปื้อนในโลก ไม่ไล้ในโลก ไม่ไล้ด้วยโลก ไม่ฉาบในโลก ไม่ฉาบด้วยโลก หลุดไปในโลก หลุดไปจากโลก พ้นไปจากโลก พ้นไปแต่โลก พ้นไปจากโลก ไม่เกี่ยวข้องในโลก ไม่เกี่ยวข้องด้วยโลก พรากออกจากโลก พรากออกแต่โลก พรากออกไปจากโลก หมดจดจากโลก หมดจดแต่โลก หมดจดไปจากโลก สะอาดจากโลก สะอาดแต่โลก สะอาดไปจากโลก ออกจากโลก ออกแต่โลก ออกไปจากโลก เว้นแต่โลก เว้นจากโลก เว้นไปจากโลก ไม่ข้องในโลก ไม่ยึดในโลก ไม่พัวพันในโลก ตัดโลกขาดอยู่ ตัดโลกขาดแล้ว ให้โลกระงับอยู่ ให้โลกระงับแล้ว ไม่กลับมาสู่โลก ไม่เป็นคติของโลก ไม่เป็นวิสัยของโลก ไม่เป็นสาธารณะแก่โลก สำรอกโลก ไม่เวียนมาสู่โลก ละโลก ไม่ยังโลกให้เกิด ไม่ผํกโลก นำโลก กำจัดโลก ไม่อบโลกให้งาม ล่วงโลก ครอบงำโลกตั้งอยู่ ฉะนี้แล.

จบโลกุตรกถา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 600

อรรถกถาโลกุตตรกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งโลกุตรกถา อันพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ในลำดับแห่งธรรมจักรกถาซึ่งเป็นเครื่องชำระสู่โลกุตรธรรม.

ความแห่งบทโลกุตระในโลกุตรกถานั้น จักมีแจ้งในนิเทศวาร.

โพธิปักขิยธรรม ๓๗ มีอาทิว่า จตฺตาโร สติปฏฺานา (สติปัฏฐาน ๔) สัมปยุตด้วยมรรคและผลตามที่ประกอบ ธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า โพธิปกฺขิยธรรม (โพธิปักขิยธรรม) เพราะเป็นไปในฝ่ายแห่งอริยะอันได้ชื่ออย่างนี้ว่า โพธิ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้.

บทว่า ปกฺเข ภวตฺตา (เพราะเป็นไปในฝ่าย) คือเพราะตั้งอยู่ในความเป็นอุปการะ.

ชื่อว่า อุปฏฺานํ (อุปัฏฐาน) เพราะก้าวลง คือแล่นไปในอารมณ์เหล่านั้น แล้วปรากฏ สตินั่นแหละปรากฏ ชื่อว่า สติปัฏฐาน ประเภทของสติปัฏฐานนั้น ๔ อย่าง เป็นไปด้วยอำนาจการถืออาการไม่งาม เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน และด้วยอำนาจการยังกิจให้สำเร็จด้วยการละความสำคัญว่า งาม เป็นสุข เที่ยงและความสำคัญว่า ตัวตน ในกาย เวทนา จิต และธรรม เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า สติปัฏฐาน ๔.

ชื่อว่า ปธานํ (ปธานะ) เพราะเป็นเหตุตั้งไว้ การตั้งไว้งาม ชื่อว่า สัมมัปปธาน อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สมฺมปฺปธานํ เพราะเป็นเหตุตั้งไว้ชอบ หรือ เพราะการตั้งไว้งามนั้น ชื่อว่า ปธาน (เพราะเว้นความเป็นไปที่ผิดรูป) เพราะปราศจากความประพฤติผิด ด้วยอำนาจกิเลส เพราะนำความประเสริฐมาให้ ด้วยอรรถว่า ให้สำเร็จประโยชน์สุข หรือเพราะทำความเป็นประธาน สัมมัปปธานนี้เป็นชื่อของความเพียร สัมมัปธานนี้นั้นมี ๔ อย่าง ให้สำเร็จกิจในการละอกุศลที่เกิดแล้ว ๑ ให้สำเร็จกิจในการไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ๑ ให้สำเร็จกิจในการเกิดขึ้นแห่งกุศลที่ยังไม่เกิด ๑ ให้สำเร็จกิจในการตั้งอยู่แห่งกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๑ เพราะเหตุนั้น สัมมัปปธานจึงมี ๔ อย่างด้วยประการฉะนี้ ท่านจึงกล่าวว่า จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา (สัมมัปปธาน ๔).

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 601

ชื่อว่า อิทธิบาท (ย่อมสำเร็จ บาทแห่งอิทธิ) เพราะความสำเร็จโดยปริยายนี้ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความสำเร็จนี้ เป็นผู้เจริญถึงชั้นอุกฤษฏ์ ชื่อว่า อิทธิบาท เพราะอรรถว่า สำเร็จโดยปริยายแห่งความสำเร็จ เป็นธรรมให้ถึงความสำเร็จ ด้วยอรรถว่า เป็นเบื้องต้นอันสัมปยุตเข้าด้วยกันแห่งความสำเร็จนั้น และเพราะอรรถว่า เป็นเหตุแห่งส่วนเบื้องต้นอันเป็นผล (อิทธิบาทนั้นมี ๔ อย่าง คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา) เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า จตฺตาโร อิทฺธิปาทา (อิทธิบาท ๔).

ชื่อว่า อินทรีย์ เพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ กล่าวคือครอบงำ เพราะครอบงำความไม่มีศรัทธา ความเกียจคร้าน ความประมาท ความฟุ้งซ่าน และความหลง.

ชื่อว่า พละ เพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว เพราะไม่ถูกความไม่มีศรัทธาเป็นต้นครอบงำ.

แม้อินทรีย์และพละทั้งสองอย่างนั้นก็มี ๕ อย่างเดียวกัน คือ สัทธา (ศรัทธา) วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปญฺจินฺทฺริยานิ (อินทรีย์ ๕) ปญฺจ พลานิ (พละ ๕).

อนึ่ง ธรรมทั้งหลาย ๗ มีสติเป็นต้น ชื่อว่า โพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งสัตว์ผู้จะตรัสรู้ และธรรมทั้งหลาย ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ชื่อว่า องค์แห่งมรรค เพราะอรรถว่า นำออกไป ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า สตฺต โพชฺฌงฺคา (โพชฌงค์ ๗) อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค (อริยมรรคมีองค์ ๘).

โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการเหล่านี้ เมื่อวิปัสสนาอันเป็นโลกิยะในส่วนเบื้องต้นยังเป็นไปอยู่ ชื่อว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะกำหนดถือเอากายโดยอาการ ๑๔ อย่าง ชื่อว่า เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะกำหนดถือเอาเวทนาโดยอาการ ๙ อย่าง ชื่อว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะกำหนดถือเอาจิตโดยอาการ ๑๖ อย่าง ชื่อว่า ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะกำหนดถือเอาธรรมโดยอาการ ๕ อย่างด้วยประการดังนี้.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 602

ในกาลที่เห็นอกุศลอันเกิดขึ้นแล้วแก่ผู้อื่น ซึ่งยังไม่เคยเกิดในอัตภาพนี้ แล้วพยายามเพื่อไม่ให้อกุศลนั้นเกิดด้วยคิดว่า เราจักไม่ปฏิบัติเหมือนอย่างที่อกุศลนั้นเกิดแก่ผู้ปฏิบัติ อกุศลนั้นจักไม่เกิดแก่เราอย่างนี้ เป็นสัมมัปปธาน ข้อที่ ๑ ในกาลที่เห็นอกุศลที่เกิดเพราะความประพฤติของตน แล้วพยายามเพื่อละอกุศลนั้น เป็นสัมมัปปธาน ข้อที่ ๒ เมื่อพยายามเพื่อให้ฌานหรือวิปัสสนาอันยังไม่เคยเกิดในอัตภาพนี้ ให้เกิดขึ้น เป็นสัมมัปปธาน ข้อที่ ๓ เมื่อพยายามให้ฌานหรือวิปัสสนาเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยประการที่ไม่ให้เสื่อม เป็นสัมมัปปธาน ข้อที่ ๔.

ในกาลทำฉันทะให้เป็นธุระ แล้วให้กุศลเกิดขึ้น เป็นฉันทิทธิบาท ในกาลทำวิริยะ ฯ จิตตะ ฯ วิมังสา ให้เป็นธุระ แล้วให้กุศลเกิดขึ้น เป็นวิมังสิทธิบาท ในกาลเว้นพูดเท็จ เป็นสัมมาวาจา ในกาลเว้นการงานผิด อาชีพผิด เป็นสัมมาอาชีวะ โพธิปักขิยธรรมทั้งหลายย่อมได้ในจิตต่างๆ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.

แต่ในขณะแห่งมรรค ๔ โพธิปักขิยธรรมทั้งหลายย่อมได้ในจิตดวงเดียวกัน ในขณะแห่งผล ย่อมได้โพธิปักขิยธรรม ๓๓ ที่เหลือ เว้นสัมมัปปธาน ๔.

อนึ่ง เมื่อโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้นได้ในจิตดวงเดียวอย่างนี้ สติมีนิพพานเป็นอารมณ์อย่างเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวว่า สติปัฏฐาน ๔ ด้วยสามารถสำเร็จกิจในการละความสำคัญว่างามในกายเป็นต้น วิริยะอย่างเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวว่า สัมมัปปธาน ๔ ด้วยสามารถสำเร็จกิจมีไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ละอกุศลที่เกิด เป็นต้น ในโพธิปักขิยธรรมที่เหลือ ไม่มีการลดการเพิ่ม.

อีกอย่างหนึ่ง ในโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น พึงทราบคาถาดังต่อไปนี้.

ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น มี ๖ หมวด ดังนี้คือ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 603

ธรรมทั้งหลาย ๙ ข้อ เป็นธรรมมีอยู่โดยหมวดเดียว ธรรม ๑ ข้อ มีโดย ๒ หมวด อนึ่ง ธรรมเดียว มีโดย ๔ หมวด และโดย ๕ หมวด โดย ๘ หมวด และโดย ๙ หมวด.

บทว่า นว เอกวิธา (ธรรมทั้งหลาย ๙ ข้อ มีอยู่โดยหมวดเดียว) คือธรรม ๙ ข้อเหล่านี้ คือฉันทะ ๑ จิตตะ ๑ ปีติ ๑ ปัสสัทธิ ๑ อุเบกขา ๑ สังกัปปะ ๑ วาจา ๑ กัมมันตะ ๑ อาชีวะ ๑ มีอยู่โดยหมวดเดียวเท่านั้น ด้วยสามารถฉันทิทธิบาทเป็นต้น ไม่ผนวกส่วนอื่น.

บทว่า เอโก เทฺวธา (ธรรม ๑ ข้อ มีโดย ๒ หมวด) คือศรัทธาตั้งอยู่โดย ๒ หมวด ด้วยสามารถแห่งอินทรีย์และพละ.

บทว่า อถ จตุปญฺจธา (อนึ่ง ธรรมเดียว มีโดย ๔ หมวดและโดย ๕ หมวด) คือธรรมเดียว ธรรมอื่นตั้งอยู่โดย ๔ หมวด ธรรมอื่นตั้งอยู่โดย ๕ หมวด.

ในธรรมเหล่านั้น สมาธิข้อเดียวตั้งอยู่โดย ๔ หมวด คืออินทรีย์ ๑ พละ ๑ โพชฌงค์ ๑ องค์มรรค ๑ ปัญญาตั้งอยู่โดย ๕ หมวด โดยหมวดแห่งธรรม ๔ เหล่านั้นและโดยส่วนหนึ่งของอิทธิบาท.

บทว่า อฏฺธา นวธา เจว (โดย ๘ และ ๙ หมวด) คือธรรมอย่างเดียวอีกข้อหนึ่ง ตั้งอยู่โดย ๘ หมวด ธรรมเดียวข้อหนึ่ง ตั้งอยู่โดย ๙ หมวด อธิบายว่า สติตั้งอยู่ ๘ หมวด คือสติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๑ พละ ๑ โพชฌงค์ ๑ องค์มรรค ๑ วิริยะตั้งอยู่ ๙ หมวด คือสัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๑ อินทรีย์ ๑ พละ ๑ โพชฌงค์ ๑ องค์มรรค ๑ ด้วยประการฉะนี้.

พึงทราบความในคาถาต่อไปนี้.

โพธิปักขิยธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ที่ไม่ประสมกัน (นับที่ไม่ซ้ำกัน) ก็มี ๑๔ เท่านั้น โดยหมวดก็มีอยู่ ๗ หมวด โดยประเภท (จำแนก) มี ๓๗ เมื่ออริยมรรคเกิดขึ้น โพธิปักขิยธรรม

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 604

เหล่านั้นก็เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดทีเดียว ด้วยการทำกิจของตนๆ ให้สำเร็จ และด้วยดำเนินไปตามรูปของตน.

พระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ สัมปยุตด้วยมรรคและผลอย่างนี้แล้ว จึงย่อโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้นลงในมรรคและผลอีก แล้วกล่าวว่า จตฺ ตาโร อริยมคฺคา จตฺตาริ จ สามญฺญผลานิ (อริยมรรค ๔ และสามัญผล ๔).

ความเป็นสมถะ ชื่อว่า สามัญญะ สามัญญะนี้เป็นชื่อของอริยมรรค ๔ ผลแห่งสามัญญะทั้งหลาย ชื่อว่า สามัญผล.

ส่วนนิพพานไม่ปนกับมรรคและผลทั้งปวงเลย เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า โลกุตรธรรมทั้งหลายมี ๔๖ ด้วยสามารถแห่งโพธิปักขิยธรรม ๓๗ มรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน ๑ โดยพิสดาร จากนั้นโดยย่อ โลกุตรธรรมมี ๙ ด้วยสามารถแห่งมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ว่าโดยย่อแม้กว่านั้น โลกุตรธรรมมี ๓ ด้วยสามารถมรรค ๑ ผล ๑ นิพพาน ๑ อนึ่ง เมื่อกล่าวถึงความที่มรรคผลมีสติปฏิฐานเป็นต้น เป็นโลกุตระ ก็เป็นอันท่านกล่าวถึงความที่แม้ผัสสะเป็นต้นอันสัมปยุตด้วยมรรคผลนั้น ก็เป็นโลกุตระเหมือนกัน ท่านกล่าวถึงโพธิปักขิยธรรมมีสติปัฏฐานเป็นต้นด้วยอำนาจแห่งธรรมเป็นประธาน อนึ่ง ในโลกุตรธรรมนิเทศในอภิธรรม ท่านกล่าวถึงความที่ผัสสะเป็นต้นอันสัมปยุตด้วยมรรคและผล เป็นโลกุตรธรรม.

บทว่า โลกํ ตรนฺติ (ข้ามพ้นโลก) คือก้าวล่วงโลก ในบทนี้ คำที่เป็นปัจจุบันกาลเช่นนี้ทั้งหมด ท่านกล่าวหมายถึงอริยมรรค ๔ เพราะโสดาปัตติมรรคข้ามอบายโลกได้ สกทาคามิมรรคข้ามกามาวจรโลกได้เป็นบางส่วน อนาคามิมรรคข้ามกามาวจรโลกได้ อรหัตมรรคข้ามรูปาวจรโลกและอรูปาวจรโลกได้.

บทว่า โลกา อุตฺตรนฺติ (ข้ามไปจากโลก) คือออกไปจากโลก.

บทว่า โลกโตติ จ โลกมฺหาติ จ คำว่า แต่โลก และไปจากโลก คือท่านแสดงถึง

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 605

ความวิเศษของปัญจมีวิภัตติ (แสดงปัญจมีวิภัตติให้ต่างออกไป).

บทว่า โลกํ สมติกฺกมนฺติ (ล่วงพ้นโลก) มีความดังได้กล่าวไว้แล้วครั้งแรก.

ในบทนั้นท่านกล่าวไม่เพ่งถึงเนื้อความของอุปสรรค ในบทนี้ท่านกล่าวพร้อมด้วยเนื้อความของอุปสรรค.

บทว่า โลกํ สมติกฺกนฺตา (ล่วงพ้นโลกแล้ว) คือก้าวล่วงโลกตามที่กล่าวแล้วโดยชอบ คำที่เป็นอดีตกาลเช่นนี้ทั้งหมด ในบทนี้ ท่านกล่าวหมายถึงผลและนิพพาน เพราะโสดาปัตติผลเป็นต้นก้าวล่วงโลกตามที่กล่าวแล้วตั้งอยู่ นิพพานก้าวล่วงโลกทั้งหมดทุกเมื่อ.

บทว่า โลเกน อติเรกา (เป็นอดิเรกในโลก) คือยิ่งไปกว่าโลก บทนี้ ท่านกล่าวหมายถึงโลกุตรธรรมแม้ทั้งหมด.

บทว่า นิสฺสรนฺติ (สลัดออก) คือพรากไป ออกไป.

บทว่า นิสฺสฏา (สลัดออกแล้ว) คือออกไปแล้ว.

คำ ๑๘ มีอาทิว่า โลเก น ติฏฺนฺติ (ไม่ตั้งอยู่ในโลก) ย่อมควรแม้ในโลกุตรธรรมทั้งหมด.

บทว่า น ติฏฺนฺติ (ไม่ตั้งอยู่) ท่านกล่าวเพราะไม่นับเนื่องในโลก.

บทว่า โลเก น ลิมฺปนฺติ (ไม่ติดในโลก) คือแม้เป็นไปในสันดานก็ไม่ติดในโลกนั้น.

บทว่า โลเกน น ลิมฺปนฺติ (ไม่ติดด้วยโลก ไม่เปื้อนในโลก) ความว่า ไม่ติด (ไม่เปื้อน) ด้วยจิตไรๆ ของผู้ยังไม่แทงตลอด และด้วยจิตเป็นอกุศลไร้ความสามารถของผู้แทงตลอดแล้ว.

บทว่า อสํลิตฺตา อนุปลิตฺตา (ไม่ติด ไม่ฉาบ หรือ ไม่ไล้ ไม่ฉาบ) พึงทราบว่าเพิ่มอุปสรรค.

บทว่า วิปฺปมุตฺตา (พ้นแล้ว หลุดไป) คือความไม่ติดนั่นเอง ท่านทำให้แปลก (ต่าง) ที่พยัญชนะต่างกัน เพราะผู้ใดไม่ติดในสิ่งใดหรือด้วยสิ่งใด ผู้นั้นเป็นผู้พ้นในสิ่งนั้นด้วยสิ่งนั้น.

บท ๓ บทมีอาทิว่า โลกา วิปฺปมุตฺตา (พ้นไปจากโลก พ้นจากโลก) ท่านกล่าวโดยเป็นปัญจมีวิภัตติ.

บทว่า วิสญฺญุตฺตา (ไม่เกี่ยวข้อง) เป็นความยอดเยี่ยม (วิเสสนะ) ของความพ้นไป เพราะผู้ใดพ้นในสิ่งใด ด้วยสิ่งใด จากสิ่งใด ผู้นั้นเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง ในสิ่งนั้น ด้วยสิ่งนั้น จากสิ่งนั้น.

บทว่า โลกา สุชฺฌนฺติ (หมดจดจากโลก) คือล้างมลทินของโลกแล้ว หมดจดจากโลก.

บทว่า วิสุชฺฌนฺติ (สะอาด) ท่านทำให้แปลก (ต่าง) กันที่อุปสรรค.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 606

บทว่า วุฏฺหนฺติ (ออก) คือลุกขึ้น.

บทว่า วิวฏฏนฺติ หรือ วิวชฺชนฺติ (เว้น) คือไม่กลับ.

บทว่า น สชฺชนฺติ (ไม่ข้อง) คือไม่เกี่ยวข้อง ไม่ติดข้อง.

บทว่า น คยฺหนฺติ (ไม่ยึด) คือไม่ถือ ไม่ถือมั่น.

บทว่า น พชฺฌนฺติ (ไม่พัวพัน) คือไม่ผูกพัน ไม่ถูกเบียดเบียน.

บทว่า สมุจฺฉินฺทนฺติ (ตัด) ได้แก่ ตัด (โลก) ขาดอยู่ คือทำไม่ให้เป็นไปได้.

อนึ่งท่านกล่าวคำมีอาทิว่า เพราะหมดจดจากโลก เหมือนบทว่า โลกํ สมุจฺฉินฺนตฺตา (เพราะตัดขาดจากโลก).

บทว่า ปฏิปฺปสฺสมฺเภนฺติ (ให้โลกระงับอยู่) คือให้โลกดับ.

บท ๔ มีอาทิว่า อปจฺจคา (ไม่กลับมา) ย่อมควรในโลกุตระแม้ทั้งปวง.

บทว่า อปจฺจคา (ไม่กลับมา) คือไม่มีทาง.

บทว่า อคติ (ไม่เป็นคติ) คือไม่เป็นที่พึ่ง.

บทว่า อวิสยา (ไม่เป็นวิสัย) คือไม่เป็นที่อาศัย.

บทว่า อสาธารณา (ไม่เป็นสาธารณะ) คือไม่เสมอ มีไม่ทั่วไป.

บทว่า วมนฺติ (สำรอก) คือคายออก.

บทว่า น ปจฺจาคมนฺติ (ไม่เวียนมา) ท่านกล่าวโดยนัยตรงข้ามกับคำที่กล่าวแล้ว ความว่า ไม่กินของที่คายแล้วอีก ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงความที่ของที่คายแล้วเป็นอันคายไปแล้ว แม้ในหมวด ๓ แห่งทุกะในลำดับถัดไปก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า วิสิเนนฺติ (ไม่ผูก) (๑) คือกระจัดกระจายไป พ้นไป ความว่า ไม่ผูกพัน.

บทว่า น อุสฺสิเนนฺติ (ผูก) (๒) คือไม่กระจัดกระจาย ไม่พ้น ไม่ปล่อย.

บาลีทำให้สั้นว่า วิสิเนนฺติ และ น อุสฺสิเนนฺติ ดีกว่า.

บทว่า วิธูเปนฺติ (กำจัด) คือให้ดับ.

บทว่า น สุธูเปนฺติ (ไม่อบโลกให้งาม) คือไม่รุ่งเรือง.

บทว่า โลกํ สมติกฺกมฺม อภิภุยฺย ติฏฺนฺติ (ล่วงโลก ครอบงำโลกตั้งอยู่) คือโลกุตรธรรมแม้ทั้งหมดก้าวล่วงและครอบงำโลกตั้งอยู่ด้วยดี เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า โลกุตระ เป็นอันท่านกล่าวถึงความที่โลกุตระทั้งหลายเหนือโลกและยิ่งกว่าโลกโดยประการดังกล่าวนี้แม้ทั้งหมด.

จบอรรถกถาโลกุตตรกถา


(๑) ม. วิสีเนนฺตีติ.

(๒) สฺยา. โลกํ นยนฺติ (นำโลก) ม. น อุสฺสีเนนฺตีติ.