พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. มรรคกถา ว่าด้วยมรรค

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 พ.ย. 2564
หมายเลข  40960
อ่าน  670

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 429

มหาวรรค

๙. มรรคกถา

ว่าด้วยมรรค หน้า 429

อรรถกถามรรคกถา หน้า 432


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 พ.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 429

มหาวรรค

มรรคกถา

ว่าด้วยมรรค

[๕๒๗] คำว่า มคฺโค (มรรค) ความว่า ชื่อว่า มรรค เพราะอรรถว่ากระไร.

ในขณะโสดาปัตติมรรค สัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า เห็น เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาทิฏฐิ เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรม เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรมพิเศษ เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งอยู่ในนิโรธ สัมมาสังกัปปะ เพราะอรรถว่า ดำริ (ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์) เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสังกัปปะ ฯ สัมมาวาจา เพราะอรรถว่า กำหนดเอา (กำหนดถือ) เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาวาจา ฯ สัมมากัมมันตะ เพราะอรรถว่า เป็นสมุฏฐาน (สภาพที่ตั้งขึ้น) เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉากัมมันตะ ฯ สัมมาอาชีวะ เพราะอรรถว่า ผ่องแผ้ว เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาอาชีวะ ฯ สัมมาวายามะ เพราะอรรถว่า ประคองไว้ เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาวายามะ ฯ สัมมาสติ เพราะอรรถว่า ตั้งมั่น (ปรากฏ) เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสติ ฯ สัมมาสมาธิ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละมิจฉาสมาธิ เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรม เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรมพิเศษ เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในนิโรธ.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 พ.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 430

[๕๒๘] ในขณะสกทาคามิมรรค สัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า เห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ ฯ.

ในขณะอนาคามิมรรค สัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่ามเห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ ฯ.

ในขณะอรหัตมรรค สัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า เห็น ฯลฯ สัมมาสมาธิ เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคและเป็นเหตุเพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ราคานุสัย อวิชชานุสัย เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรม เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต เพื่อบรรลุธรรมพิเศษ เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง เพื่อตรัสรู้สัจจะ เพื่อให้จิตตั้งมั่นอยู่ในนิโรธ.

[๕๒๙] สัมมาทิฏฐิเป็นมรรคแห่งการเห็น สัมมาสังกัปปะเป็นมรรคแห่งความดำริ สัมมาวาจาเป็นมรรคแห่งการกำหนด สัมมากัมมันตะเป็นมรรคแห่งสมุฏฐาน สัมมาอาชีวะเป็นมรรคแห่งความผ่องแผ้ว สัมมาวายามะเป็นมรรคแห่งความประคองไว้ สัมมาสติเป็นมรรคแห่งความตั้งมั่น (ความปรากฏ) สัมมาสมาธิเป็นมรรคแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน สติสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความปรากฏ (๑) ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งการเลือกเฟ้น วิริยสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความประคองไว้ ปีติสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความแผ่ซ่านไป ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความสงบ สมาธิสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นมรรคแห่งการพิจารณาหาทาง สัทธาพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวในความไม่มีศรัทธา วิริยพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวในความเกียจคร้าน


(๑) บาลี คือ อุปฏฺฐานมคฺโค สมฺมาสติ และ อุปฏฺฐานมคฺโค สติสมฺโพชฺฌงฺโค คำว่า อุปฏฺฐาน แปลว่า เข้าไปตั้งไว้ หรือปรากฏ.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 พ.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 431

สติพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวในความไม่ประมาท สมาธิพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวในอุทธัจจะ ปัญญาพละเป็นมรรคแห่งความไม่หวั่นไหวในอวิชชา สัทธินทรีย์เป็นมรรคแห่งความน้อมใจเชื่อ วิริยินทรีย์เป็นมรรคแห่งความประคองไว้ สตินทรีย์เป็นมรรคแห่งความตั้งมั่น (ความปรากฏ) สมาธินทรีย์เป็นมรรคแห่งความไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์เป็นมรรคแห่งความเห็น อินทรีย์เป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ พละเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ไม่หวั่นไหว โพชฌงค์เป็นมรรคเพราะอรรถว่า นำออก ชื่อว่า มรรคเพราะอรรถว่า เป็นเหตุ สติปัฏฐานเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ตั้งมั่น (ปรากฏ) สัมมัปปธานเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ตั้งไว้ อิทธิบาทเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ให้สำเร็จ สัจจะเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ถ่องแท้ สมถะเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาเป็นมรรคเพราะอรรถว่า พิจารณาเห็น สมถะและวิปัสสนาเป็นมรรคเพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ธรรมที่เป็นคู่กันเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ไม่ล่วงเกินกัน สีลวิสุทธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่า สำรวม จิตวิสุทธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เห็น วิโมกข์เป็นมรรคเพราะอรรถว่า หลุดพ้น วิชชาเป็นมรรคเพราะอรรถว่า แทงตลอด วิมุตติเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ปล่อย ญาณในความสิ้นไปเป็นมรรคเพราะอรรถว่า ตัดขาด ฉันทะเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นมูล มนสิการเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นสมุฏฐาน (สภาพที่ตั้งขึ้น) ผัสสะเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นที่ประชุม เวทนาเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นที่รวม สมาธิเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นประธาน สติเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นใหญ่ ปัญญาเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นธรรมอันยิ่งกว่าธรรมนั้น วิมุตติเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นสาระ นิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะเป็นมรรคเพราะอรรถว่า เป็นที่สุด.

จบมรรคกถา

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 พ.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 432

อรรถกถามรรคกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งมรรคกถา อันพระสารีบุตรเถระแสดงอริยมรรคทำการละวิปลาส ๓ เหล่านั้นกล่าวแล้ว.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มคฺโคติ เกนฏฺเน มคฺโค (บทว่า มคฺโค ชื่อว่า มรรคด้วยอรรถว่ากระไร) คือในพระพุทธศาสนาท่านกล่าวว่า มรรค ด้วยอรรถว่ากระไร.

ในปริยาย ๑๐ มีอาทิว่า มิจฺฉาทิฏฺิยา ปหานาย (เพื่อละมิจฉาทิฏฐิ) ท่านกล่าวถึงปริยายหนึ่งๆ ด้วยสามารถเป็นข้าศึกโดยตรงแห่งองค์มรรคนั้นๆ.

บทว่า มคฺโค เจว เหตุ จ (เป็นมรรคและเป็นเหตุ) ชื่อว่า มรรค ด้วยอรรถว่า เป็นทางเฉพาะเพื่อทำกิจนั้นๆ (เป็นปฏิปทา) ชื่อว่า เหตุ ด้วยอรรถว่า เป็นผู้ทำให้ถึง (เพื่อทำกิจนั้นๆ) ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงมรรคมีอรรถว่า เป็นทางเฉพาะ (เป็นปฏิปทา) และมีอรรถว่า เป็นผู้นำให้ถึงมรรค มรรคเป็นทางเฉพาะในบทมีอาทิว่า นี้เป็นมรรค นี้เป็นปฏิปทา เหตุเป็นผู้นำให้ถึง ในประโยคมีอาทิว่า มรรคมีอรรถว่า นำออกไป มีอรรถว่า เป็นเหตุแห่งมรรค ด้วยบททั้งสองนี้เป็นอันท่านทำการแก้คำถามว่า มคฺโคติ เกนฏฺเน มคฺโค (มรรค ชื่อว่า มรรคเพราะอรรถว่ากระไร) ดังนี้.

บทว่า สหชาตานํ ธมฺมานํ อุปตฺถมฺภนาย (เพื่ออุปถัมภ์สหชาตธรรม) คือเพื่อความเป็นการอุปถัมภ์อรูปธรรมอันเกิดพร้อมกับตนโดยความเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัยและนิสสยปัจจัยเป็นต้น.

บทว่า กิเลสานํ ปริยาทาย (เพื่อครอบงำกิเลสทั้งหลาย) คือเพื่อให้กิเลสที่เหลือดังกล่าวแล้ว อันมรรคนั้นๆ ทำลายให้สิ้นไป.

ในบทนี้ว่า ปฏิเวธาทิวิโสธนาย (เพื่อความหมดจดในเบื้องต้นแห่งปฏิเวธ) มีความดังนี้ เพราะศีลและทิฏฐิเป็นเบื้องต้นแห่งสัจจปฏิเวธ (แห่งการแทงตลอดสัจจะ) โดยพระบาลีว่า อะไรเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรม

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 พ.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 433

ทั้งหลาย ศีลที่บริสุทธิ์ด้วยดีและทิฏฐิ (ความเห็น) อันตรง ศีลและทิฏฐินั้นย่อมบริบูรณ์ด้วยมรรคในเบื้องต้น ฉะนั้นท่านจึงกล่าว ปฏิเวธาทิวิโสธนาย ดังนี้.

บทว่า จิตฺตสฺส อธิฏฺานาย (เพื่อความตั้งมั่นแห่งจิต) คือเพื่อความตั้งมั่นในกิจของตนแห่งจิตอันสัมปยุตกัน.

บทว่า จิตฺตสฺส โวทานาย (เพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต) คือเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต.

บทว่า วิเสสาธิคมาย (เพื่อบรรลุธรรมวิเศษ) คือเพื่อได้เฉพาะคุณวิเศษกว่าธรรมเป็นโลกิยะ.

บทว่า อุตฺตริปฏิเวธาย (เพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่ง) คือเพื่อแทงตลอดธรรมอันยิ่งกว่าธรรมเป็นโลกิยะ.

บทว่า สจฺจาภิสมยาย (เพื่อตรัสรู้สัจจะ) คือเพื่อตรัสรู้ธรรมเอกแห่งอริยสัจ ๔ คือเพื่อแทงตลอดธรรมเอกด้วยสามารถยังกิจให้สำเร็จ.

บทว่า นิโรเธ ปติฏาปนาย (เพื่อให้จิตตั้งอยู่ในนิโรธ) คือเพื่อให้จิตหรือบุคคลตั้งอยู่ในนิพพาน.

ท่านทำองค์แห่งมรรค ๘ เป็นอันเดียวกัน แล้วกล่าวถึงการละกิเลสอันมรรคนั้นๆ ทำลายในขณะแห่งสกทาคามิมรรคเป็นต้น เหตุในเพราะกล่าวอย่างนี้ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในหนหลัง เพราะการชำระ (ความหมดจด) ในเบื้องต้นด้วยดีและความผ่องแผ้วแห่งจิตด้วยดี ย่อมมีได้ด้วยมรรคสูงๆ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวบททั้งหลายแม้เหล่านั้น.

ด้วยบทมีอาทิว่า ทสฺสนมคฺโค (เป็นมรรคแห่งการเห็น) ท่านกล่าวถึงอรรถแห่งมรรคด้วยสามารถแห่งลักษณะของธรรมนั้นจนถึงที่สุด บทแม้ทั้งหมดเหล่านั้น มีความดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในอภิญไญยนิเทศ (อภิญเญยยนิเทศ ชี้แจงถึงธรรมที่ควรรู้ยิ่ง) ในบทนี้ ท่านชี้แจงถึงมรรคอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ ตามที่เกิด (ตามสภาวะที่มี) อย่างนี้ ท่านชี้แจงถึงมรรคด้วยอรรถว่า เป็นเหตุ อนึ่ง เพราะมรรคนั้นเป็นมรรคโดยตรง ท่านจึงไม่กล่าวว่า มคฺโค (เป็นมรรค) เพิ่มเข้ามา.

บทมีอาทิว่า อธิปเตยฺยฏฺเน อินฺทฺริยา ชื่อว่า อินทรีย์ด้วยอรรถว่า เป็นใหญ่ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่ง

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 8 พ.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 434

อรรถของอินทรีย์เป็นต้น.

อนึ่ง ในบทว่า สจฺจานิ (สัจจะ) นี้ ได้แก่ สัจจญาณ.

ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่า มรรค ด้วยอรรถว่า เป็นทางปฏิบัติ (เป็นปฏิปทา) เพื่อนิพพาน อนึ่ง นิพพานท่านกล่าวไว้ในที่สุด (ตอนท้าย) พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า มรรค เพราะอรรถว่า สัตบุรุษผู้ถูกสังสารทุกข์ครอบงำ ผู้ต้องการพ้นจากทุกข์แสวงหา.

จบอรรถกถามรรคกถา