พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. กรรมกถา ว่าด้วยเรื่องของกรรม

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 พ.ย. 2564
หมายเลข  40956
อ่าน  686

[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 416

มหาวรรค

กรรมกถา

ว่าด้วยเรื่องของกรรม หน้า 416

อรรถกถากรรมกถา หน้า 418


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 416

มหาวรรค กรรมกถา

ว่าด้วยเรื่องของกรรม

[๕๒๓] กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่ กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่ กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักมี กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมมีอยู่ กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมไม่มี กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักมี กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักไม่มี กรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักมี กรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักไม่มี กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมได้มีแล้ว กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมไม่ได้มีแล้ว กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมมีอยู่ กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมไม่มี กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมจักมี กุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกุศลกรรมจักไม่มี กุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งกุศลกรรมมีอยู่ กุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งกุศลกรรมจักไม่มี

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 417

กุศลกรรมจักมี วิบากแห่งกุศลกรรมจักมี กุศลกรรมจักมี วิบากแห่งกุศลกรรมจักไม่มี อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมไม่ได้มีแล้ว อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมมีอยู่ อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมไม่มี อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งอกุศลกรรมจักไม่มี อกุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งอกุศลกรรมมีอยู่ อกุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งอกุศลกรรมไม่มี อกุศลกรรมมีอยู่ วิบากแห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรมจักมี วิบากแห่งอกุศลกรรมจักมี อกุศลกรรมจักมี วิบากแห่งอกุศลกรรมจักไม่มี.

[๕๒๔] กรรมมีโทษได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมไม่มีโทษได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมดำได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมขาวได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมมีสุขเป็นกำไรได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมมีทุกข์เป็นกำไรได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมมีสุขเป็นวิบากได้มีแล้ว ฯลฯ กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่ได้มีแล้ว กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ กรรมมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่มี กรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักไม่มี กรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่มี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักไม่มี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากมีอยู่ วิบากแห่ง กรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากไม่มี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากจักมี วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักมี กรรมมีทุกข์เป็นวิบากจักมี วิบากแห่งกรรมอันมีทุกข์เป็นวิบากจักไม่มี.

จบกรรมกถา

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 418

อรรถกถากรรมกถา

บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังมิได้พรรณนาไว้แห่งกรรมกถา อันพระสารีบุตรเถระแสดงถึงกรรมอันเป็นปัจจัยแห่งเหตุสัมบัตินั้นกล่าวไว้แล้ว.

พึงทราบวินิจฉัยในกรรมกถานั้น ดังต่อไปนี้ ในบทมีอาทิว่า อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก (กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว) ท่านถือเอาวิบากอันให้ผลในภพอดีตแห่งกรรมที่ทำแล้วในภพอดีตนั่นเอง แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก.

ท่านถือเอาวิบากอันไม่ให้ผลในภพอดีต ด้วยความบกพร่องแห่งปัจจัยแห่งกรรมอดีตอันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพนี้) และเป็นอุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลต่อเมื่อเกิดแล้วในภพหน้า) และวิบากอันยังไม่ให้ผลแห่งกรรมอันดับรอบแล้วในอดีตนั่นเอง และอันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพสืบๆ ไป) ของผู้ปรินิพพานแล้วในอดีตนั่นเอง จึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก (กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว).

ท่านถือเอาวิบากอันให้ผลแห่งกรรมอดีต ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัจจัยในภพปัจจุบัน แห่งวิบากอันยังไม่ให้ผล แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก (กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่).

ท่านถือเอาวิบากอันยังไม่ให้ผลแห่งกรรมอดีต อันล่วงเลยกาลแห่งวิบากแล้ว เเละแห่งกรรมของผู้ปรินิพพานในภพปัจจุบันนั่นเอง แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก (กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มี).

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 419

ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผล ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัจจัยในภพอนาคต แห่งกรรมอดีตอันควรแก่วิบาก อันเป็นวิบากยังไม่ให้ผล แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก (กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักมี).

ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผล แห่งกรรมอดีตอันล่วงกาลแห่งวิบากแล้ว และการดับรอบ (ปรินิพพาน) ในภพอนาคตนั่นเอง แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก (กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี).

ท่านแสดงกรรมอดีตอย่างนี้ไว้ ๖ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบาก (ให้ผล) และ มิใช่วิบาก (ไม่ให้ผล) ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต.

ท่านถือเอาวิบากอันให้ผลในปัจจุบันนี้ แห่งกรรมอันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมที่ทำแล้วในปัจจุบันภพนี้ แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก (กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมมีอยู่).

ท่านถือเอาวิบากอันไม่ให้ผลในภพนี้ ด้วยความบกพร่องแห่งปัจจัยของกรรมปัจจุบันนั้น และยังไม่ให้ผลในภพนี้ ของผู้ปรินิพพานในปัจจุบัน แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก (กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมไม่มี).

ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผลในภพอนาคตของกรรมปัจจุบัน อันเป็นอุปปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก (กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักมี).

ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผลในภพอนาคต ด้วยความบกพร่องแห่งปัจจัย แห่งกรรมปัจจุบันอันเป็นอุปปัชชเวทนียกรรม และอันไม่ควรให้ผลแห่งอปราปริยเวทนียกรรมของผู้ควรปรินิพพานในภพอนาคต แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก (กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักไม่มี).

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 420

ท่านแสดงถึงปัจจุบันกรรมอย่างนี้ไว้ ๔ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบาก (ให้ผล) และมิใช่วิบาก (ไม่ให้ผล) ในปัจจุบันและอนาคต.

ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผลในภพอนาคต แห่งกรรมที่ควรทำในภพอนาคต แล้วจึงกล่าวว่า ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก (กรรมจักมี ผลแห่งกรรมจักมี).

ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผล ด้วยบกพร่องแห่งปัจจัยแห่งกรรมอนาคตนั้น และไม่ควรให้ผลของผู้ควรปรินิพพานในภพอนาคต แล้วจึงกล่าวว่า ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก (กรรมจักมี ผลแห่งกรรมจักไม่มี).

ท่านแสดงกรรมอนาคตอย่างนี้ไว้ ๒ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบากและมิใช่วิบากในอนาคต.

เป็นอันท่านทำกรรมทั้งหมดนั้น เป็นอันเดียวกัน แล้วแสดงกรรม ๑๒ อย่าง.

ท่านตั้งอยู่ในฐานะนี้ แล้วนำกรรมจตุกกะ ๓ มากล่าว เมื่อท่านกล่าวกรรมจตุกกะนั้นแล้ว ความนี้จักปรากฏชัดว่า เพราะกรรม ๔ อย่าง คือทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปราปริยเวทนียกรรม ๑ อโหสิกรรม ๑.

ในกรรมเหล่านั้น ชวนเจตนาครั้งแรก (ดวงแรก) เป็นกุศลก็ดี เป็นอกุศลก็ดี ในจิต ๗ ดวง ในชวนวิถีจิต ๑ ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้นย่อมให้ผลในอัตภาพนี้เท่านั้น แต่เมื่อไม่อาจให้ผลอย่างนั้น ก็เป็นอโหสิกรรมด้วยสามารถติกะว่า กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี วิบากแห่งกรรมไม่มี ดังนี้.

ส่วนชวนเจตนา ดวงที่ ๗ อันให้สำเร็จประโยชน์ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น ย่อมให้ผลในอัตภาพเป็นลำดับไป (ถัดไป) เมื่อไม่อาจให้ผลอย่างนั้นได้ ก็เป็นอโหสิกรรมตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

อนึ่ง

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 421

ชวนเจตนา ๕ ดวง ในระหว่างชวนเจตนาทั้งสองนั้น ชื่อว่า อปราปริยเวทนียกรรม อปราปริยเวทนียกรรมนั้น ย่อมได้โอกาสเมื่อใดในอนาคต ย่อมให้ผลเมื่อนั้น เมื่อยังมีการเวียนว่ายอยู่ในสงสาร ชื่อว่า อโหสิกรรมก็จะไม่มี.

กรรม ๔ อย่าง แม้อื่นอีก เป็นครุกรรม พหุลกรรม อาสันนกรรม และกฏัตตาวาปนกรรม หรือกฏัตตากรรม (กรรมสักว่าทำ) ในกรรมเหล่านั้นเป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล ในกรรมหนักและไม่หนัก กรรมใดหนักมีฆ่ามารดาเป็นต้น หรือมหัคคตกรรม (กรรมเกิดจากการได้ฌาน) กรรมนั้นแลให้ผลก่อน อนึ่ง แม้ในกรรมหนา (ทำมาก) และไม่หนา (ไม่ทำมาก) กรรมใดหนามีความเป็นผู้มีศีลก็ดี เป็นผู้ทุศีลก็ดี กรรมนั้นย่อมให้ผลก่อน กรรมที่ระลึกถึงก็ดี กรรมที่ทำแล้วก็ดี ในเวลาใกล้ตาย ชื่อว่า อาสันนกรรม จริงอยู่ ผู้ใกล้จะตายอาจระลึกถึงหรือทำกรรมใด ย่อมเกิดขึ้นด้วยกรรมนั้นนั่นเอง การได้อาเสวนะบ่อยๆ พ้นจากกรรม ๓ เหล่านี้ ชื่อว่า กฏัตตาวาปนกรรม ในเมื่อไม่มีกรรม ๓ เหล่านั้น กฏัตตาวาปนกรรมนั้นย่อมฉุดคร่าให้ปฏิสนธิ.

กรรม ๔ อย่างอื่นอีก คือชนกกรรม (กรรมแต่งให้เกิด) อุปัตถัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน) อุปปีฬกกรรม (กรรมบีบคั้น) อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน).

ในกรรม ๔ อย่างนั้น กรรมที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ชื่อว่า ชนกกรรม ชนกกรรมนั้นยังรูปวิบาก และอรูปวิบากให้เกิดในปฏิสนธิกาล แม้ในปวัตติกาล.

ส่วนอุปัตถัมภกกรรมไม่สามารถให้วิบากเกิดได้ ย่อมสนับสนุนสุขและทุกข์อันเกิดขึ้นในวิบากที่เกิดแล้วด้วยปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ ย่อมให้เป็นไปตลอดกาลยาวนาน.

อุปปีฬกกรรมย่อมบีบคั้น เบียดเบียนสุขและทุกข์อันเกิดในวิบากที่เกิดแล้วด้วยปฏิสนธิที่กรรมอื่นให้ ย่อมไม่ให้เพื่อเป็นไปตลอดกาลยาวนานได้.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 5 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 422

ส่วนอุปฆาตกกรรม ที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ตัดรอนกรรมที่มีกำลังอ่อนอื่น แล้วป้องกัน (ห้าม) วิบากของกรรมนั้น ทำโอกาสแก่วิบากของตน ก็เมื่อโอกาสอันกรรมนั้นทำแล้ว ท่านกล่าวว่า วิบากนั้นเกิดขึ้นแล้ว.

ด้วยประการฉะนี้ ระหว่างกรรมและระหว่างวิบากแห่งกรรม ๑๒ เหล่านี้ ย่อมปรากฏแก่กัมมวิปากญาณของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย โดยความเป็นสิ่งที่แน่นอนแห่งกรรมวิบากญาณ (โดยสภาวะตามความเป็นจริง) ไม่ทั่วไปแก่สาวกทั้งหลาย ส่วนนักวิปัสสนาพึงรู้ระหว่างกรรมและระหว่างวิบากได้บางส่วน เพราะฉะนั้น ท่านประกาศความพิเศษของกรรมนี้ โดยแสดงเพียงเป็นหัวข้อ.

ท่านกล่าวปฐมวารด้วยอำนาจกรรมล้วนๆ อย่างนี้ แล้วจำแนกกรรมนั้นนั่นแล ออกเป็น ๒ ส่วน แล้วจึงกล่าวถึง ๑๐ วาระอื่นอีกโดยปริยาย ๑๐ ด้วยอำนาจเป็นคู่ของกรรมมีกุศลกรรมและอกุศลกรรมเป็นต้น.

ในกุศลกรรมและอกุศลกรรมนั้น ชื่อว่า กุสลํ (กุศล) เพราะอรรถว่า ไม่มีโรค ชื่อว่า อกฺสลํ (อกุศล) เพราะอรรถว่า ไม่มีโรคหามิได้ (มีโรค) ท่านกล่าวทุกะนี้ ด้วยอำนาจแห่งชาติ.

อกุศลนั่นแล เป็น สาวชฺชํ (สาวัชชะ กรรมมีโทษ) เพราะประกอบด้วยโทษ มีราคะเป็นต้น กุศลเป็น อนวชฺชํ (อนวัชชะ กรรมไม่มีโทษ) เพราะไม่มีโทษ มีราคะเป็นต้นนั้น.

อกุศล ชื่อว่า กณฺหํ เป็นกัณหธรรม (ธรรมดำ) เพราะไม่บริสุทธิ์ หรือเพราะเหตุเกิดเป็นธรรมดำ กุศล ชื่อว่า สกฺกํ เป็นสุกกธรรม (ธรรมขาว) เพราะบริสุทธิ์ หรือเพราะเหตุเกิดเป็นธรรมขาว.

กุศล ชื่อว่า สุขุทฺรยํ (สุขุทรยะ กรรมมีสุขเป็นกำไร) เพราะเจริญด้วยความสุข อกุศล ชื่อว่า ทุกฺขุทฺรยํ (ทุกขุทรยะ กรรมมีทุกข์เป็นกำไร) เพราะเจริญด้วยทุกข์.

กุศล ชื่อว่า สุขวิปากํ (กรรมมีสุขเป็นวิบาก) เพราะมีผลเป็นสุข อกุศล ชื่อว่า ทุกฺขวิปากํ (กรรมมีทุกข์เป็นวิบาก) เพราะมีผลเป็นทุกข์.

พึงทราบอาการต่างกันแห่งกรรมเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้แล.

จบอรรถกถากรรมกถา