๕. วิโมกขกถา ว่าด้วยวิโมกข์ ๓
[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 320
มหาวรรค
๕. วิโมกขกถา
ว่าด้วยวิโมกข ์๓ หน้า 320
อรรถกถาวิโมกขกถา
อรรถกถาวิโมกขุเทศ หน้า 364
อรรถกถาวิโมกขนิเทศ หน้า 370
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 320
มหาวรรค
วิโมกขกถา
ว่าด้วยวิโมกข์ ๓
นิทานบริบูรณ์
[๔๖๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือสุญญตวิโมกข์ ๑ อนิมิตตวิโมกข์ ๑ อัปปณิหิตวิโมกข์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิโมกข์ ๓ ประการนี้.
อีกประการหนึ่ง วิโมกข์ ๖๘ คือสุญญตวิโมกข์ ๑ อนิมิตตวิโมกข์ ๑ อัปปณิหิตวิโมกข์ ๑ อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ (วิโมกข์มีการออกในภายใน) ๑ พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ (วิโมกข์มีการออกในภายนอก) ๑ ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ (วิโมกข์มีการออกแต่ส่วนทั้งสอง) ๑ วิโมกข์ ๔ อันเป็นอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ ๔ อันเป็นพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ ๔ อันเป็นทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ ๔ ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ ๔ ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ วิโมกข์ ๔ ระงับจากทุภโตวุฏฐานวิโมกข์ ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่ารูปในภายใน ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก เพราะอรรถว่า ภิกษุน้อมใจไปในธรรมส่วนงาม (น้อมใจไปว่างาม) เท่านั้น อากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์ วิญญาณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์ อากิญจัญญายตนสมาบัติวิโมกข์ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 321
สมยวิโมกข์ อสมยวิโมกข์ สามายิกวิโมกข์ (* หรือ สามยิก อันบังเกิดแล้ว) อสามายิกวิโมกข์ กุปปวิโมกข์ (วิโมกข์ที่กำเริบได้) อกุปปวิโมกข์ (วิโมกข์ที่ไม่กำเริบ) โลกิยวิโมกข์ โลกุตรวิโมกข์ สาสววิโมกข์ อนาสววิโมกข์ สามิสวิโมกข์ นิรามิสวิโมกข์ นิรามิสตรวิโมกข์ ปณิหิตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ ปณิหิตปัสสัทธิวิโมกข์ สุญญตวิโมกข์ วิสุญญตวิโมกข์ เอกัตตวิโมกข์ นานัตตวิโมกข์ สัญญาวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ สีติสิยาวิโมกข์ ฌานวิโมกข์ อนุปาทาจิตวิโมกข์.
[๔๗๐] สุญญตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี พิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจากความเป็นตัวตนและจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำความยึดมั่นในนามรูปนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้นจึงเป็นวิโมกข์ว่างเปล่า นี้เป็นสุญญตวิโมกข์.
อนิมิตตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจากความเป็นตัวตนและจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำเครื่องกำหนดหมายในนามรูปนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้น จึงเป็นวิโมกข์ไม่มีเครื่องกำหนดหมาย นี้เป็นอนิมิตตวิโมกข์.
อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า นามรูปนี้ว่างจากความเป็นตัวตนและจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน เธอย่อมไม่ทำความปรารถนา (ไม่ทำความตั้งไว้ ไม่มีความตั้งปรารถนา) ในนามรูปนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์ของภิกษุนั้น จึงเป็นวิโมกข์ไม่มีความปรารถนา (ไม่มีความตั้งไว้) นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์.
อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ เป็นอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 322
พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อรูปสมาบัติ ๔ เป็นพหิทธาวุฏฐานโมกข์.
ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ เป็นทุภโตวุฏฐานวิโมกข์.
[๔๗๑] วิโมกข์ ๔ แต่ (อันเป็น) อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน ปฐมฌานออกจากนิวรณ์ ทุติยฌานออกจากวิตกวิจาร ตติยฌานออกจากปีติ จตุตถฌานออกจากสุขและทุกข์ นี้เป็นวิโมกข์ ๔ แต่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ ๔ แต่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อากาสานัญจายตนสมาบัติออกจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา วิญญาณัญจายตนสมาบัติออกจากอากาสานัญจายตนสัญญา อากิญจัญญายตนสมาบัติออกจากวิญญาณัญจายตนสัญญา อากิญจัญญายตนสมาบัติออกจากวิญญาณัญจายตนสัญญา เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติออกจากอากิญจัญญายตนสัญญา นี้เป็นวิโมกข์ ๔ แต่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ ๔ แต่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน.
โสดาปัตติมรรคออกจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ทิฏฐาอนุสัย วิจิกิจฉานุสัย ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามสักกายทิฏฐิเป็นต้นนั้น ออกจากขันธ์ทั้งหลายและออกจากสรรพนิมิตภายนอก.
สกทาคามิมรรคออกจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยส่วนหยาบๆ ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามกามราคสังโยชน์เป็นต้นนั้น ออกจากขันธ์ทั้งหลายและออกจากสรรพนิมิตภายนอก.
อนาคามิมรรคออกจากกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยส่วนละเอียดๆ ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามกามราคสังโยชน์เป็นต้นนั้น ออกจากขันธ์ทั้งหลายและออกจากสรรพนิมิตภายนอก.
อรหัตมรรคออกจากรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุนัย ภวราคานุสัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 323
อวิชชานุสัย ออกจากเหล่ากิเลสที่เป็นไปตามรูปราคะเป็นต้นนั้น ออกจากขันธ์ทั้งหลายและออกจากสรรพนิมิตภายนอก.
นี้เป็นวิโมกข์ ๔ แต่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์.
[๔๗๒] วิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน วิตก วิจาร ปีติ สุขและเอกัคคตาจิตเพื่อประโยชน์แก่การได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน นี้เป็นวิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน วิตก วิจาร ปีติ สุขและเอกัคคตาจิตเพื่อประโยชน์แก่การได้อากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ นี้เป็นวิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนาเพื่อประโยชน์แก่การได้โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค นี้เป็นวิโมกข์ ๔ อนุโลมแก่ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์.
[๔๗๓] วิโมกข์ ๔ ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน แห่งทุติยฌาน แห่งตติยฌาน แห่งจตุตถฌาน มีอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ ๔ ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์.
วิโมกข์ ๔ ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งอากาสานัญจายตนสมาบัติ แห่งวิญญาณัญจายตนสมาบัติ แห่งอากิญจัญญายตนสมาบัติ แห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ มีอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ ๔ ระงับจากพหิทธาวุฏฐานวิโมกข์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 324
วิโมกข์ ๔ ระงับจากทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นไฉน โสดาปัตติผลแห่งโสดาปัตติมรรค สกทาคามิผลแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิผลแห่งอนาคามิมรรค อรหัตผลแห่งอรหัตมรรค นี้เป็นวิโมกข์ ๔ ระงับจากทุภโตวุฏฐานวิโมกข์.
[๔๗๔] ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย อย่างไร.
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเขียวในภายในย่อมได้เฉพาะนีลสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีเขียวภายนอกย่อมได้เฉพาะนีลสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิคอย่างนี้ว่า นิมิตสีเขียวทั้งสองทั้งภายในและภายนอกนี้เป็นรูป เธอเป็นผู้มีความสำคัญว่า เป็นรูป ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเหลือง ฯ นิมิตสีแดง ฯ นิมิตสีขาวในภายในย่อมได้เฉพาะโอทาตสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีขาวในภายนอกย่อมได้เฉพาะโอทาตสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า นิมิตสีขาวทั้งสองทั้งภายในและภายนอกนี้เป็นรูป เธอย่อมมีความสำคัญว่า เป็นรูป ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลายอย่างนี้.
[๔๗๕] ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่า เป็นรูปในภายใน เห็นรูปทั้งหลายในภายนอก อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 325
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ไม่มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเขียวในภายใน ไม่ได้นีลสัญญา ย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีเขียวภายนอกย่อมได้นีลสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วเธอย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่มีความสำคัญว่า เป็นรูปในภายใน นิมิตสีเขียวภายนอกนี้เป็นรูป เธอก็มีรูปสัญญา ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ไม่มนสิการถึงเฉพาะนิมิตสีเหลือง ฯ นิมิตสีแดง ฯ นิมิตสีขาวในภายใน ไม่ได้โอทาตสัญญา ย่อมน้อมจิตไปในนิมิตสีขาวภายนอกย่อมได้โอทาตสัญญา เธอทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว กำหนดไว้ดีแล้ว ครั้นแล้วเธอย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า เราไม่มีความสำคัญว่า เป็นรูปในภายใน นอกนี้เป็นรูป เธอก็มีรูปสัญญา ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่า เป็นรูปในภายใน เห็นรูป ทั้งหลายในภายนอก อย่างนี้.
[๔๗๖] ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุน้อมใจไปในธรรมส่วนงามเท่านั้น อย่างไร.
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ เพราะเป็นผู้เจริญเมตตา สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง มีใจประกอบด้วยกรุณา ฯ มีใจประกอบด้วยมุทิตา ฯ มีใจประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ฯ เพราะเป็นผู้เจริญอุเบกขา สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า ภิกษุน้อมใจไปในธรรมส่วนงามเท่านั้น อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 326
[๔๗๗] อากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง เข้าอากาสานัญจายตนสมาบัติด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ นี้เป็นอากาสานัญจายตนสมาบัติวิโมกข์.
วิญญาณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ นี้เป็นวิญญาณัญจายตนสมาบัติวิโมกข์.
อากิญจัญญายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติมด้วยมนสิการว่า สิ่งน้อยหนึ่งไม่มี นี้เป็นอากิญจัญญายตนสมาบัติวิโมกข์.
เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ (* ด้วยมนสิการว่า มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่) นี้เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติวิโมกข์.
สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติโดยประการทั้งปวง เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ (* หรือ นิโรธสมาบัติ หมายถึง การเข้าถึงการดับจิตและเจตสิก เฉพาะพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ที่ได้ฌาน ๘ เท่านั้น) นี้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติวิโมกข์.
[๔๗๘] สมยวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ และอรูปสมาบัติ ๔ นี้เป็นสมยวิโมกข์.
อสมยวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นอสมยวิโมกข์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 327
สามยิกวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ และอรูปสมาบัติ ๔ นี้เป็นสามยิกวิโมกข์.
อสามยิกวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นอสามยิกวิโมกข์.
กุปปวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ และอรูปสมาบัติ ๔ นี้เป็นกุปปวิโมกข์.
อกุปปวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นอกุปปวิโมกข์.
โลกิยวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ และอรูปสมาบัติ ๔ นี้เป็นโลกิยวิโมกข์.
โลกุตรวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นโลกุตรวิโมกข์.
สาสววิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ และอรูปสมาบัติ ๔ นี้เป็นสาสววิโมกข์.
อนาสววิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นอนาสววิโมกข์.
[๔๗๙] สามิสวิโมกข์เป็นไฉน วิโมกข์ที่ปฏิสังยุต (สัมปยุต) ด้วยรูป นี้เป็นสามิสวิโมกข์.
นิรามิสวิโมกข์เป็นไฉน วิโมกข์ที่ไม่ปฏิสังยุตด้วยรูป (ปฏิสังยุตด้วยอรูป) นี้เป็นนิรามิสวิโมกข์.
นิรามิสตรวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นนิรามิสตรวิโมกข์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 328
ปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ อรูปสมาบัติ ๔ นี้เป็นปณิหิตวิโมกข์.
อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์.
ปณิหิตปฏิปัสสัทธิวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน ฯ แห่งเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ นี้เป็นปณิหิตปฏิปัสสัทธิวิโมกข์.
สัญญุตวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ และอรูปสมาบัติ ๔ นี้เป็นสัญญุตวิโมกข์.
วิสัญญุตวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นวิสัญญุตวิโมกข์.
เอกัตตวิโมกข์เป็นไฉน อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ และนิพพาน นี้เป็นเอกัตตวิโมกข์.
นานัตตวิโมกข์เป็นไฉน ฌาน ๔ และอรูปสมาบัติ ๔ นี้เป็นนานัตตวิโมกข์.
[๔๘๐] สัญญาวิโมกข์เป็นไฉน สัญญาวิโมกข์ ๑ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑๐ สัญญาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้.
คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร.
อนิจจานุปัสสนาญาณพ้นจากนิจจสัญญา เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนาญาณพ้นจากสุขสัญญา ฯ อนัตตานุปัสสนาญาณพ้นจากอัตตสัญญา ฯ นิพพิทานุปัสสนาญาณพ้นจากนันทิสัญญา (ความสำคัญโดยความเพลิดเพลิน) ฯ วิราคานุปัสสนาญาณพ้นจากราคสัญญา ฯ นิโรธานุปัสสนาญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 329
พ้นจากสมุทยสัญญา ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณพ้นจากอาทานสัญญา (ความสำคัญโดยความถือมั่น) ฯ อนิมิตตานุปัสสนาญาณพ้นจากนิมิตตสัญญา ฯ อัปปณิหิตานุปัสสนาญานพ้นจากปณิธิสัญญา ฯ สุญญตานุปัสสนาญานพ้นจากอภินิเวสสัญญา (ความสำคัญโดยความยึดมั่น) เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญาวิโมกข์ สัญญาวิโมกข์ ๑ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑๐ สัญญาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูปพ้นจากนิจจสัญญา เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ฯ.
ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูปพ้นจากอภินิเวสสัญญา เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญาวิโมกข์.
สัญญาวิโมกข์ ๑ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑๐ สัญญาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯ ในสัญญา ฯ ในสังขาร ฯ ในวิญญาณ ฯ ในจักษุ ฯ ในชราและมรณะพ้นจากนิจจสัญญา เพราะเหตุนั้นจึงเป็นสัญญาวิโมกข์ ฯ.
ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะพ้นจากอภินิเวสสัญญา เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญาวิโมกข์.
สัญญาวิโมกข์ ๑ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑๐ สัญญาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสัญญาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นสัญญาวิโมกข์.
[๔๘๑] ญาณวิโมกข์เป็นไฉน ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณวิโมกข์ ๑๐ ญาณวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 330
คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร.
อนิจจานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความเป็นสุข ฯ อนัตตานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความเป็นตัวตน ฯ นิพพิทานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อีนเป็นความหลงโดยความเพลิดเพลิน ฯ วิราคานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความกำหนัด ฯ นิโรธานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยเป็นเหตุให้เกิด ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความถือมั่น ฯ อนิมิตตานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความเป็นนิมิต ฯ อัปปณิหิตานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความเป็นที่ตั้ง ฯ สุญญตานุปัสสนายถาภูตญาณพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณวิโมกข์ ๑๐ ญาณวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
ยถาภูตญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูปพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิโมกข์ ฯ ยถาภูตญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูปพ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณวิโมกข์ ๑๐ ญาณวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 331
ยถาภูตญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯ ในสัญญา ฯ ในสังขาร ฯ ในวิญญาณ ฯ ในจักษุ ฯ ในชราและมรณะ พ้นจากความไม่รู้อันเป็นความหลงโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิโมกข์ ฯ.
ยถาภูตญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ พ้นจากความไม่รู้อันเป็นหลงโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิโมกข์ ญาณวิโมกข์ ๑ เป็นญาณวิโมกข์ ๑๐ ญาณวิโมกข์ ๑๐ เป็นญาณวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นญาณวิโมกข์.
[๔๘๒] สีติสิยาวิโมกข์เป็นไฉน สีติสิยาวิโมกข์ ๑ เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ๑๐ สีติสิยาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้.
คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงได้อย่างไร.
อนิจจานุปัสสนาเป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์.
ทุกขานุปัสสนา ฯ โดยความเป็นสุข เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ อนัตตานุปัสสนา ฯ โดยความเป็นตน ฯ นิพพิทานุปัสสนา ฯ โดยความเพลิดเพลิน ฯ วิราคานุปัสสนา ฯ โดยความกำหนัด ฯ นิโรธานุปัสสนา ฯ โดยความเป็นเหตุเกิด ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ฯ โดยความถือมั่น ฯ อนิมิตตานุปัสสนา ฯ โดยมีนิมิตเครื่องหมาย ฯ อัปปณิหิตานุปัสสนา ฯ โดยเป็นที่ตั้ง ฯ สุญญตานุปัสสนาเป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสิติสิยาวิโมกข์ สีติสิยาวิโมกข์ ๑ เป็นสีติยาวิโมกข์ ๑๐ สีติสิยาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 332
ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป เป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯ ในสัญญา ฯ ในสังขาร ฯ ในวิญญาณ ฯ ในจักษุ ฯ ในชราและมรณะ เป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสีติสิยาวิโมกข์ ฯ สีติสิยาวิโมกข์ ๑ เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ๑๐ สีติสิยาวิโมกข์ ๑๐ เป็นสีติสิยาวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้ นี้เป็นสีติสิยาวิโมกข์.
[๔๘๓] ฌานวิโมกข์เป็นไฉน เนกขัมมะเกิด เผากามฉันทะ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌาน เนกขัมมะเกิดพ้นไป เผาพ้นไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌานวิโมกข์ ธรรมเกิด ย่อมเผา ฌายีบุคคลย่อมรู้กิเลสที่เกิดและถูกเผา เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌานวิโมกข์.
ความไม่พยาบาทเกิด เผาความพยาบาท เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌาน ความไม่พยาบาทเกิดพ้นไป เผาพ้นไป ฯ อาโลกสัญญาเกิด เผาถีนมิทธะ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌาน ฯ ความไม่ฟุ้งซ่านเกิด เผาอุทธัจจะ ฯ การกำหนดธรรมเกิด เผาวิจิกิจฉา ฯ ญาณเกิด เผาอวิชชา ฯ ความปราโมทย์เกิด เผาอรติ ฯ ปฐมฌานเกิด เผานิวรณ์ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌาน ฯ อรหัตมรรคเกิด เผากิเลสทั้งปวง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌาน อรหัตมรรคเกิดพ้นไป เผาพ้นไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌานวิโมกข์ ธรรมเกิด ย่อมเผา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 333
ฌายีบุคคลย่อมรู้กิเลสที่เกิดและที่ถูกเผา เพราะเหตุนั้น จึงเป็นฌานวิโมกข์ นี้เป็นฌานวิโมกข์.
[๔๘๔] อนุปาทาจิตตวิโมกข์เป็นไฉน อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้.
คำว่า พึงมีได้ ความว่า ก็พึงมีได้อย่างไร.
อนิจจานุปัสสนาญานย่อมพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสุข ฯ อนัตตานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นตัวตน ฯ นิพพิทานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความเพลิดเพลิน ฯ วิราคานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความกำหนัด ฯ นิโรธานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นเหตุให้เกิด ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความถือผิด ฯ อนิมิตตานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยนิมิต ฯ อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นที่ตั้ง ฯ สุญญตานุปัสสนาญาณพ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป พ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป พ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 334
อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ฯ ในสัญญา ฯ ในสังขาร ฯ ในวิญญาณ ฯ ในจักษุ ฯ ในชราและมรณะพ้นจากความถือมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะพ้นจากความถือมั่นโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงเป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑ เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ๑๐ เป็นอนุปาทาจิตวิโมกข์ ๑ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยายพึงมีได้อย่างนี้.
[๔๘๕] อนิจจานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทานเท่าไร ทุกขานุปัสสนาญาณ อนัตตานุปัสสนาญาณ นิพพิทานุปัสสนาญาณ วิราคานุปัสสนาญาณ นิโรธานุปัสสนาญาณ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ อนิมิตตานุปัสสนาญาณ อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทานเท่าไร.
อนิจจานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ ทุกขานุปัสลนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ อนัตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ นิพพิทานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ วิราคานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ นิโรธานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ อนิมิตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ สุญญตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓.
[๔๘๖] อนิจจานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน อนิจจานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เหล่านี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 335
ทุกขานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ เป็นไฉน ทุกขานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือกามุปาทาน ทุกขานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ นี้.
อนัตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน อนัตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน อนัตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เหล่านี้.
นิพพิทานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ เป็นไฉน นิพพิทานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือกามุปาทาน นิพพิทานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ นี้.
วิราคานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ เป็นไฉน วิราคานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือกามุปาทาน วิราคานุปัสสนาญานย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ นี้.
นิโรธานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ เป็นไฉน นิโรธานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน คือกามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นิโรธานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ เหล่านี้.
ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ เป็นไฉน ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ คือกามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจาก อุปาทาน ๔ เหล่านี้.
อนิมิตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน อนิมิตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน อนิมิตตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เหล่านี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 336
อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ เป็นไฉน อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือกามุปาทาน อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ นี้.
สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน สุญญตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน สุญญตานุปัสสนาญาณย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เหล่านี้.
ญาณ ๔ เหล่านี้ คืออนิจจานุปัสสนาญาณ ๑ อนัตตานุปัสสนาญาณ ๑ อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ๑ สุญญตานุปัสสนาญาณ ๑ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ คือทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑.
ญาณ ๔ เหล่านี้ คือทุกขานุปัสสนาญาณ ๑ นิพพิทานุปัสสนาญาณ ๑ วิราคานุปัสสนาญาณ ๑ อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ๑ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๑ คือกามุปาทาน.
ญาณ ๒ เหล่านี้ คือนิโรธานุปัสสนาญาณ ๑ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ๑ ย่อมพ้นจากอุปาทานทั้ง ๔ คือกามุปาทาน ๑ ทิฏฐุปาทาน ๑ สีลัพพตุปาทาน ๑ อัตตวาทุปาทาน ๑.
นี้เป็นอนุปาทาจิตตวิโมกข์.
จบวิโมกขกถา ปฐมภาณวาร
[๔๘๗] ก็วิโมกข์อันเป็นประธาน ๓ นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความนำออกไปจากโลก ด้วยความที่จิตแล่นไปในอนิมิตตธาตุ โดยความพิจารณาเห็นสรรพสังขาร โดยความหมุนเวียนไปตามกำหนด ด้วยความที่จิตแล่นไปในอัปปณิหิตธาตุ โดยความองอาจแห่งใจในสรรพสังขาร และด้วยความที่จิตแล่นไปในสุญญตธาตุ โดยความพิจารณาเห็นธรรมทั้งปวงโดยแปรเป็นอย่างอื่น วิโมกข์อันเป็นประธาน ๓ นี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความนำออกไปจากโลก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 337
[๔๘๘] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏอย่างไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สังขารย่อมปรากฏโดยความสิ้นไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของสูญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตมากด้วยธรรมอะไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตมากด้วยความน้อมไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ จิตมากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา จิตมากด้วยความรู้.
บุคคลผู้มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความน้อมใจไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากด้วยความรู้ ย่อมได้อินทรีย์เป็นไฉน.
บุคคลผู้มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความน้อมใจไป ย่อมได้สัทธินทรีย์ ผู้มนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากด้วยความสงบ ย่อมได้สมาธินทรีย์ ผู้มนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากด้วยความรู้ ย่อมได้ปัญญินทรีย์.
[๔๘๙] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากด้วยความน้อมใจเชื่อ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์ในภาวนาที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย (ปัจจัยเกิดร่วมกัน) เป็นอัญญมัญญปัจจัย (เป็นปัจจัยของกันและกัน) เป็นนิสสยปัจจัย (ปัจจัยที่อาศัยกัน) เป็นสัมปยุตตปัจจัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 338
(ปัจจัยที่ประกอบกัน) เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ใครย่อมเจริญ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน ฯ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยความรู้ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ใครย่อมเจริญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ สัทธินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นย่อมเจริญ การเจริญอินทรีย์ ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิด เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ สมาธินทรีย์เป็นใหญ่ ฯ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยความรู้ ปัญญินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นย่อมเจริญ การเจริญอินทรีย์ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิด.
[๔๙๐] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย เป็นอัญญมัญญปัจจัย เป็นนิสสยปัจจัย เป็นสัมปยุตตปัจจัยในเวลาแทงตลอด มีอินทรีย์อะไรเป็นใหญ่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 339
อินทรีย์แห่งปฏิเวธ (การแทงตลอด) ที่เป็นไปตามอินทรีย์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ชื่อว่า ปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน ฯ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยความรู้ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นไฉน ฯ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง มากไปด้วยความน้อมใจเชื่อ สัทธินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย ในเวลาแทงตลอด ปัญญินทรีย์เป็นใหญ่ อินทรีย์แห่งปฏิเวธที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ปฏิเวธ เพราะอรรถว่า เห็นด้วยอาการอย่างนี้ แม้บุคคลผู้แทงตลอดก็ย่อมเจริญ แม้ผู้เจริญก็ย่อมแทงตลอด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากไปด้วยความสงบ สมาธินทรีย์ เป็นใหญ่ ฯ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากไปด้วยความรู้ ปัญญินทรีย์ เป็นใหญ่ ฯ.
[๔๙๑] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต (* ผู้พ้นจากกิเลสได้ด้วยศรัทธา) เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 340
มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะอินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ.
[๔๙๒] บุคคลผู้เชื่อน้อมใจไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สัทธาธิมุต บุคคลทำให้แจ้งเพราะเป็นผู้ถูกต้องธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า กายสักขี บุคคลบรรลุแล้วเพราะเป็นผู้เห็นธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ บุคคลเชื่ออยู่ย่อมน้อมใจไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สัทธาธิมุต บุคคลถูกต้องฌานก่อน ภายหลังจึงการทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันเป็นที่ดับ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า กายสักขี ญาณความรู้ว่า สังขารเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข เป็นญาณอันบุคคลเห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ บุคคล ๓ จำพวกนี้ คือสัทธาธิมุตบุคคล ๑ กายสักขีบุคคล ๑ ทิฏฐิปัตตบุคคล ๑ พึงเป็นสัทธาธิมุตก็ได้ เป็นกายสักขีก็ได้ เป็นทิฏฐิปัตตะก็ได้ ด้วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย.
คำว่า พึงเป็น คือพึงเป็นอย่างไรเล่า.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลพึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง ฯ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต บุคคล ๓ จำพวกนี้เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 341
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง ฯ เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี บุคคล ๓ จำพวกนี้เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์อย่างนี้.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง ฯ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคล ๓ จำพวกนี้เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์อย่างนี้ คือสัทธาธิมุตบุคคล ๑ กายสักขีบุคคล ๑ ทิฏฐิปัตตบุคคล ๑ พึงเป็นสัทธาธิมุตก็ได้ เป็นกายสักก็ได้ เป็นทิฏฐิปัตตะก็ได้อย่างนี้.
บุคคล ๓ จำพวกนี้ คือสัทธาวิมุตบุคคล ๑ กายสักขีบุคคล ๑ ทิฏฐิปัตตบุคคล ๑ เป็นสัทธาธิมุตอย่างหนึ่ง เป็นกายสักขีอย่างหนึ่ง เป็นทิฏฐิปัตตะอย่างหนึ่ง เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง จึงเป็นสัทธาธิมุตบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง จึงเป็นกายสักขีบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง จึงเป็นทิฏฐิปัตตบุคคล บุคคล ๓ จำพวกนี้ คือสัทธาธิมุตบุคคล ๑ กายสักขีบุคคล ๑ ทิฏฐิปัตตบุคคล ๑ เป็นสัทธาธิมุตอย่างหนึ่ง เป็นกายสักขีอย่างหนึ่ง เป็นทิฏฐิปัตตะอย่างหนึ่ง อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 342
[๔๙๓] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธานุสารีบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย การเจริญอินทรีย์ ๔ ย่อมมีด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้โสดาปัตติมรรคด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธานุสารีบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงทำให้แจ้งโสดาปัตติผล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธาธิมุตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ ๔ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งโสดาปัตติผลด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้สกทาคามิมรรค ฯ ทำให้แจ้งสกทาคามิผล ได้อนาคามิมรรค ทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้อรหัตมรรค ทำให้แจ้งอรหัตผล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นสัทธาธิมุตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสัทธินทรีย์นั้นมี ๔ ฯ สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ ๔ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทำให้แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตบุคคล.
[๔๙๔] เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค เพราะเหตุนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 343
ท่านจึงกล่าวว่า เป็นกายสักขีบุคคล อินทรีย์ที่ไปตามสมาธินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ สัมปยุตตปัจจัย การเจริญอินทรีย์ ๔ ย่อมมีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ได้โสดาปัตติมรรคด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นกายสักขีบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสมาธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงทำให้แจ้งโสดาปัตติผล ฯ ได้สกทาคามิมรรค ทำให้แจ้งสกทาคามิผล ได้อนาคามิมรรค ทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้อรหัตมรรค ทำให้แจ้งอรหัตผล เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า เป็นกายสักขีบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามสมาธินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ ๔ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งทำให้แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นกายสักขีบุคคล.
[๔๙๕] เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นธรรมานุสารีบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี ๔ ฯ สัมปยุตตปัจจัย การเจริญอินทรีย์ ๔ ย่อมมีได้ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้โสดาปัตติมรรคด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นธรรมานุสารีบุคคล.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงทำให้แจ้งโสดาปัตติผล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นทิฏฐิปัตตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี ๔ ฯ สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ ๔ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งทำให้แจ้งโสดาปัตติผลด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ บุคคล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 344
ทั้งหมดนั้นเป็นทิฏฐิปัตตบุคคล เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้สกทาคามิมรรค ฯ ทำให้แจ้งสกทาคามิผล ได้อนาคามิมรรค ทำให้แจ้งอนาคามิผล ได้อรหัตมรรค ทำให้แจ้งอรหัตผล เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นทิฏฐิปัตตบุคคล อินทรีย์ที่เป็นไปตามปัญญินทรีย์นั้นมี ๔ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย อินทรีย์ ๔ เป็นอันบุคคลเจริญแล้ว เจริญดีแล้ว ด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งทำให้แจ้งอรหัตผลด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นทิฏฐิปัตตบุคคล.
[๔๙๖] ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญซึ่งเนกขัมมะ บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือจักบรรลุ ถึงแล้ว ย่อมถึง หรื จักถึง ได้แล้ว ย่อมได้ หรือจักได้ แทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือจักแทงตลอด ทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว ย่อมถูกต้อง หรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือจักถึงความชำนาญ ถึงความสำเร็จแล้ว ย่อมถึงความสำเร็จ หรือจักถึงความสำเร็จ ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความแกล้วกล้า บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
[๔๙๗] บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ ซึ่งความไม่พยาบาท ฯ อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน การกำหนดธรรม ญาณ ความปราโมทย์ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 345
อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา นิพพิทานุปัสสนา วิราคานุปัสสนา นิโรธานุปัสสนา ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ขยานุปัสสนา วยานุปัสสนา วิปริณามานุปัสสนา อนิมิตตานุปัสสนา อัปปณิหิตานุปัสสนา สุญญตานุปัสสนา อธิปัญญาธรรมวิปัสสนา ยถาภูตญาณทัสนะ อาทีนวานุปัสสนา ปฏิสังขานุปัสสนา วิวัฏฏนานุปัสสนา โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ ซึ่งสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ ซึ่งวิโมกข์ ๘ บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือจักบรรลุ ถึงแล้ว ย่อมถึง หรือจักถึง ได้แล้ว ย่อมได้ หรือจักได้ แทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือจักแทงตลอด ทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว ย่อมถูกต้อง หรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือจักถึงความชำนาญ ถึงความสำเร็จแล้ว ย่อมถึงความสำเร็จ หรือจักถึงความสำเร็จ ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความแกล้วกล้า บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
[๔๙๘] ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง บรรลุแล้ว ย่อมบรรลุ หรือจักบรรลุซึ่งปฏิสัมภิทา ๔ ฯ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะแล้วด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งแทงตลอดแล้ว ย่อมแทงตลอด หรือจัก แทงตลอดซึ่งวิชชา ๓ ฯ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 346
สัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทริย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วย สามารถแห่งปัญญินทรีย์.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งศึกษาแล้ว ย่อมศึกษา หรือจักศึกษา ซึ่งสิกขา ๓ ทำให้แจ้งแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง หรือจักทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว ย่อมถูกต้อง หรือจักถูกต้อง ถึงความชำนาญแล้ว ย่อมถึงความชำนาญ หรือจักถึงความชำนาญ ถึงความสำเร็จแล้ว ย่อมถึงความสำเร็จ หรือจักถึงความสำเร็จ ถึงความแกล้วกล้าแล้ว ย่อมถึงความแกล้วกล้า หรือจักถึงความแกล้วกล้า บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำให้แจ้งนิโรธ เจริญมรรค บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
[๔๙๙] การแทงตลอดสัจจะ ย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะด้วยอาการเท่าไร.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ ๔ บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะ ด้วยอาการ ๔ คือบุคคลย่อมแทงตลอดทุกขสัจเป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา แทงตลอดสมุทยสัจเป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ แทงตลอดนิโรธสัจเป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจเป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ ๔ นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ ๔ นี้เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 347
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะด้วยอาการเท่าไร.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ ๙ บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ ๙ คือย่อมแทงตลอดทุกขสัจเป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา แทงตลอดสมุทยสัจเป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ แทงตลอดนิโรธสัจจะเป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจเป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา การแทงตลอดด้วยการเจริญธรรมทั้งปวง การแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้สังขารทั้งปวง การแทงตลอดด้วยการละสังขารทั้งปวง และการแทงตลอดด้วยการเจริญมรรค ๔ และการแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งมรรค ๔ แห่งนิโรธ การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ ๙ นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ ๙ นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งสมาธินทรีย์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งปัญญินทรีย์.
จบทุติยภาณวาร
[๕๐๐] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏอย่างไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สังขารย่อมปรากฏโดยความสิ้นไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สังขารย่อมปรากฏโดยความเป็นของว่างเปล่า.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดย ความเป็นอนัตตา จิตย่อมมากด้วยอะไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 348
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตย่อมมากด้วยความน้อมใจเชื่อ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ จิตย่อมมากด้วยความสงบ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา จิตย่อมมากด้วยความรู้.
บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ มนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ มนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ ย่อมได้วิโมกข์ เป็นไฉน.
บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ ย่อมได้อนิมิตตวิโมกข์ มนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ ย่อมได้อัปปณิหิตวิโมกข์ มนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ ย่อมได้สุญญตวิโมกข์.
[๕๐๑] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามวิโมกข์นั้น มีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย มีกิจอันเดียวกันชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ใครเจริญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ ฯ ใครเจริญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ ฯ ใครเจริญ.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ อนิมิตตวิโมกขเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์นั้นมี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 349
ว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นเจริญ การเจริญวิโมกข์ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ปฏิบัติผิด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้นมี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ การเจริญวิโมกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ปฏิบัติผิด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ สุญญตวิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้นมี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ การเจริญวิโมกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ปฏิบัติผิด.
[๕๐๒] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงเป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามวิโมกข์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ในเวลาแทงตลอด วิโมกข์ไหนเป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามวิโมกข์นั้นมีเท่าไร ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่ากระไร ชื่อว่า ปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ ฯ ชื่อว่า ปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ วิโมกข์อะไรเป็นใหญ่ ฯ ชื่อว่า ปฏิเวธ เพราะอรรถว่ากระไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นผู้มากด้วยความน้อมใจเชื่อ อนิมิตตวิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 350
นั้นมี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอด อนิมิตตวิโมกข์ก็เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามอนิมิตตวิโมกข์นั้นก็มี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย สัมปยุตตปัจจัย มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่า มีกิจเป็นอันเดียวกัน ชื่อว่า ปฏิเวธ เพราะอรรถว่า เห็น แม้บุคคลผู้แทงตลอดอย่างนี้ ก็ชื่อว่า เจริญ แม้ผู้เจริญ ก็ชื่อว่า แทงตลอด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ เป็นผู้มากด้วยความสงบ อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้นมี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ มีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอด อัปปณิหิตวิโมกข์ก็เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามอัปปณิหิตวิโมกข์นั้นก็มี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ แม้ผู้เจริญ ก็ชื่อว่า แทงตลอด.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา เป็นผู้มากด้วยความรู้ สุญญตวิโมกข์เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งภาวนาที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้นมี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ มีกิจเป็นอันเดียวกัน แม้ในเวลาแทงตลอด สุญญตวิโมกข์ก็เป็นใหญ่ วิโมกข์แห่งการแทงตลอดที่เป็นไปตามสุญญตวิโมกข์นั้นก็มี ๒ ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย ฯ แม้ผู้เจริญ ก็ชื่อว่า แทงตลอด.
[๕๐๓] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง วิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ วิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา วิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง เพราะวิโมกข์อะไรมีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 351
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อนิมิตตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง เพราะอนิมิตตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นสัทธาธิมุต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง เพราะอัปปณิหิตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นกายสักขี เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สุญญตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง เพราะสุญญตวิโมกข์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงเป็นทิฏฐิปัตตะ.
[๕๐๔] บุคคลเชื่อน้อมใจไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สัทธาธิมุตบุคคล บุคคลทำให้แจ้งเพราะเป็นผู้ถูกต้องธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า กายสักขีบุคคล บุคคลถึงแล้วเพราะเป็นผู้เห็นธรรม เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐิปัตตบุคคล บุคคลเชื่อย่อมน้อมใจไป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สัทธาธิมุตบุคคล บุคคลถูกต้องฌานก่อน ภายหลังจึงทำให้แจ้งนิพพานอันเป็นที่ดับ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า กายสักขีบุคคล ญาณความรู้ว่า สังขารเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข เป็นญาณอันบุคคลเห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐิปัตตบุคคล.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้วหรือจักเจริญซึ่งเนกขัมมะ ฯ บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งเจริญแล้ว ย่อมเจริญ หรือจักเจริญ ซึ่งความไม่พยาบาท อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน ฯ.
ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่งกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย ทำให้แจ้งนิโรธ เจริญมรรค บุคคลทั้งหมดนั้นเป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 352
[๕๐๕] การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการเท่าไร.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ ๔ บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการ ๔ คือย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา แทงตลอดสมุทยสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ แทงตลอดนิโรธสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา แทงตลอดมรรคสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา การแทงตลอดสัจจะย่อมมีด้วยอาการ ๔ นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ ๔ นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการเท่าไร บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการเท่าไร.
การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ ๙ บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะได้ด้วยอาการ ๙ คือย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา ฯ และการแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้งซึ่งมรรค ๔ แห่งนิโรธ การแทงตลอดสัจจะย่อมมีได้ด้วยอาการ ๙ นี้ บุคคลแทงตลอดสัจจะด้วยอาการ ๙ นี้ เป็นสัทธาธิมุตด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เป็นกายสักขีด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นทิฏฐิปัตตะด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์.
[๕๐๖] เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมรู้ ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหนตามความเป็นจริง สัมมาทัศนะ (ความเห็นชอบ * สัมมาทัสสนะ สัมมาทิฏฐิ) ย่อมมีได้อย่างไร สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีแล้ว โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้นอย่างไร บุคคลย่อมละความสงสัยได้ที่ไหน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 353
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมรู้ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหน ตามความเป็นจริง ความเห็นชอบย่อมมีได้อย่างไร สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีแล้วโดยความเป็นทุกข์ ฯ.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมรู้ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหน ตามความเป็นจริง ความเห็นชอบย่อมมีได้อย่างไร ธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอันบุคคลเห็นดีแล้ว โดยความเป็นอนัตตา ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้นอย่างไร บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในที่ไหน.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมรู้ ย่อมเห็นนิมิต ตามความเป็นจริง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สัมมาทัศนะ สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีเเล้วโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้นอย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมรู้ ย่อมเห็น ความเป็นไป ตามความเป็นจริง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สัมมาทัศนะ สังขารทั้งปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดีแล้วโดยความเป็นทุกข์ ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้นอย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมรู้ ย่อม เห็นนิมิตและความเป็นไป ตามความเป็นจริง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สัมมาทัศนะ ธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอันบุคคลเห็นดีแล้ว โดยความเป็นอนัตตา ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้นอย่างนี้ บุคคลย่อมละความสงสัยได้ในสัมมาทัศนะนี้.
ธรรมเหล่านี้ คือยถาภูตญาณ สัมมาทัศนะ และกังขาวิตรณะ (ปัญญาเครื่องข้ามความสงสัย) มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 354
ธรรมเหล่านี้ คือยถาภูตญาณ สัมมาทัศนะ และกังขาวิตรณะ (ปัญญาเครื่องข้ามความสงสัย) มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
[๕๐๗] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา อะไรย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง นิมิตย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ความเป็นไปย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ทั้งนิมิตและความเป็นไปย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว.
ธรรมเหล่านี้ คือภยตูปัฏฐานปัญญา (ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว) อาทีนวญาณ และนิพพิทา มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือภยตูปัฏฐานปัญญา (ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว) อาทีนวญาณ และนิพพิทา มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คืออนัตตานุปัสสนา และสุญญตานุปัสสนา มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คืออนัตตานุปัสสนา และสุญญตานุปัสสนา มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
[๕๐๘] เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ญาณ คือการพิจารณาอะไรย่อมเกิดขึ้น.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ญาณ คือการพิจารณานิมิต ย่อมเกิดขึ้น เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ญาณ คือการพิจารณาความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 355
เป็นไปย่อมเกิดขึ้น เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ญาณ คือ การพิจารณาทั้งนิมิตและความเป็นไปย่อมเกิดขึ้น.
ธรรมเหล่านี้ คือมุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ และสังขารุเปกขาญาณ มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือมุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ และสังขารุเปกขาญาณ มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา จิตย่อมออกไปจากอะไร ย่อมแล่นไปในที่ไหน.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง จิตย่อมออกไปจากนิมิต ย่อมแล่นไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ จิตย่อมออกไปจากความเป็นไป ย่อมแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเป็นไป เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา จิตย่อมออกไปจากนิมิตและความเป็นไป ย่อมแล่นไปในนิพพานธาตุอันเป็นที่ดับ ซึ่งไม่มีนิมิต ไม่มีความเป็นไป.
ธรรมเหล่านี้ คือพหิทธาวุฏฐานวิวัฏฏนปัญญา (ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปภายนอก) และโคตรภูธรรม มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันเเต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือพหิทธาวุฏฐานวิวัฏฏนปัญญา (ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปภายนอก) และโคตรภูธรรม มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ย่อมหลุดพ้นไปด้วยวิโมกข์อะไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 356
เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมหลุดพ้นไปด้วยอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมหลุดพ้นไปด้วยอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมหลุดพ้นไปด้วยสุญญตวิโมกข์.
ธรรมเหล่านี้ คือทุภโตวุฏฐานวิวัฏฏนปัญญา (ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปจากส่วนทั้งสอง ) และมรรคญาณ มีอรรถต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
ธรรมเหล่านี้ คือ ทุภโตวุฏฐานวิวัฏฏนปัญญา (ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปจากส่วนทั้งสอง) และมรรคญาณ มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.
[๕๐๙] วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการเท่าไร ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการเท่าไร.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ ๔ ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ ๗.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ ๔ เป็นไฉน.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ ๔ เหล่าไหน.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ ๔ คือด้วยความเป็นใหญ่ ๑ ด้วยความตั้งมั่น ๑ ด้วยความน้อมจิตไป ๑ ด้วยความนำออกไป ๑.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความเป็นใหญ่อย่างไร.
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อนิมิตตวิโมกข์ย่อมเป็นใหญ่ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ย่อมเป็นใหญ่ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา สุญญตวิโมกข์ ย่อมเป็นใหญ่ วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความเป็นใหญ่อย่างนี้.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความตั้งมั่นอย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 357
บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมตั้งจิตไว้มั่นด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความตั้งมั่นอย่างนี้.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความน้อมจิตไปอย่างไร.
บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมน้อมจิตไปด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความน้อมจิตไปอย่างนี้.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความนำออกไปอย่างไร.
บุคคลเมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับด้วยสามารถแห่งอนิมิตตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับด้วยสามารถแห่งอัปปณิหิตวิโมกข์ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับด้วยสามารถแห่งสุญญตวิโมกข์ วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยความนำออกไปอย่างนี้.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะต่างกันด้วยอาการ ๔ เหล่านี้.
[๕๑๐] วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ ๗ เป็นไฉน.
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ ๗ คือด้วยความประชุมลง ๑ ด้วยความบรรลุ ๑ ด้วยความได้ ๑ ด้วยความแทงตลอด ๑ ด้วยความทำให้แจ้ง ๑ ด้วยความถูกต้อง ๑ ด้วยความตรัสรู้ ๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 358
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง ด้วยความ บรรลุ ด้วยความได้ ด้วยความแทงตลอด ด้วยความทำให้แจ้ง ด้วยความ ถูกต้อง ด้วยความตรัสรู้ อย่างไร.
บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ย่อมพ้นจากนิมิต เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ บุคคลย่อมพ้นจากอารมณ์ใด ย่อมไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์ใด เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยความประชุมลง ฯ ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้.
บุคคลมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมพ้นจากความปรารถนาอันเป็นที่ตั้ง เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์ใด เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตใดไม่ตั้งอยู่ในนิมิตนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง ฯ ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้.
บุคคลมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมพ้นจากความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตว่างเปล่าด้วยวิโมกข์ใด เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอนิมิตตวิโมกข์ บุคคลไม่มีนิมิตเพราะนิมิตใดไม่ตั้งอยู่ในนิมิตนั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์ บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น เพราะเหตุนั้น วิโมกข์นั้นจึงเป็นสุญญตวิโมกข์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 359
วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะเดียวกัน ด้วยความประชุมลง ฯ ด้วยความตรัสรู้อย่างนี้ วิโมกข์ ๓ ย่อมมีในขณะเดียวกันด้วยอาการ ๗ นี้.
[๕๑๑] วิโมกข์มีอยู่ ธรรมอันเป็นประธานมีอยู่ ธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์มีอยู่ ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์มีอยู่ ธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์มีอยู่ วิโมกข์วิวัฏมีอยู่ การเจริญวิโมกข์มีอยู่ ความสงบระงับแห่งวิโมกข์มีอยู่.
วิโมกข์เป็นไฉน คือสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์.
สุญญตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นสุข ฯ อนัตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นตัวตน ฯ นิพพิทานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเพลิดเพลิน ฯ วิราคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความกำหนัด ฯ นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยเป็นเหตุเกิด ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความถือมั่น ฯ อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นนิมิต ฯ อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นที่ตั้ง ฯ สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นทุกอย่าง ฯ.
ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากความยึดมั่นทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 360
ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯ ในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากความยึดมั่นทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ นี้เป็นสุญญตวิโมกข์.
[๕๑๒] อนิมิตตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมาย (นิมิต) โดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอนิมิตตวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นสุข ฯ อนัตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นตัวตน ฯ นิพพิทานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเพลิดเพลิน ฯ วิราคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความกำหนัด ฯ นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นเหตุเกิด ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความถือมั่น ฯ อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายทุกอย่าง ฯ อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นที่ตั้ง ฯ สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความยึดมั่น ฯ.
ญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่มีนิมิตในรูป ย่อมพ้นจากนิมิตทุกอย่าง ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในรูป ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นที่ตั้ง ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความยึดมั่น ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 361
ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯ ในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากเครื่องหมาย (นิมิต) โดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่มีนิมิตในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากนิมิตทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความเป็นที่ตั้ง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากเครื่องหมายโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ นี้เป็นอนิมิตตวิโมกข์.
[๕๑๓] อัปปณิหิตวิโมกข์เป็นไฉน อนิจจานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ทุกขานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสุข ฯ อนัตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นตัวตน ฯ นิพพิทานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเพลิดเพลิน ฯ วิราคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความกำหนัด ฯ นิโรธานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นเหตุเกิด ฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งไว้โดยความถือมั่น อนิมิตตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นเครื่องหมาย (นิมิต) ฯ อัปปณิหิตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งทุกอย่าง ฯ สุญญตานุปัสสนาญาณ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความยึดมั่น ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในรูป ย่อมพ้นจากที่ตั้งทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในรูป ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 362
จึงชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯ ในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความเป็นสภาพเที่ยง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความไม่มีที่ตั้งในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากที่ตั้งทุกอย่าง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ญาณ คือการพิจารณาเห็นความว่างเปล่าในชราและมรณะ ย่อมพ้นจากที่ตั้งโดยความยึดมั่น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ นี้เป็นอัปปณิหิตวิโมกข์.
[๕๑๔] ธรรมอันเป็นประธานเป็นไฉน ธรรมอันเป็นไปในฝักฝ่ายความตรัสรู้ เป็นกุศล ไม่มีโทษ เกิดในมรรควิโมกข์นั้น นี้เป็นธรรมอันเป็นประธาน.
ธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์เป็นไฉน นิพพานอันเป็นที่ดับ อันเป็นอารมณ์ของธรรมเหล่านั้น นี้เป็นธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์.
ธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์เป็นไฉน อกุศลมูล ๓ ทุจริต ๓ อกุศลธรรมแม้ทุกอย่าง เป็นข้าศึกแก่วิโมกข์ นี้เป็นธรรมอันเป็นข้าศึกแก่วิโมกข์.
ธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์เป็นไฉน กุศลมูล ๓ สุจริต ๓ กุศลธรรมแม้ทุกอย่าง เป็นธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์ นี้ธรรมอันอนุโลมต่อวิโมกข์.
[๕๑๕] วิโมกขวิวัฏเป็นไฉน สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏ สัจจวิวัฏ บุคคลหมายรู้หลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัญญาวิวัฏ บุคคลคิดอยู่หลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นเจโตวิวัฏ บุคคลรู้แจ้งหลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นจิตตวิวัฏ บุคคลทำความรู้หลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นญาณวิวัฏ บุคคลปล่อยวางหลีกออกไป เพราะเหตุนั้น จึงเป็นวิโมกขวิวัฏ บุคคลหลีกออกไปในธรรมอันมีความถ่องแท้ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นสัจจวิวัฏ สัญญาวิวัฏมีในที่ใด เจโตวิวัฏก็มีในที่นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 363
เจโตวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏมีในที่ใด จิตตวิวัฏก็มีในที่นั้น จิตตวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฎมีในที่ใด ญาณวิวัฏก็มีในที่นั้น ญาณวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏมีในที่ใด วิโมกขวิวัฏก็มีในที่นั้น วิโมกขวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏก็มีในที่นั้น สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏมีในที่ใด สัจจวิวัฏมีในที่นั้น สัจจวิวัฏมีในที่ใด สัญญาวิวัฏ เจโตวิวัฏ จิตตวิวัฏ ญาณวิวัฏ วิโมกขวิวัฏก็มีในที่นั้น นี้เป็นวิโมกขวิวัฏ.
[๕๑๖] การเจริญวิโมกข์เป็นไฉน การเสพ การเจริญ การทำให้มากซึ่งปฐมฌาน ฯ ทุติยฌาน ฯ ตติยฌาน ฯ จตุตถฌาน ฯ อากาสานัญจายตนสมาบัติ ฯ วิญญานัญจายตนสมาบัติ ฯ อากิญจัญญายตนสมาบัติ ฯ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ฯ โสดาปัตติมรรค ฯ สกทาคามิมรรค ฯ อนาคามิมรรค ฯ การเสพ การเจริญ การทำให้มากซึ่งอรหัตมรรค นี้เป็นการเจริญวิโมกข์.
ความสงบระงับแห่งวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน ฯ ทุติยฌาน ฯ ตติยฌาน ฯ จตุตถฌาน ฯ อากาสานัญจายตนสมาบัติ ฯ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ ฯ อากิญจัญญายตนสมาบัติ ฯ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ฯ โสดาปัตติผลแห่งโสดาปัตติมรรค สกทาคามิผลแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิผลแห่งอนาคามิมรรค อรหัตผลแห่งอรหัตมรรค นี้เป็นความสงบระงับแห่งวิโมกข์.
จบตติยภาณวาร
จบวิโมกขกถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 364
วิโมกขกถา
อรรถกถาวิโมกขุเทศ
บัดนี้ ถึงคราวที่จะพรรณนาไปตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งวิโมกขกถา ซึ่งท่านกล่าวในลำดับอินทริยกถา จริงอยู่ วิโมกขกถานี้ ท่านกล่าวในลำดับอินทริยกถา เพราะผู้ประกอบอินทริยภาวนาเป็นผู้ได้วิโมกข์ ก็พระสารีบุตรเถระเมื่อกล่าววิโมกขกถานั้น ทำสุตตันตเทศนาให้เป็นหัวหน้า แล้วกล่าวเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้น ดังต่อไปนี้.
ในบทมีอาทิว่า สุญฺโต วิโมกฺโข (สุญญตวิโมกข์) ได้แก่ อริยมรรคอันเป็นไป เพราะทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ โดยอาการแห่งความเป็นของสูญ ชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ สุญญตวิโมกข์นั้น ชื่อว่า สุญญตะ เพราะเกิดธาตุสูญ (เกิดขึ้นในธาตุที่ว่างเปล่า) ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะพ้นจากกิเลสทั้งหลาย.
โดยนัยนี้นั่นแหละพึงทราบว่า วิโมกข์เป็นไปเพราะทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ โดยอาการหานิมิตมิได้ ชื่อว่า อนิมิตฺโต ( อนิมิตตวิโมกข์) วิโมกข์เป็นไป เพราะทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ โดยอาการไม่มีที่ตั้ง ชื่อว่า อปฺปณิหิโต (อัปปณิหิตวิโมกข์).
ภิกษุรูปหนึ่งพิจารณาสังขารทั้งหลาย โดยความไม่เที่ยงแต่ต้นนั่นเอง อนึ่ง เพราะเพียงพิจารณาด้วยความไม่เที่ยงเท่านั้น ยังไม่เป็นการออกไปแห่งมรรค ควรพิจารณาโดยความเป็นทุกข์บ้าง โดยความเป็นอนัตตาบ้าง หากเมื่อภิกษุนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นการออกไปแห่งมรรค ในกาลที่พิจารณาโดยความไม่เที่ยง ภิกษุนี้ชื่อว่า อยู่โดยความไม่เที่ยง แล้วออกไปโดย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 365
ความไม่เที่ยง อนึ่ง หากว่าการออกไปแห่งมรรค ในกาลที่ภิกษุนั้นพิจารณาโดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ภิกษุนี้ชื่อว่า อยู่โดยความไม่เที่ยง แล้วออกไปโดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา แม้ในการอยู่โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตาแล้วออกไป ก็มีนัยนี้.
อนึ่ง ในอุเทศนี้ แม้ภิกษุใดอยู่โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา หากในเวลาออกย่อมออกโดยความไม่เที่ยง แม้ทั้ง ๓ นี้ ก็เป็นผู้มากไปด้วยอธิโมกข์ ย่อมได้สัทธินทรีย์ ย่อมพ้นด้วยอนิมิตตวิโมกข์ เป็นผู้ระลึกศรัทธา (สัทธานุสารี) ในขณะปฐมมรรค เป็นผู้พ้นจากศรัทธา (สัทธาธิมุต) ในฐานะ ๗ อนึ่ง หากออกไปโดยความเป็นทุกข์ แม้ชนทั้ง ๓ ก็เป็นผู้มากด้วยปัสสัทธิ ย่อมได้สมาธินทรีย์ ย่อมพ้นด้วยอัปปณิหิตวิโมกข์ เป็นกายสักขี (ทำให้แจ้งเพราะถูกต้องธรรม) ในที่ทั้งปวง อนึ่ง อรูปฌานในกายสักขีนี้ เป็นบาทของภิกษุใด ภิกษุนั้นเป็นอุภโตภาควิมุตในผลอันเลิศ แต่นั้นเป็นการออกโดยความเป็นอนัตตาของชนเหล่านั้น ชนแม้ทั้ง ๓ ก็เป็นผู้มากด้วยความรู้ ย่อมได้ปัญญินทรีย์ ย่อมพ้นด้วยสุญญตวิโมกข์ เป็นผู้ระลึกถึงธรรม (ธรรมานุสารี) ในขณะปฐมมรรค เป็นผู้ถึงทิฏฐิ (ทิฏฐิปัตตะ) ในฐานะ ๖ เป็นผู้พ้นด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุต) ในผลอันเลิศ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามรรคย่อมได้ชื่อด้วยเหตุ ๕ ประการ คือด้วยเป็นไปกับหน้าที่ ๑ ด้วยเป็นข้าศึก ๑ ด้วยมีคุณ ๑ ด้วยอารมณ์ ๑ ด้วยการมา ๑ หากภิกษุพิจารณาสังขาร (สังขารุเบกขาญาณ) โดยความไม่เที่ยงแล้วออกจากความวางเฉยในสังขาร ย่อมพ้นด้วยอนิมิตตวิโมกข์ หากพิจารณาโดยความเป็นทุกข์แล้วออก ย่อมพ้นด้วยอัปปณิหิตวิโมกข์ หากพิจารณาโดยความเป็นอนัตตาแล้วออกไป ย่อมพ้นด้วยสุญญตวิโมกข์ นี้ชื่อว่า เป็นชื่อโดยความเป็นไปกับหน้าที่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 366
อนึ่ง วิโมกข์ (มรรค) ชื่อว่า อนิมิตตะ เพราะทำการแยกความเป็นฆนะ (ก้อน) ของสังขารทั้งหลายด้วยอนิจจานุปัสสนา แล้วละนิมิตว่าเที่ยง นิมิตว่ายั่งยืน นิมิตว่าคงที่ออกไปเสีย ชื่อว่า อัปปณิหิตะ เพราะละสุขสัญญาด้วยทุกขานุปัสสนา แล้วยังความปรารถนาที่ตั้งไว้ให้แห้งไป แล้วออกไปเสีย ชื่อว่า สุญญตะ เพราะละความสำคัญว่าตน สัตว์ บุคคลด้วยอนัตตานุปัสสนา แล้วเห็นสังขารทั้งหลาย โดยความเป็นของสูญ นี้ชื่อว่า เป็นชื่อโดยความเป็นข้าศึก.
อนึ่ง ชื่อว่า สุญญตะ เพราะความเป็นของสูญจากราคะเป็นต้น ชื่อว่า อนิมิตตะ เพราะไม่มีรูปนิมิตเป็นต้น หรือราคะนิมิตเป็นต้น ชื่อว่า อัปปณิหิตะ เพราะไม่มีที่ตั้งของราคะเป็นต้น นี้ชื่อว่า เป็นชื่อโดยความมีคุณของมรรคนั้น.
มรรคนี้นั้น ย่อมทำนิพพานอันเป็นของสูญ ไม่มีนิมิต ไม่มีที่ตั้ง ให้เป็นอารมณ์ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สุญญตะ อนิมิตตะ อัปปณิหิตะ นี้ชื่อว่า เป็นชื่อโดยความเป็นอารมณ์.
อนึ่ง การมามี ๒ อย่าง คือวิปัสสนาคมนะ (การมาแห่งวิปัสสนา) ๑ มัคคาคมนะ (การมาแห่งมรรค) ๑.
การมาแห่งวิปัสสนาย่อมได้ในมรรค การมาแห่งมรรคย่อมได้ในผล เพราะอนัตตานุปัสสนา ชื่อว่า สุญญตะ มรรคแห่งสัญญตวิปัสสนา ชื่อว่า สุญญตะ ผลแห่งสุญญตมรรค ชื่อว่า สุญญตะ. อนิจจานุปัสสนา ชื่อว่า อนิมิตตะ มรรคแห่งอนิมิตตานุปัสสนา ชื่อว่า อนิมิตตะ ก็ชื่อนี้ย่อมได้ด้วยอภิธรรมปริยาย แต่ในสุตตันตปริยายก็ได้ด้วย จริงอยู่ อาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ในสุตตันตปริยายนั้นว่า พระโยคาวจรทำนิพพานอันเป็นโคตรภูญาณ หานิมิตมิได้ให้เป็นอารมณ์ เป็นชื่อที่ไม่มีนิมิตตั้งอยู่ในอาคมนียฐาน (ที่เป็นที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 367
มาถึง ฐานะที่จะพึงถึงเอง) แล้วให้ชื่อแก่มรรค ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า มรรคเป็นอนิมิตตะ ควรกล่าวว่า ผลเป็นอนิมิตตะด้วยการมาแห่งมรรค ทุกขานุปัสสนา ชื่อว่า อัปปณิหิตะ เพราะยังการตั้งไว้ในสังขารทั้งหลายให้แห้งไป มรรคแห่งอัปปณิหิตวิปัสสนา ชื่อว่า อัปปณิหิตะ ผลแห่งอัปปณิหิตมรรค ชื่อว่า อัปปณิหิตะ เพราะเหตุนั้น วิปัสสนาย่อมให้ชื่อแห่งมรรคของตนอย่างนี้ มรรคย่อมให้ชื่อของตนแก่ผล นี้ชื่อว่า เป็นชื่อโดยการมาถึง พระโยคาวจรย่อมกำหนดคุณวิเศษแห่งวิโมกข์ จากความวางเฉยในสังขาร (สังขารุเบกขาญาณ) ด้วยประการฉะนี้.
พระสารีบุตรเถระ ครั้นยกวิโมกข์อันเป็นมหาวัตถุ ๓ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ขึ้นแสดงอย่างนี้ประสงค์จะชี้แจงถึงวิโมกข์แม้อื่นอีก ด้วยสามารถการชี้แจงวิโมกข์นั้นจึงกล่าวคำมีอาทิว่า อปิจ อฏฺสฏฺี วิโมกฺขา (อีกอย่างหนึ่ง วิโมกข์ ๖๘) ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อปิจ เป็นบทแสดงถึงปริยายอื่น วิโมกข์ เหล่านั้นมี ๖๘ ได้อย่างไร มี ๗๕ มิใช่หรือ มี ๗๕ ตามเสียงเรียกร้องจริงหรือ ไม่ควรนับวิโมกข์ ๓ เหล่านี้ เพราะชี้แจงวิโมกข์อื่นเว้นวิโมกข์ ๓ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วและเพราะกั้นวิโมกข์เหล่านั้น แม้วิโมกข์ ๓ มี อัชฌัตตวิโมกข์เป็นต้นก็ไม่ควรนับ เพราะหยั่งลงภายในด้วยกล่าวโดยพิสดาร ๔ ส่วน อัปปณิหิตวิโมกข์ในบทนี้ว่า ปณิหิโต วิโมกฺโข อปฺปณิหิโต วิโมกฺโข (ปณิหิตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์) ก็ไม่ควรนับ เพราะมีชื่ออย่างเดียวกันด้วยการยกขึ้นแสดงเป็นครั้งแรก เมื่อนำวิโมกข์ ๗ อย่างเหล่านี้ออกอย่างนี้แล้ว ก็เหลือวิโมกข์ ๖๘ หากถามว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุไรจึงยกวิโมกข์ ๓ มีสุญญตวิโมกข์เป็นต้นขึ้นแสดงเล่า ตอบว่า เพื่อหยิบยกขึ้นโดยอุเทศ แล้วทำการชี้แจงวิโมกข์เหล่านั้น อนึ่ง วิโมกข์ ๓ มี อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นต้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 368
(วิโมกข์มีการออกจากภายใน) ท่านยกขึ้นแสดงด้วยอำนาจแห่งหมู่อันเป็นมูลเหตุเว้นประเภทเสีย พึงทราบแม้อัปปณิหิตวิโมกข์ ท่านก็ยกขึ้นแสดงอีกด้วยอำนาจเป็นปฏิปักษ์ของปณิหิตวิโมกข์.
พึงทราบวินิจฉัยในอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์เป็นต้นดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า อชฺฌตฺตวุฏฺาโน (อัชฌัตตวุฏฐานะ) เพราะอรรถว่า ออกจากภายใน.
ชื่อว่า อนุโลมา (อนุโลม) เพราะอรรถว่า คล้อยตาม.
ชื่อว่า อชฺฌตฺตวุฏฺานปฏิปฺปสฺสทฺธิ (ระงับจากอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์) เพราะอรรถว่า ระงับออกไปแห่งการออกจากภายใน.
บทว่า รูปี (ภิกษุผู้มีรูป) คือรูปอันเป็นรูปฌานให้เกิดขึ้นในอวัยวะมีผมเป็นต้น ในภายใน ชื่อว่า รูปี (รูป) เพราะภิกษุมีรูป เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ผู้มีรูป.
บทว่า รูปานิ ปสฺสติ (ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย) ภิกษุเห็นรูป คือเห็นรูปมีนีลกสิณเป็นต้นในภายนอกด้วยญาณจักษุ ด้วยบทนี้ ท่านแสดงถึงการได้ฌานในกสิณทั้งหลายอันมีวัตถุในภายในและภายนอก.
บทว่า อชฺฌตฺตํ อรูปสญฺี (ภิกษุผู้ไม่มีความสำคัญว่ารูปในภายใน) คือภิกษุไม่มีความสำคัญว่า รูปในภายใน ความว่า มีรูปาวจรฌานยังไม่เกิดในผมเป็นต้นของตน ด้วยบทนี้ท่านทำบริกรรมในภายนอกแล้วจึงแสดงฌานที่ได้แล้วในภายนอกนั่นเอง.
บทว่า สุภนฺเตว อธิมุตฺโต (น้อมใจไปในธรรมส่วนงามเท่านั้น) คือน้อมไปในอารมณ์ว่างามเท่านั้น ในบทนั้น ความผูกใจว่างามไม่มีในอัปปนาภายในแม้โดยแท้ แต่ภิกษุใดแผ่สัตตารมณ์ไปโดยอาการเป็นของไม่น่าเกลียดอยู่ เพราะภิกษุนั้นเป็นผู้น้อมใจไปว่างามเท่านั้น ฉะนั้นท่านจึงยกขึ้นแสดงอย่างนี้.
ชื่อว่า สมยวิโมกฺโข (สมยวิโมกข์) เพราะมีวิกขัมภนวิมุตติในสมัยที่แนบแน่นแล้วๆ.
สมยวิโมกข์นั้นนั่นแล ชื่อว่า สามยิโก (สามยิกวิโมกข์) เพราะ วิโมกข์นั้นประกอบแล้วในสมัยที่แนบแน่นแล้วนั่นเอง ด้วยสามารถทำกิจของตน ปาฐะว่า สามายิโก ก็มี.
ชื่อว่า กุปฺโป (กุปปะ) เพราะสามารถกำเริบได้ คือทำลายได้.
ชื่อว่า โลกิโก (โลกิกะ) เพราะประกอบไว้ในโลกโดยไม่ก้าวล่วงโลก ปาฐะว่า โลกิโย ก็มี.
ชื่อว่า โลกุตฺตโร (โลกุตระ) เพราะข้ามโลกหรือข้ามโลกได้แล้ว.
ชื่อว่า สาสโว (สาสวะ)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 369
เพราะมีอาสวะด้วยการทำให้เป็นอารมณ์.
ชื่อว่า อนาสโว (อนาสวะ) เพราะไม่มีอาสวะด้วยการทำให้เป็นอารมณ์และด้วยการประกอบร่วม.
ชื่อว่า สามิโส (สามิสะ) เพราะมีอามิส กล่าวคือ รูป.
ชื่อว่า นิรามิสา นิรามิสตโร (นิรามิสา นิรามิสตระ) เพราะไม่มีอามิสยิ่งกว่าไม่มีอามิส เพราะละรูปและอรูปได้โดยประการทั้งปวง.
บทว่า ปณิหิโต (ปณิหิตะ) คือตั้งไว้แล้ว ปรารถนาแล้วด้วยอำนาจแห่งตัณหา.
ชื่อว่า สญฺุตฺโต (สัญญุตะ) เพราะประกอบแล้วด้วยสังโยชน์ด้วยการทำให้เป็นอารมณ์.
บทว่า เอกตฺตวิโมกฺโข (เอกัตตวิโมกข์) ได้แก่ วิโมกข์ที่มีสภาพอย่างเดียวกัน เพราะไม่งอกงามด้วยกิเลสทั้งหลาย.
บทว่า สญฺาวิโมกฺโข (สัญญาวิโมกข์) คือวิปัสสนาญาณนั้นแหละ ชื่อว่า สัญญาวิโมกข์ เพราะพ้นจากสัญญาวิปริต.
วิปัสสนาญาณนั้นแหละ ชื่อว่า ญาณวิโมกข์ เพราะวิโมกข์ คือญาณนั้นแหละด้วยอำนาจพ้นจากความลุ่มหลง.
บทว่า สีติสิยาวิโมกฺโข (สีติสิยาวิโมกข์) คือความพ้นเป็นไปแล้วว่า วิปัสสนาญาณนั้นแหละพึงเป็นความเย็น ชื่อว่า สีติสิยาวิโมกข์ ปาฐะว่า สีติสิกาวิโมกฺโข ก็มี อาจารย์ทั้งหลายพรรณนาความแห่งบทนั้นว่า ความพ้นเพราะความเป็นของเย็น.
บทว่า ฌานวิโมกฺโข (ฌานวิโมกข์) ได้แก่ วิโมกข์ คือฌานนั้นเองอันมีประเภทเป็นอุปจาระและอัปปนา และมีประเภทเป็นโลกิยะและโลกุตระ.
บทว่า อนุปาทา จิตฺตสฺส วิโมกฺโข (อนุปาทาจิตตวิโมกข์) ได้แก่ ความพ้นแห่งจิต เพราะไม่ยึดมั่น คือไม่ทำการถือ.
บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาวิโมกขุเทศ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 370
อรรถกถาวิโมกขนิเทศ
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศแห่งอุเทศ มีอาทิว่า กตโม (เป็นไฉน) ดังต่อไปนี้.
บทว่า อิติปฏิสญฺจิกฺขติ (ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้) คือพิจารณาเห็นอย่างนี้.
บทว่า สุญฺมิทํ (นามรูปนี้ว่าง) คือขันธบัญจกนี้ว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากความเป็นตัวตน หรือจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺเตน วา (จากความเป็นตัวตน) คือว่างจากความเป็นตัวตน เพราะไม่มีตัวตนที่พวกคนโง่ (คนพาล) พากันกำหนด.
บทว่า อตฺตนิเยน วา (และจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน) คือและว่างจากสิ่งที่เป็นของของตนที่กำหนดไว้นั้น ความไม่มีสิ่งที่เนื่องด้วยตน เพราะไม่มีตนนั้นเอง อนึ่ง ชื่อว่าสิ่งที่เนื่องด้วยตนจะพึงเป็นของเที่ยง หรือพึงเป็นความสุข แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็ไม่มี ท่านกล่าวถึงอนิจจานุปัสสนา ด้วยการปฏิเสธสิ่งที่เป็นของเที่ยง ทุกขานุปัสสนา ด้วยการปฏิเสธความสุข.
บทว่า สุญฺมิทํ อตฺเตนวา (นามรูปนี้ว่างจากความเป็นตัวตน) ท่านกล่าวถึงอนัตตานุปัสสนานั่นเอง.
บทว่า โส (เธอ) คือภิกษุนั้นเห็นแจ้งด้วยอนุปัสสนา ๓ อย่างนี้.
บทว่า อภินิเวสํ น กโรติ (ไม่ทำความยึดมั่น) คือไม่ทำความยึดมั่นว่าตนด้วยอำนาจแห่งอนัตตานุปัสสนา.
บทว่า นิมิตฺตํ น กโรติ (ไม่ทำเครื่องกำหนดหมาย) คือไม่ทำเครื่องกำหนดหมายว่าเที่ยงด้วยอำนาจแห่งอนิจจานุปัสสนา.
บทว่า ปณิธิํ น กโรติ (ไม่ทำความปรารถนา ไม่ทำความตั้งไว้) คือไม่ทำความปรารถนาด้วยอำนาจแห่งทุกขานุปัสสนา.
วิโมกข์ ๓ เหล่านี้ย่อมได้ด้วยอำนาจแห่งตทังคปหานในขณะแห่งวิปัสสนา โดยปริยาย แต่ย่อมได้ด้วยอำนาจแห่งสมุจเฉทปหานในขณะแห่งมรรค โดยตรง.
ฌาน ๔ เป็น อัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ เพราะออกจากนิวรณ์เป็นต้นในภายใน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 371
อรูปสมาบัติ ๔ ชื่อว่า พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ เพราะออกจากอารมณ์ทั้งหลาย แม้อารมณ์ท่านก็กล่าวว่า ภายนอก ในบทนี้เหมือนอายตนะภายนอก.
วิโมกข์ทั้ง ๒ นี้ เป็นวิกขัมภนวิโมกข์ ส่วน ทุภโตวุฏฐานวิโมกข์เป็นสมุจเฉทวิโมกข์
ท่านกล่าวการออกจากภายในโดยสรุป ด้วยบทมีอาทิว่า นีวรเณหิ วุฏฺาติ (ออกจากนิวรณ์) ออกจากนิวรณ์ทั้งหลาย.
ด้วยบทมีอาทิว่า รูปสญฺาย (จากรูปสัญญา) ท่านไม่กล่าวถึงการออกจากนิวรณ์นั้น เพราะการก้าวล่วงอารมณ์มีกสิณเป็นต้นปรากฏชัดแล้ว จึงกล่าวถึงการก้าวล่วงรูปสัญญาเป็นต้นดังที่ท่านกล่าวแล้วในพระสูตรทั้งหลาย.
บทว่า สกฺกายทิฏฺิวิจิกิจฺฉาสีลพฺพตปรามาสา เป็นบทสมาส ตัดบทว่า สกฺกายทิฏฺิยา (จากสักกายทิฏฐิ) วิจิกิจฺฉาย (จากวิจิกิจฉา) สีลพฺพตปรามาสา (จากสีลัพพตปรามาส) นี้แลเป็นปาฐะ.
ด้วยบทว่า วิตกฺโก จ (วิตก) เป็นอาทิ ท่านกล่าวถึงอุปจารภูมิแห่งฌานและสมาบัติ.
ด้วยบทว่า อนิจฺจานุปสฺสนา (อนิจจานุปัสสนา) เป็นอาทิท่านกล่าวถึงวิปัสสนาอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งมรรค ๔.
บทว่า ปฏิลาโภ วา (การได้) ชื่อว่า ปฏิลาโภ เพราะขวนขวาย ปรารถนาได้ด้วยถึงความชำนาญ (วสี) ๕ อย่าง เพราะความขวนขวายในฌานและความขวนขวายในสมาบัติทั้งปวงเป็นความระงับด้วยถึงความชำนาญ (วสี) ฉะนั้น การได้ ท่านจึงกล่าวว่า วิโมกข์เป็นความระงับ (ปฏิปัสสัทธิวิโมกข์) ส่วนวิบากเป็นความระงับฌานและสมาบัติ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นความระงับโดยตรงทีเดียว แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า การได้ฌานและสมาบัติเพราะความขวนขวายในอุปจารสงบ เพราะฉะนั้นการได้ฌานและสมาบัติท่านจึงกล่าวว่า ปฏิปัสสัทธิวิโมกข์ ความพ้นเป็นความระงับ.
บทว่า อชฺฌตฺตํ (ในภายใน) คือเป็นไปเพราะเนื่องกับตน.
บทว่า ปจฺจตฺตํ (เฉพาะตน) คือเป็นไปเฉพาะตน.
ท่านแสดงภายในเนื่องด้วยตน แม้ด้วยบททั้งสอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 372
บทว่า นีลนิมิตฺตํ (นิมิตสีเขียว) คือสีเขียวนั่นเอง.
บทว่า นีลสญฺํ ปฏิลภติ (ได้นีลสัญญา) คือได้สัญญาว่าสีเขียวในนีลนิมิตนั้น.
บทว่า สุคฺคหิตํ กโรติ (ทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว) คือทำให้เป็นอันถือไว้ด้วยดีในบริกรรมภูมิ.
บทว่า สูปธาริตํ อุปธาเรติ (ทรงจำไว้ดีแล้ว) คือทรงจำทำไว้ด้วยดีในอุปจารภูมิ.
บทว่า สฺวาวตฺถิตํ อวตฺถาเปติ (กำหนดไว้ดีแล้ว) คือตัดสินด้วยดีในอัปปนาภูมิ ปาฐะว่า ววตฺถาเปติ ก็มี.
จริงอยู่ ภิกษุเมื่อทำนีลบริกรรมในภายในย่อมทำที่ผม น้ำดี หรือดวงตา.
บทว่า พหิทฺธา นีลมิตฺเต ในนิมิตสีเขียวภายนอก คือในนีลกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง แห่งดอกไม้สีเขียว ผ้าสีเขียว ธาตุสีเขียว.
บทว่า จิตฺตํ อุปสํหรติ (ย่อมน้อมจิตไป) คือน้อมจิตเข้าไป.
แม้ในสีเหลืองเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อาเสวติ ย่อมเสพ คือเสพสัญญานั้นแหละแต่ต้น.
บทว่า ภาเวติ (เจริญ) คือย่อมเจริญ.
บทว่า พหุลีกโรติ (ทำให้มากๆ) คือทำบ่อยๆ.
บทว่า รูปํ ได้แก่ รูปมีนิมิตสีเขียว.
บทว่า รูปสญฺี (ผู้มีความสำคัญว่าเป็นรูป) คือมีความสำคัญว่าเป็นรูป ความสำคัญในรูปนั้น ชื่อว่า รูปสญฺา (รูปสัญญา) ชื่อว่า รูปสญฺี เพราะมีรูปเป็นสัญญา.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า อชฺฌตฺตปีตนิมิตฺตํ (มีนิมิตสีเหลืองในภายใน) ภิกษุเมื่อกระทำ ปีตบริกรรม (บริกรรมสีเหลือง) ย่อมทำในที่มันข้น หรือที่ผิวหรือในที่ตาสีเหลือง เมื่อกระทำโลหิตบริกรรม (บริกรรมสีแดง) ย่อมทำที่เนื้อ เลือด ลิ้น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือในที่ตาสีแดง เมื่อทำ โอทาตบริกรรม (บริกรรมสีขาว) ย่อมทำที่กระดูก ฟัน เล็บ หรือในที่ตาสีขาว.
บทว่า อชฺฌตฺตํ อรูปํ (ไม่มีรูปในภายใน) ความว่า ไม่มีรูปนิมิตในภายใน.
บทว่า เมตฺตาสหคเตน (ประกอบด้วยเมตตา) คือประกอบด้วยเมตตาด้วยอำนาจแห่งปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน.
บทว่า เจตสา (มีใจ) คือมีจิต.
บทว่า เอกํ ทิสํ (ตลอดทิศหนึ่ง) ท่านกล่าวหมายถึง สัตว์ตัวหนึ่งที่กำหนด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 373
ครั้งแรกแห่งทิศหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปยังสัตว์อันเนื่องด้วยทิศหนึ่ง.
บทว่า ผริตฺวา (แผ่ไปแล้ว) คือถูกต้อง ทำให้เป็นอารมณ์.
บทว่า วิหรติ (อยู่) คือยังการอยู่ด้วยอิริยาบถอันตั้งมั่นด้วยพรหมวิหารให้เป็นไป.
บทว่า ตถา ทุติยํ (ทิศที่สองก็เหมือนกัน) คือแผ่ไปตลอดทิศใดทิศหนึ่งในบรรดาทิศทั้งหลายมีทิศตะวันออกเป็นต้น ฉันใด ทิศที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ อันเป็นลำดับนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
บทว่า อิติ อุทฺธํ (ตามนัยนี้ทั้งเบื้องบน) ท่านอธิบายว่า ทิศเบื้องบนโดยนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อโธ ติริยํ (ทิศเบื้องล่าง เบื้องขวาง) คือแม้ทิศเบื้องล่าง แม้ทิศเบื้องขวางก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
อนึ่ง ในบทเหล่านั้น บทว่า อโธ คือเบื้องล่าง บทว่า ติริยํ คือเบื้องขวาง ได้แก่ ทิศเฉียง (ทิศน้อย).
ความว่า ยังจิตสหรคตด้วยเมตตาให้แล่นไปบ้าง ให้แล่นกลับบ้าง ในทิศทั้งปวง ดุจให้ม้าวิ่งไปวิ่งกลับในบริเวณของม้าฉะนั้น.
ด้วยเหตุเพียงนี้ ท่านกำหนดถือเอาทิศหนึ่งๆ แล้วแสดงการแผ่เมตตาไปโดยจำกัด. ส่วนบทมีอาทิว่า สพฺพธิ ในที่ทุกสถานท่านกล่าวเพื่อแสดง โดยไม่จำกัด (เจาะจง).
บทว่า สพฺพธิ (ในที่ทุกสถาน) คือในที่ทั้งปวง ท่านกล่าวเพื่อแสดงโดยไม่เจาะจง.
ทว่า สพฺพตฺตตาย (เสมอกับตนทั้งหมด ทั่วสัตว์ทุกเหล่า) คือทุกตัวตนในประเภทสัตว์มีเลว ปานกลาง เลิศ มิตร ศัตรู และความเป็นกลางเป็นต้นทั้งปวง อธิบายว่า เพราะไม่ทำการแบ่งแยกว่า "นี้เป็นสัตว์อื่น" เป็นผู้เสมอกับตน อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สพฺพตฺตตาย คือโดยความเป็นผู้มีจิตรวมอยู่ทั้งหมด อธิบายว่า ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอกแม้เล็กน้อย.
บทว่า สพฺพาวนฺตํ (ทั่วสัตว์ทุกเหล่า) คือสัตว์ทุกเหล่า อธิบายว่า ประกอบด้วยสัตว์ทั้งปวง ปาฐะว่า สพฺพวนฺตํ ก็มี.
บทว่า โลกํ (ตลอดโลก) ได้แก่ ตลอดสัตว์โลก.
อนึ่ง ในนิเทศนี้ท่านกล่าวว่า เมตฺตาสหคเตน (ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา) ซ้ำอีก เพราะแสดงปริยายด้วยบทมีอาทิอย่างนี้ว่า วิปุเลน (อันไพบูลย์) หรือเพราะในบทนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 374
ท่านไม่กล่าว ตถา ศัพท์ หรือ อิติ ศัพท์ อีก ดุจในการแผ่ไปโดยจำกัด (เจาะจง) ฉะนั้น ท่านจึงกล่าว บทว่า เมตฺตาสหคเตน เจตสา (ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา) อีก หรือท่านกล่าวบทนี้โดยการสรุป.
ในบทว่า วิปุเลน (อันไพบูลย์) นี้ พึงเห็นความไพบูลย์ด้วยอำนาจการแผ่ไป พึงเห็นจิตนั้น มหคฺคตํ (ถึงความเป็นใหญ่) ด้วยอำนาจภูมิ จริงอยู่ จิตนั้นถึงความเป็นไปใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลสได้ เพราะมีผลไพบูลย์ และเพราะการสืบต่อยาว อีกอย่างหนึ่ง จิตชื่อว่า มหคฺคตํ เพราะอรรถว่า ถึง คือดำเนินไปด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ และปัญญาอันยิ่งใหญ่.
ชื่อว่า อปฺปมาณํ (หาประมาณมิได้) ด้วยสามารถแห่งความคล่องแคล่ว และด้วยสามารถแห่งสัตตารมณ์อันประมาณมิได้.
ชื่อว่า อเวรํ (ไม่มีเวร) เพราะละข้าศึก คือความพยาบาท.
ชื่อว่า อพฺยาปชฺฌํ (ไม่มีความเบียดเบียน) เพราะละโทมนัสเสียได้ ท่านอธิบายว่า ไม่มีทุกข์.
บทว่า อปฺปฏิกูลา โหนฺติ (สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง) คือสัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชังแก่จิตของภิกษุ.
แม้ในบทที่เหลือพึงประกอบด้วยอำนาจกรุณา มุทิตา และอุเบกขาโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ชื่อว่า ไม่มีเวร เพราะละข้าศึก คือความเบียดเบียน ด้วยกรุณา เพราะละข้าศึก คือความริษยา ด้วยมุทิตา.
บทว่า อุเปกฺขาสหคเตน (ประกอบด้วยอุเบกขา) คือมีจิตประกอบด้วยอุเบกขาด้วยอำนาจแห่งจตุตถฌาน.
ชื่อว่า ไม่มีเวร เพราะละข้าศึก คือราคะ.
ชื่อว่า ไม่เบียดเบียน เพราะละโสมนัสเกี่ยวกับเคหสิต (กามคุณ) หรือเพราะละโสมนัสที่อาศัยเรือน (กามคุณ) อกุศลแม้ทั้งหมด ชื่อว่า มีความเบียดเบียน เพราะประกอบด้วยความเร่าร้อน คือกิเลส นี้เป็นความพิเศษ (ความแตกต่าง) ของบทเหล่านั้น.
บทว่า สพฺพโส (โดยประการทั้งปวง) คือโดยอาการทั้งปวง หรือแห่งสัญญาทั้งปวง ความว่า แห่งสัญญาไม่มีเหลือ.
บทว่า รูปสญฺานํ (รูปสัญญา) คือรูปาวจรฌาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 375
ดังที่กล่าวมาแล้วโดยหัวข้อว่า สัญญา และอารมณ์ของรูปาวจรฌานนั้น จริงอยู่ แม้รูปาวจรฌานท่านกล่าวว่า รูป ในบทมีอาทิว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ (ภิกษุมีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย) แม้อารมณ์ของรูปาวจรฌานท่าน กล่าวว่า รูป ในบทมีอาทิว่า พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ (ภิกษุเห็นรูปทั้งหลายในภายนอกมีผิวงามและผิวทราม) เพราะฉะนั้น ในที่นี้ บทว่า รูปสญฺานํ นี้ เป็นชื่อของรูปาวจรฌานดังที่ท่านกล่าวแล้วโดยหัวข้อว่า สัญญา อย่างนี้ว่า รูเป สญฺา รูปสญฺา ความสำคัญในรูป ชื่อว่า รูปสัญญา ชื่อว่า รูปสญฺํ เพราะมีรูปเป็นสัญญา ท่านอธิบายว่า รูป เป็นชื่อของภิกษุนั้น พึงทราบว่า บทนี้เป็นชื่อของอารมณ์แห่งฌานนั้น อันเป็นประเภท มีปฐวีกสิณเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สมติกฺกมา (เพราะก้าวล่วง) เพราะล่วง คือเพราะคลายกำหนัดและเพราะดับตัณหา ท่านอธิบายไว้อย่างไร ท่านอธิบายไว้ว่า ภิกษุเพราะคลายกำหนัด เพราะดับ เพราะเหตุคลายกำหนัด เพราะดับซึ่งรูปสัญญา กล่าวคือ ฌาน ๑๕ ด้วยอำนาจแห่งกุศล วิบาก และกิริยาเหล่านี้ และซึ่งรูปสัญญา กล่าวคือ อารมณ์ ๙ แห่งฌานเหล่านั้น ด้วยอำนาจปฐวีกสิณเป็นต้นโดยอาการทั้งปวง หรือซึ่งรูปสัญญาไม่มีส่วนเหลือ เข้าถึงอากาสานัญจายตนะอยู่ เพราะไม่สามารถเข้าถึงรูปสัญญานั้น เพราะยังไม่ก้าวล่วงรูปสัญญาได้โดยประการทั้งปวง (ไม่สามารถเข้าถึงอากาสานัญจายตนะนั้นอยู่).
อนึ่ง เพราะสมาบัตินั้นควรบรรลุด้วยการก้าวล่วงอารมณ์ มิใช่เหมือนปฐมฌานเป็นต้นในอารมณ์เดียวเท่านั้น การก้าวล่วงสัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ยังไม่คลายกำหนัดในอารมณ์ ฉะนั้นพึงทราบว่า ท่านทำการพรรณนาความนี้ แม้ด้วยสามารถแห่งการก้าวล่วงอารมณ์.
บทว่า ปฏิฆสญฺานํ อตฺถงฺคมา (เพราะดับปฏิฆสัญญา) คือสัญญาที่เกิดโดยความกระทบวัตถุมีจักษุเป็นต้น (สัญญาที่เกิดโดยที่จักขุวัตถุเป็นต้นและรูปารมณ์เป็นต้นกระทบกัน) ชื่อว่า ปฏิฆสัญญา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 376
บทนี้เป็นชื่อของรูปสัญญาเป็นต้น มีคำอธิบายว่า เพราะดับ เพราะละ เพราะไม่ให้เกิดขึ้น เพราะไม่เป็นไปแห่งปฏิฆสัญญาแม้ทั้ง ๑๐ เหล่านั้นโดยประการทั้งปวง คือ กุสลวิบากแห่งสัญญาเหล่านั้น ๕ อกุสลวิบาก ๕ ท่านอธิบายว่าทำไม่ให้เป็นไปได้ อนึ่ง สัญญาเหล่านี้ ย่อมไม่มีแม้แก่ผู้เข้าถึงปฐมฌานเป็นต้นโดยแท้ เพราะในสมัยนั้นจิตยังไม่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งทวาร ๕ แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พึงทราบการกล่าวถึงสัญญาเหล่านี้ในฌานนี้ ด้วยอำนาจการสรรเสริญฌานนี้ เพื่อให้เกิดอุตสาหะในฌานนี้ ดุจการกล่าวถึงสุขและทุกข์ที่ละได้แล้วในฌานอื่นไว้ในจตุตถฌาน และดุจการกล่าวถึงสักกายทิฏฐิเป็นต้นที่ละได้แล้วในมรรคอื่นไว้ในตติยมรรค.
อีกอย่างหนึ่ง สัญญาเหล่านั้นย่อมไม่มีแก่ผู้เข้าถึงรูปาวจรโดยแท้ ถึงดังนั้น สัญญาเหล่านี้ย่อมไม่มีเพราะละได้เเล้วก็หามิได้ เพราะการเจริญรูปาวจรย่อมไม่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัดในรูป และเพราะยังเนื่องในรูป สัญญาเหล่านั้นจึงยังเป็นไปอยู่ ส่วนภาวนานี้ย่อมเป็นไปเพื่อคลายกำหนัดในรูป เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวว่า สัญญาเหล่านั้นละได้แล้วในบทนี้ (ในอากาสานัญจายตนะนี้) ไม่ใช่กล่าวแต่อย่างเดียว ควรแม้เพื่อทรงไว้อย่างนี้โดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะยังละสัญญาเหล่านั้นไม่ได้ ก่อนจากนี้ สำหรับผู้เข้าถึงปฐมฌาน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เสียงของผู้เข้าถึงปฐมฌานเป็นดุจหนาม อนึ่ง เพราะละสัญญาได้แล้วในฌานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึงความที่อรูปสมาบัติไม่หวั่นไหว (เป็นอเนญชา) และความที่พ้นไปอย่างสงบ (เป็นส้นตวิโมกข์).
บทว่า นานตฺตสญฺานํ อมนสิการา (เพราะไม่มนสิการถึงนานัตตสัญญา) คือสัญญาที่เป็นไปในโคจร (อารมณ์) ต่างๆ หรือสัญญาที่มีความเป็นต่างๆ กัน เพราะสัญญาเหล่านั้นเป็นไปในโคจรมีสภาพต่างๆ กัน อันเป็นความต่างกันโดยรูปสัญญาเป็นต้น และเพราะสัญญา ๔๔ อย่างนี้ คือกามาวจรกุสลสัญญา ๘ อกุสลสัญญา ๑๒ กามาวจรกุสลวิปากสัญญา ๑๑ อกุสลวิปากสัญญา ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 377
กามาวจรกิริยาสัญญา ๑๑ มีความต่างกัน มีสภาพต่างกัน ไม่เหมือนกันและกัน ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นานตฺตสญฺา เพราะไม่มนสิการ ไม่คำนึงและไม่ให้เกิดในจิตแห่งมานัตตสัญญาเหล่านั้น โดยประการทั้งปวง มีคำอธิบายว่า เพราะไม่คำนึงถึง ไม่ให้เกิดในจิต ไม่มนสิการ ไม่พิจารณาซึ่งนานัตตสัญญาเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตสฺมา อนึ่ง เพราะรูปสัญญาและปฏิฆสัญญาก่อนไม่มี แม้ในภพอันเกิดด้วยฌานนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงในกาลเข้าถึงฌานนี้ในภพนั้นอยู่ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวความไม่มีแห่งสัญญาเหล่านั้น แม้โดยส่วนทั้งสอง คือเพราะก้าวล่วง เพราะดับสัญญาเหล่านั้น.
ส่วนในนานัตตสัญญา พึงทราบว่า เพราะสัญญา ๒๗ ประการเหล่านี้ คือกามาวจรกุสลสัญญา ๘ กิริยาสัญญา ๙ อกุสลสัญญา ๑๐ มีในภพที่บังเกิดในฌานนี้ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เพราะไม่มนสิการสัญญาเหล่านั้น.
จริงอยู่ แม้ในคำนั้น (บทนั้น) ภิกษุเมื่อเข้าถึงฌานนี้อยู่ ย่อมเข้าถึงได้เพราะไม่มนสิการสัญญาเหล่านั้นอยู่ แต่เมื่อมนสิการสัญญาเหล่านั้น ก็ยังเป็นผู้ไม่เข้าถึง อนึ่ง ในฌานนี้ ว่าโดยสังเขป พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงการละรูปาวจรธรรมทั้งปวง ด้วยบทนี้ว่า รูปสญฺานํ สมติกฺกมา (เพราะล่วงรูปสัญญา) ด้วยบทนี้ว่า ปฏิฆสญฺานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺานํ อมนสิการา (เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่มีมนสิการนานัตตสัญญา) พึงทราบว่า ท่านกล่าวการละและการไม่มนสิการจิตเจตสิกอันเป็นกามาวจรทั้งปวง.
ในบทว่า อนนฺโต อากาโส (อากาศไม่มีที่สุด อากาศหาที่สุดมิได้) นี้ พึงทราบความดังนี้ ชื่อว่า อนนฺโต (หาที่สุดมิได้) เพราะอากาศนั้นไม่ปรากฏ (หาที่สุด) ว่า เกิดหรือเสื่อม เพราะเป็นเพียงบัญญัติ ชื่อว่า อนนฺโต (หาที่สุดมิได้) แม้ด้วยสามารถการแผ่ไปไม่มีที่สุด จริงอยู่ พระโยคาวจรนั้น ย่อมไม่แผ่ไปโดยเอกเทศ (ด้วยอำนาจเฉพาะส่วน) ย่อมแผ่ไปทั่วทั้งหมด.
บทว่า อากาโส (อากาศ) คืออากาศที่เพิกกสิณขึ้น.
บทมีอาทิว่า อากาสานญฺจายตนํ (อากาสานัญจายตนะ) มีความดังได้กล่าวแล้ว.
บทว่า อุปสมฺปชฺช วิหรติ (เข้าถึงอยู่ เข้า) ได้แก่ ถึงอายตนะนั้นแล้ว คือให้สำเร็จ แล้วอยู่ด้วยอิริยาบถอันสมควรแก่สมาบัตินั้น อายตนะนั้นนั่นแหละ ชื่อว่า สมาปตฺติ (สมาบัติ) เพราะพระโยคาวจรควรเข้าถึง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 378
บทว่า อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม (เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนสมาบัติ) ความว่า แม้ฌาน แม้อารมณ์ ก็ชื่อว่า อากาสานัญจายตนะโดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อน จริงอยู่ แม้อารมณ์ ก็ชื่อว่า อากาสานัญจายตนะ เพราะเป็นอากาสานัญจะโดยนัยที่กล่าวแล้วในก่อน เพราะอากาสานัญจะ (ความว่างเปล่าแห่งอากาศ) นั้นเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นที่ตั้ง เพราะเป็นอารมณ์ของอรูปฌานที่หนึ่ง ดุจ เทวานํ เทวายตนํ (ที่อยู่ของทวยเทพ) ฉะนั้น อนึ่ง ชื่อว่า อากาสานัญจายตนะ เพราะอากาสานัญจะ (ความว่างเปล่าของอากาศ) นั้นเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นถิ่นที่เกิด ดุจคำมีอาทิว่า กมฺโพชา อสฺสานํ อายตนํ (กัมโพชนครเป็นถิ่นเกิดของม้าทั้งหลาย) เพราะเป็นเหตุเกิดของฌานนั้น.
พระโยคาวจรก้าวล่วงแม้ทั้งสองอย่าง คือฌานและอารมณ์ ด้วยทำไม่ให้เป็นไปและด้วยไม่มนสิการแล้วเข้าถึงวิญญานัญจายตนะนี้อยู่ ฉะนั้นพึงทราบว่า ท่านทำแม้ทั้งสองอย่างนี้รวมกันแล้วกล่าวบทนี้ว่า อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม (เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนสมาบัติ).
บทว่า อนนฺตํ วิญฺาณํ (วิญญาณไม่มีที่สุด วิญญาณหาที่สุดมิได้) วิญญาณนั่นแหละ ท่านกล่าวว่า ภิกษุมนสิการวิญญาณที่แผ่ไปว่า อนนฺโต อากาโส (อากาศไม่มีที่สุด) ว่า อนนฺตํ วิญฺาณํ (วิญญาณไม่มีที่สุด) หรือชื่อว่า อนนฺตํ (หาที่สุดมืได้) ด้วยอำนาจมนสิการ จริงอยู่ พระโยคาวจรนั้น เมื่อมนสิการวิญญาณที่มีอากาศเป็นอารมณ์นั้นโดยไม่มีส่วนเหลือ ชื่อว่า ย่อมมนสิการวิญญาณอันหาที่สุดมิได้.
บทว่า วิญฺาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม (เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะสมาบัติ) แม้ฌาน แม้อารมณ์ ก็เป็นวิญญาณัญจายตนะตามนัยดังกล่าวแล้วแม้ในบทนี้และในบทก่อน จริงอยู่ แม้อารมณ์ก็เป็นวิญญาณณัญจายตนะ เพราะเป็นวิญญาณัญจะ (วิญญาณว่างเปล่า) ตามนัยดังกล่าวแล้วในบทก่อนนั่นแหละ และเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นที่ตั้ง เพราะเป็นอารมณ์แห่งอรูปฌานที่ ๒ อนึ่ง ชื่อว่า วิญญาณัญจายตนะ เพราะเป็นวิญญาณัญจะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 379
และเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นถิ่นเกิด เพราะเป็นเหตุเกิดของฌานนั้น.
เพราะพระโยคาวจรก้าวล่วงแม้ทั้งสอง คือฌานและอารมณ์โดุยทำไม่ให้เป็นไป และโดยไม่มนสิการ (ไม่ทำไว้ในใจ) แล้วพึงเข้าถึงอากิญจัญญายตนะนี้ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ท่านทำแม้ทั้งสองอย่างนั้นรวมกันแล้วกล่าวบทนี้ว่า วิญฺาณญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม (เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนสมาบัติ) ดังนี้.
บทว่า นตฺถิ กิญฺจิ (ไม่มีอะไร สิ่งน้อยหนึ่งไม่มี) ท่านอธิบายว่า พระโยคาวจรมนสิการอยู่อย่างนี้ว่า นตฺถิ นตฺถิ (ไม่มี ไม่มี) สุญฺํ สฺุํ (ว่างเปล่า ว่างเปล่า) วิวิตฺตํ วิวิตฺตํ (สงัด สงัด).
บทว่า อากิญฺจญฺายตนํ สมติกฺกมฺม (เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนสมาบัติ) ไม่มีอะไรเหลือสักน้อยหนึ่งเป็นอารมณ์ แม้ฌาน แม้อารมณ์ ก็เป็นอากิญจัญญายตนะตามนัยดังกล่าวแล้วแม้ในบทนี้และในบทก่อนนั่นแหละ จริงอยู่ แม้อารมณ์ก็เป็นอากิญจัญญายตนะ เพราะเป็นอากิญจัญญะ (ไม่มีอะไรเหลือ) ตามนัยดังกล่าวแล้วในบทก่อน นั้นเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นที่ตั้ง เพราะเป็นอารมณ์แห่งอรูปฌานที่ ๓ อนึ่ง ชื่อว่า อากิญจัญญายตนะ เพราะเป็นอากิญจัญญะและเป็นอายตนะ ด้วยอรรถว่า เป็นถิ่นให้เกิด เพราะเป็นเหตุเกิดของฌานนั้นนั่นแล.
เพราะพระโยคาวจรก้าวล่วงแม้ทั้งสองอย่างนั้น คือฌานและอารมณ์ โดยทำไม่ให้เป็นไป และโดยไม่มนสิการ (ทำไว้ในใจ) แล้วพึงเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ (มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่) นี้อยู่ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ท่านทำแม้ทั้งสองอย่างนั้นรวมกันแล้วกล่าวบทนี้ว่า อากิญฺจญฺายตนํ สมติกฺกมฺม (เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนสมาบัติ) ดังนี้ สัญญาเวทยิตนิโรธกถา (การดับสัญญาเวทนา) ท่าน (พระสารีบุตร) กล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
วิโมกข์ ๗ มีอาทิว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ (ภิกษุผู้มีรูป ย่อมเห็นรูป ทั้งหลาย) ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า พ้นด้วยดีจากธรรมเป็นข้าศึกทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 380
และเพราะอรรถว่า พ้นด้วยดี ด้วยอำนาจความยินดียิ่งในอารมณ์ ส่วนนิโรธสมาบัติ ชื่อว่า วิโมกข์ เพราะอรรถว่า พ้นแล้วจากจิตและเจตสิกทั้งหลาย.
ชื่อว่า สมยวิโมกข์ เพราะอรรถว่า พ้นในสมัยเข้าถึงสมาบัติ ไม่พ้นในสมัยออกแล้ว.
อริยมรรค ชื่อว่า อสมยวิโมกข์ เพราะพ้นโดยสิ้นเชิง ด้วยอำนาจแห่งสมุจเฉทวิมุตติ สามัญผล ชื่อว่า อสมยวิโมกข์ เพราะพ้นโดยสิ้นเชิง ด้วยอำนาจแห่งปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิพพาน ชื่อว่า อสมยวิโมกข์ เพราะพ้นโดยสิ้นเชิง ด้วยอำนาจแห่งนิสสรณวิมุตติ สามยิกาสามยิกวิโมกข์ สามยิกวิโมกข์และอสามยิกวิโมกข์ (พ้นชั่วคราวและไม่ชั่วคราว) ก็เหมือนอย่างนั้น.
ชื่อว่า กุปฺโป (กุปปวิโมกข์) เพราะอาศัยความประมาทจึงเสื่อม ชื่อว่า อกุปฺโป (อกุปปวิโมกข์) เพราะไม่เสื่อมอย่างนั้น.
ชื่อว่า โลกิโย (โลกิยวิโมกข์) เพราะย่อมเป็นไปตามโลก.
อริยมรรค ชื่อว่า โลกุตฺตรา (โลกุตรวิโมกข์) เพราะอริยมรรคทั้งหลายกำลังข้ามโลกอยู่ ชื่อว่า โลกุตฺตรา (โลกุตรวิโมกข์) เพราะ สามัญผล และ นิพพาน ข้ามไปแล้วจากโลก.
ชื่อว่า อนาสโว (อนาสววิโมกข์) เพราะอาสวะทั้งหลายไม่หน่วงเหนี่ยว (ยึดเกาะ) โลกุตรธรรมอันสูงด้วยเดชไว้ได้ ดุจแมลงวันไม่เกาะก้อนเหล็กที่ร้อนฉะนั้น.
บทว่า รูปปฺปฏิสญฺญุตฺโต วิโมกข์ปฏิสังยุต (สัมปยุต) ด้วยรูป คือรูปฌาน.
บทว่า อรูปปฺปฏิสญฺญุตฺโต วิโมกข์ที่ไม่ปฏิสังยุตด้วยรูป (อรูป) คืออรูปสมาบัติ.
วิโมกข์ที่ถูกตัณหาหน่วงเหนี่ยวไว้ ชื่อว่า ปณิหิตวิโมกข์.
วิโมกข์ที่ไม่ถูกตัณหาหน่วงเหนี่ยวไว้ ชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์.
มรรคผล ชื่อว่า เอกัตตวิโมกข์ เพราะมีอารมณ์อย่างเดียวกัน และเพราะสำเร็จผลอย่างเดียวกัน นิพพาน ชื่อว่า เอกัตตวิโมกข์ เพราะไม่มีที่สอง.
ชื่อว่า นานัตตวิโมกข์ เพราะมีอารมณ์ต่างกัน และเพราะมีวิบากต่างกัน.
บทว่า สิยา แปลว่า พึงมีได้ ได้แก่ พึงเป็น ความว่า พึงมีได้ คือมี ๑๐ และมี ๑ อนึ่ง บทว่า สิยา เป็นคำแสดงวิธี มิใช่เป็นคำถาม.
บทว่า วตฺถุวเสน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 381
(ด้วยอำนาจแห่งวัตถุ) คือมี ๑๐ ด้วยอำนาจแห่งวัตถุ ๑๐ มีนิจจสัญญาเป็นต้น.
บทว่า ปริยาเยน (โดยปริยาย) คือมี ๑ โดยปริยายแห่งการพ้น.
ข้อว่า พึงมีได้ ความว่า สิยาติ กถญฺจ สิยา (ก็พึงมีได้อย่างไร) ได้แก่ ถามว่า สิ่งใดตั้งไว้ว่า พึงมี สิ่งนั้นพึงมีได้อย่างไร.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสนาณํ (อนิจจานุปัสสนญาณ) เป็นบทสมาส บาลีว่า อนิจฺจานุปสฺสนาาณํ (อนิจจานุปัสสนาญาณ) ก็มี แม้ในบทที่เหลือก็เหมือนกัน.
บทว่า นิจฺจโต สญฺาย (จากนิจจสัญญา) คือจากสัญญาอันเป็นไปแล้วโดยความเป็นของเที่ยง ความว่า จากสัญญาอันเป็นไปแล้วว่า เที่ยง แม้ในบทนี้ว่า สุขโต อตฺตโต นิมิตฺตโต สญฺาย (จากสุขสัญญา อัตตสัญญา นิมิตตสัญญา) ก็มีนัยนี้ อนึ่ง บทว่า นิมิตฺตโต (จากนิมิต) คือจากนิมิตว่าเที่ยง.
บทว่า นนฺทิยา สญฺาย (จากนันทิสัญญา) คือจากสัญญาอันเป็นไปแล้วด้วยความเพลิดเพลิน ความว่า จากสัญญาอันสัมปยุตแล้วด้วยความเพลิดเพลิน แม้ในบทนี้ว่า ราคโต สมุทยโต อาทานโต ปณิธิโต อภินิเวสโต สญฺาย (จากราคสัญญา สมุทยสัญญา อาทานสัญญา ปณิธิสัญญา อภินิเวสสัญญา) ก็มีนัยนี้.
อนึ่ง เพราะอนุปัสสนา ๓ อย่าง คือขยานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความสิ้นไป) วยานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความเสื่อม) วิปริณามานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความแปรปรวน) เป็นความวิเศษ (พิเศษ) แห่งภังคานุปัสสนา อันเป็นพลวปัจจัย (ปัจจัยที่มีกำลัง) เพราะเป็นกำลังแห่งอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น เพราะอนิจจานุปัสสนามีกำลังด้วยเห็นความดับ ก็เมื่ออนิจจานุปัสสนามีกำลังแล้ว แม้การพิจารณาเห็นทุกข์ (ทุกขานุปัสสนา) และอนัตตา (อนัตตานุปัสสนา) ดังนี้ก็มีกำลัง ดังพระดำรัสว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ฉะนั้นเมื่อท่านกล่าวอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น ก็เป็นอันกล่าวถึงอนุปัสสนาแม้ ๓ เหล่านั้นด้วย. อนึ่ง เพราะท่านกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 382
สุญญตานุปัสสนาญาณพ้นจากอภินิเวสสัญญา ย่อมเป็นอันท่านกล่าวว่า พ้นจากสาราทานาภินิเวสสัญญา สัมโมหาภินิเวสสัญญา อาลยาภินิเวสสัญญา สัญโญคาภินิเวสสัญญา (พ้นจากสัญญาโดยความยึดถือยึดมั่นสิ่งที่เป็นสาระ ยึดมั่นสิ่งที่เป็นความลุ่มหลง ยึดมั่นสิ่งที่เป็นความอาลัย ยึดมั่นสิ่งที่เป็นกิเลสอันผูกใจ) และเป็นอันท่านกล่าวว่า พ้นจากอัปปฏิสังขาสัญญา เพราะไม่มีอภินิเวส (ย่อมหลุดพ้นจากสัญญาโดยความยึดมั่น) ท่านอธิบายต่อไปว่า พ้นจากสัญญาโดยไม่พิจารณา เพราะไม่มีสิ่งยึดมั่น ฉะนั้นพึงทราบว่า อนุปัสสนาแม้ ๕ มีอธิปัญญาธัมมวิปัสสนาเป็นต้น ท่านมิได้กล่าวไว้เลย ด้วยประการฉะนี้ พีงทราบว่า ในมหาวิปัสสนา ๑๘ ท่านมิได้กล่าวถึงอนุปัสสนา ๘ เหล่านั้นเลย กล่าวถึงแต่อนุปัสสนา ๑๐ เท่านั้น.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสนา ยถาภูตํ าณํ (อนิจจานุปัสสนายถาภูตญาณ) ได้แก่ ยถาภูตญาณ คืออนิจจานุปัสสนา การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงเป็นความรู้ตามความเป็นจริง แม้ทั้งสองบทเป็นปฐมาวิภัตติ.
บทว่า ยถาภูตํ าณํ (ยถาภูตญาณ) ท่านกล่าวถึงอรรถแห่งญาณ แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้.
บทว่า สมฺโมหา อญฺาณา (จากความไม่รู้อันเป็นความหลง) คือจากความไม่รู้อันเป็นความหลง.
บทว่า มุจฺจติ (พ้น) ท่านกล่าวถึงอรรถแห่งวิโมกข์.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสนา อนุตฺตรํ สีติภาวํ าณํ (อนิจจานุปัสสนาเป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม) ชื่อว่า อนุตฺตรํ (อย่างเยี่ยม) เพราะอรรถว่า สูงสุดโดยมีอยู่ในศาสนานี้เท่านั้น หรือชื่อว่า อนุตฺตรํ เพราะเป็นปัจจัยแก่สิ่งที่ยอดเยี่ยม ญาณอันมีความเย็นใจนั่นแล ชื่อว่า สีติภาวญาณ สีติภาวญาณนั้นเป็นญาณยอดเยี่ยม กล่าวคือ พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง (อนิจจานุปัสสนา) นิพพาน ชื่อว่า เป็นความเย็นอย่างเยี่ยม ดั่งในพระพุทธวจนะนี้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ เป็นผู้ควรเพื่อทำให้แจ้งพระนิพพานอันเป็นความเย็นอย่างเยี่ยม" แต่ในที่นี้ วิปัสสนาเป็นความเย็นอย่างเยี่ยม.
บทว่า นิจฺจโต สนฺตาปปริฬาหทรถา มุจฺจติ (พ้นจากความเดือดร้อน ความเร่าร้อน และความกระวนกระวายโดยความเป็นสภาพเที่ยง)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 383
มีวินิจฉัยว่า กิเลสอันเป็นไปว่าเที่ยง ท่านกล่าวว่า สนฺตาโป (ความเดือดร้อน) เพราะอรรถว่า เดือดร้อนในโลกนี้และโลกหน้า ท่านกล่าวว่า ปริฬาโห (ความเร่าร้อน) เพราะอรรถว่า เผาผลาญ ท่านกล่าวว่า ทรโถ (ความกระวนกระวาย) เพราะอรรถว่า ร้อน.
บทมีอาทิว่า เนกฺขมฺมํ ฌายตีติ ฌานํ (เนกขัมมะเกิด เพราะเหตุนั้นจึงเป็นฌาน) มีความดังได้กล่าวแล้วในหนหลัง อนึ่ง ในที่นี้ เนกขัมมะเป็นต้นและสมาบัติ ๘ เป็นส่วนแห่งการแทงตลอดทั้งนั้น.
บทว่า อนุปฺปาทา จิตฺตสฺส วิโมกฺโข (การหลุดพ้นแห่งจิต เพราะไม่ยึดถือ) อนุปาทาจิตตวิโมกข์ ในที่นี้ คือวิปัสสนานั่นเอง แต่ในพระดำรัสนี้ว่า "การพูดกันมีสิ่งนี้เป็นประโยชน์ การปรึกษากันมีสิ่งนี้เป็นประโยชน์ (สิ่ง) นี้ คือความหลุดพ้นแห่งจิตเพราะไม่ยึดถือ" นิพพาน คือความหลุดพ้นเพราะไม่ยึดถือ (อนุปาทาจิตตวิโมกข์).
บทว่า กตีหุปาทาเนหิ (จากอุปาทานเท่าไร) คือด้วยอุปาทานเท่าไร (กี่อย่าง).
บทว่า กตมา เอกุปาทานา (จากอุปาทาน ๑ อันไหน) คือจากอุปาทานหนึ่ง ชนิดไหน.
บทว่า อิทํ เอกุปาทานา (จากอุปาทาน ๑ นี้) คือจากอุปาทานหนึ่งนี้ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิทํ (นี้) เป็นคำที่เพ่งถึงญาณก่อน ในการพ้นจากอุปาทานนั้น มีความดังต่อไปนี้ เพราะพระโยคาวจรเห็นแล้ว เห็นแล้วซึ่งความเกิดและความเสื่อมของสังขารทั้งหลายแต่ต้น ย่อมเห็นแจ้งด้วยอนิจจานุปัสสนา ภายหลังพิจารณาเห็นความดับของสังขารทั้งหลายแล้ว ย่อมเห็นแจ้งด้วยอนิมิตตานุปัสสนา เพราะอนิมิตตานุปัสสนาเป็นความวิเศษ (พิเศษ) แห่งอนิจจานุปัสสนา ความไม่มีตัวตนปรากฏชัด ด้วยการเห็นความเกิดและความเสื่อม และด้วยการเห็นความดับของสังขารทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการละทิฏฐุปาทานและอัตตวาทุปาทานได้ อนึ่ง เพราะละทิฏฐินั่นเอง จึงเป็นอันละสีลัพพตุปาทานได้ เพราะไม่มีความเห็นว่า ตัวตนย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยศีลและพรต อนึ่ง เพราะพระโยคาวจรพิจารณาเห็นความไม่มีตัวตน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 384
โดยตรงด้วยอนัตตานุปัสสนา อนึ่ง สุญญตานุปัสสนาเป็นความวิเศษแห่งอนัตตานุปัสสนานั่นเอง ฉะนั้น ญาณ ๔ เหล่านี้ ย่อมพ้นจากอุปาทานทั้งหลาย ๓ มีทิฏฐุปาทานเป็นต้น ท่านไม่กล่าวถึงการพ้นจากกามุปาทาน เพราะตัณหาเป็นข้าศึกโดยตรงของอนุปัสสนา ๔ มีทุกขานุปัสสนาเป็นต้น และของอนุปัสสนา ๓ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น เพราะเมื่อพระโยคาวจรเห็นว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ด้วยทุกขานุปัสสนาแต่ต้น และภายหลังเมื่อเห็นว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ด้วยอัปปณิหิตานุปัสสนา ย่อมละความปรารถนาสังขารทั้งหลายเสียได้ เพราะอัปปณิหิตานุปัสสนาเป็นความวิเศษของทุกขานุปัสสนานั่นเอง อนึ่ง เพราะเมื่อพระโยคาวจรเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลาย ด้วยนิพพิทานุปัสสนา คลายความกำหนัด ด้วยวิราคานุปัสสนา ย่อมละความปรารถนาสังขารทั้งหลายเสียได้ ฉะนั้น ญาณ ๔ เหล่านี้ ย่อมพ้นจากกามุปาทาน เพราะพระโยคาวจรดับกิเลสทั้งหลายได้ด้วยนิโรธานุปัสสนา ย่อมสละกิเลสทั้งหลายได้ด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา ฉะนั้น ญาณ ๒ เหล่านี้ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๔ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงชี้แจงวิโมกข์ ๖๘ ด้วยความต่างกันโดยสภาวะ และด้วยความต่างกันโดยอาการ ด้วยประการฉะนี้.
บัดนี้ ท่านพระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงถึงประธานแห่งวิโมกข์ทั้งหลาย ๓ ที่ยกขึ้นแสดงแต่ต้นแล้ว ประสงค์จะแสดงอินทรียวิเศษ (ความต่างแห่งอินทรีย์) และบุคคลวิเศษ (ความต่างแห่งบุคคล) อันเป็นประธานเป็นหัวหน้าของวิโมกข์ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ตีณิ โข ปนิมานิ (ก็ ๓ นี้แล) วิโมกข์อันเป็นประธาน ๓ เหล่านี้แล.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิโมกฺขมุขานิ (ประธานแห่งวิโมกข์) คือประธานแห่งวิโมกข์ ๓.
บทว่า โลกนิยฺยานาย สํวตฺตนฺติ (ย่อมเป็นไปเพื่อความนำออกไปจากโลก) ได้แก่ ย่อมเป็นไปเพื่อความนำออก คือนำออกไปจากไตรโลกธาตุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 385
บทว่า สพฺพสงฺขาเร ปริจฺเฉทปริวฏฺฏุมโต สมนุปสฺสนตาย (เพราะพิจารณาเห็นสรรพสังขารโดยความกำหนดและความหมุนเวียน) คือโดยความพิจารณาเห็นโดยความกำหนดและโดยความหมุนเวียนไปด้วยอำนาจความเกิดและความเสื่อมแห่งสังขารทั้งหลายทั้งปวง.
ปาฐะที่เหลือว่า โลกนิยฺยานํ โหติ (ความนำออกไปจากโลกย่อมมี) เป็นการนำออกไปจากโลก.
จริงอยู่ อนิจจานุปัสสนากำหนดว่า "ก่อนแต่ความเกิดขึ้น สังขารทั้งหลายย่อมไม่มี" แล้วแสวงหาคติของสังขารเหล่านั้น ย่อมพิจารณาเห็นโดยความหมุนเวียนและโดยที่สุดว่า "เบื้องหน้าแต่ความเสื่อม สังขารทั้งหลายย่อมไม่ถึง (ย่อมไม่ดำเนินไป) สังขารทั้งหลายย่อมอันตรธานไปในที่นี้แหละ" จริงอยู่ สังขารทั้งปวงกำหนดที่สุดเบื้องต้นด้วยความเกิด กำหนดที่สุดเบื้องปลายด้วยความเสื่อม.
บทว่า อนิมิตฺตตาย จ ธาตุยา จิตฺตสมฺปกฺขนฺทนตาย (และเพราะความที่จิตแล่นไปในอนิมิตตธาตุ) ได้แก่ และความนำออกไปจากโลกย่อมมี เพราะจิตแล่นไปในนิพพานธาตุ กล่าวคืออนิมิต โดยปรากฏด้วยอาการไม่มีนิมิต เพราะจิตน้อมไปในนิพพานแม้ในขณะวิปัสสนา.
บทว่า มโนสมุตฺเตชนตาย (เพราะความองอาจแห่งใจ) คือโดยความสลดใจ เพราะจิตย่อมสลดในสังขารทั้งหลายด้วยทุกขานุปัสสนา.
บทว่า อปฺปณิหิตาย จ ธาตุยา (และในอัปปณิหิตธาตุ) คือนิพพานธาตุอันได้แก่ อัปปณิหิตะ โดยปรากฏด้วยการที่ตั้งอยู่ไม่ได้ (ไม่มีที่ตั้ง) เพราะจิตน้อมไปในนิพพานแม้ในขณะวิปัสสนา.
บทว่า สพฺพธมฺเม (ธรรมทั้งปวง) ท่านไม่กล่าวว่า สงฺขาเร (สังขารทั้งหลาย) แต่กล่าวว่า สพฺพธมฺเม เพราะมีสภาพเป็นอนัตตา แม้ในนิพพานที่เข้าถึงวิปัสสนาไม่ได้.
บทว่า ปรโต สมนุปสฺสนตาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 386
(เพราะพิจารณาเห็นโดยความเป็นอย่างอื่น) คือโดยพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา อย่างนี้ว่า "ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา" เพราะอาศัยปัจจัย เพราะไม่อยู่ในอำนาจ และเพราะไม่เชื่อฟัง.
บทว่า สุญฺตาย จ ธาตุยา (และในสุญญตธาตุ) คือในนิพพานธาตุ กล่าวคือสุญญตา โดยความปรากฏโดยอาการเป็นของสูญ โดยปรากฏด้วยอาการว่างเปล่า เพราะจิตน้อมไปในนิพพาน แม้ในขณะแห่งวิปัสสนา.
๓ คำเหล่านี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งอนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา ด้วยประการฉะนี้.
ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต (เมื่อมนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง) ในลำดับต่อจากนั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ขยโต คือโดยความสิ้นไป ได้แก่ โดยความเสื่อมสิ้นไป.
บทว่า ภยโต (โดยความเป็นของน่ากลัว) คือโดยความมีภัยเฉพาะ.
บทว่า สุญฺโต (โดยความเป็นของสูญ) คือโดยความปราศจากตัวตน.
บทว่า อธิโมกฺขพหุลํ (มากด้วยความน้อมใจเชื่อ) จิตมากด้วยความน้อมไป คือจิตมากด้วยศรัทธาของความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจริงหนอ" ด้วยเห็นความดับในทุกขณะด้วยอนิจจานุปัสสนา โดยประจักษ์ของผู้ปฏิบัติด้วยศรัทธาว่า "สังขารทั้งหลายย่อมแตกไปด้วยอำนาจแห่งการดับในทุกขณะ" อีกอย่างหนึ่ง จิตมากด้วยความน้อมใจเชื่อ เพราะเห็นความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลายอันเป็นปัจจุบัน แล้วน้อมไปว่า "สังขารทั้งปวงทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่เที่ยงด้วยอาการอย่างนี้".
บทว่า ปสฺสทฺธิพหุลํ (มากด้วยความสงบ) คือจิตมากด้วยความสงบ เพราะไม่มีความกระวนกระวายแห่งจิต เพราะละความปรารถนาที่ตั้งไว้อันทำให้จิตกำเริบด้วยทุกขานุปัสสนา อีกอย่างหนึ่ง จิตมากด้วยความสงบ เพราะไม่มีความฟุ้งซ่าน เพราะเกิดความสังเวช และเพราะตั้งจิตที่สังเวชแล้วไว้โดยแยบคายด้วยทุกขานุปัสสนา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 387
บทว่า เวทพหุลํ (มากด้วยความรู้) คือจิตมากด้วยญาณของผู้เห็นอนัตตลักษณะอันลึกซึ้ง ซึ่งคน (ลัทธิ) ภายนอกไม่เห็น ด้วยอนัตตานุปัสสนา อีกอย่างหนึ่ง จิตมากด้วยความยินดีของผู้ยินดีว่า "เห็นอนัตตลักษณะที่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกยังไม่เห็น".
บทว่า อธิโมกฺขพหุโล สทฺธินฺทฺริยํ ปฏิลภติ (มากด้วยความน้อมใจเชื่อ ย่อมได้สัทธินทรีย์) คือความน้อมใจเชื่อในส่วนเบื้องต้นเป็นไปมาก ชื่อว่า สัทธินทรีย์ ด้วยความบริบูรณ์แห่งภาวนา บุคคลนั้น ชื่อว่า ย่อมได้สัทธินทรีย์นั้น.
บทว่า ปสฺสทฺธิพหุโล สมาธินฺทฺริยํ ปฏิลภติ (มากด้วยความสงบในส่วนเบื้องต้น ย่อมได้สมาธินทรีย์ คือบุคคลผู้มากด้วยปัสสัทธิ ย่อมได้สมาธินทรีย์นั้น เพราะปัสสัทธิเป็นปัจจัย ด้วยความบริบูรณ์แห่งภาวนา โดยพระบาลีว่า "ผู้มีกายสงบย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น".
บทว่า เวทพหุโล ปญฺินทฺริยํ ปฏิลภติ (มากด้วยความรู้ ย่อมได้ปัญญินทรีย์) ได้แก่ ความรู้ในส่วนเบื้องต้นเป็นไปมาก ชื่อว่า ปัญญินทรีย์ ด้วยความบริบูรณ์แห่งภาวนา บุคคลนั้น ชื่อว่า ย่อมได้ปัญญินทรีย์นั้น.
บทว่า อาธิปเตยฺยํ โหติ (เป็นใหญ่) อินทรีย์ที่เป็นใหญ่ คือแม้เมื่อฉันทะเป็นต้น เป็นใหญ่ อินทรีย์ย่อมเป็นใหญ่ เป็นประธาน ด้วยสามารถยังกิจของตนให้สำเร็จได้.
บทว่า ภาวนาย (ในภาวนา) เป็นสัตตมีวิภัตติ หรือเพื่อประโยชน์แก่การเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป.
บทว่า ตทนฺวยานิ โหนฺติ (เป็นไปตามอินทรีย์นั้น) คือไปตามอินทรีย์นั้น คล้อยไปตามอินทรีย์นั้น.
บทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ (ทั้งเป็นสหชาตปัจจัย) (สหชาตปัจจัย คือปัจจัยเกิดร่วมกัน) คือเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเป็นอุปการะ เพราะความที่เกิดร่วมกัน ดุจประทีปเป็นอุปการะแก่แสงสว่าง ฉะนั้น.
บทว่า อญฺมญฺปจฺจยา โหนฺติ (เป็นอัญญมัญญปัจจัย) เป็นปัจจัยของกันและกัน คือเป็นอุปการะแก่กันและกัน โดยความช่วยเหลือให้เกิด โดยความเกิดขึ้นและความอุปถัมภ์กันและกัน ดุจไม้ ๓ อันค้ำจุนกันและกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 388
บทว่า นิสฺสยปจฺจยา โหนฺติ (เป็นนิสสยปัจจัย) ปัจจัยที่อาศัยกัน คือเป็นอุปการะ โดยอาการตั้งมั่น และโดยอาการเป็นที่อาศัย ดุจพื้นแผ่นดินเป็นต้นนเป็นอุปการะแก่ความงอกงามแห่งต้นไม้.
บทว่า สมฺปยุตฺตปจฺจยา โหนฺติ (เป็นสัมปยุตตปัจจัย) ปัจจัยที่ประกอบกัน คือเป็นอุปการะโดยความเป็นสัมปยุตต กล่าวคือมีวัตถุอันเดียวกัน มีอารมณ์อันเดียวกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน.
บทว่า ปฏิเวธกาเล (ในกาลแทงตลอด) คือในเวลาแทงตลอดสัจจะในขณะแห่งมรรค.
บทว่า ปญฺินฺทฺริยํ อาธิปเตยฺยํ โหติ (ปัญญินทรีย์เป็นใหญ่) คือปัญญินทรีย์นั่นแลทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ในขณะแห่งมรรค ย่อมเป็นใหญ่ด้วยสามารถทำกิจ คือเห็นสัจจะ และด้วยสามารถทำกิจ คือละกิเลส.
บทว่า ปฏิเวธาย (ในการแทงตลอด) คือเพื่อต้องการแทงตลอดสัจจะ.
บทว่า เอกรสา (มีรสอย่างเดียวกัน) ธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน คือด้วยวิมุตติรส.
บทว่า ทสฺสนฏฺเน (เพราะอรรถว่า เห็น) คือเพราะอรรถว่า เห็นสัจจะ.
บทว่า เอวํ ปฏิวิชฺฌนฺโตปิ ภาเวติ ภาเวนฺโตปิ ปฏิวิชฺฌติ (ด้วยอาการอย่างนี้ แม้บุคคลผู้แทงตลอดก็ย่อมเจริญ แม้บุคคลผู้เจริญก็ย่อมแทงตลอด) (ภาวนา คือทำให้เจริญ) ท่านกล่าวเพื่อแสดงความเป็นไปทั้งปวง แห่งการเจริญและการแทงตลอดคราวเดียวเท่านั้นในขณะแห่งมรรค ท่านประกอบ อปิ ศัพท์ใน บทว่า ปฏิเวธกาเลปิ เพราะปัญญินทรีย์นั่นแลเป็นใหญ่ แม้ในขณะแห่ง วิปัสสนาด้วยอนัตตานุปัสสนา.
บทมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต กตมินฺทฺริยํ อธิมตฺตํ โหติ (เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 389
ท่านกล่าวเพื่อแสดงความต่างแห่งบุคคลด้วยสามารถแห่งอินทรีย์.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อธิมตฺตํ (ประมาณยิ่ง) คือยิ่ง ในบทนั้นพึงทราบความที่สัทธินทรีย์ สมาธินทรีย์เเละปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยความวางเฉยในสังสาร.
ในบทว่า สทฺธาวิมุตฺโต (สัทธาธิมุต) น้อมใจเชื่อนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นสัทธาวิมุต ในฐานะ ๗ เหล่านั้นเว้นโสดาปัตติมรรค เพราะแม้เมื่อท่านกล่าวไม่แปลกกันในบทนี้ ก็กล่าวแปลกกันในบทต่อไป ท่านกล่าวว่า บุคคลเป็นสัทธาวิมุต เพราะความที่สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง มิใช่เป็นสัทธาวิมุต เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งในที่ทั้งปวง อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ในอินทรีย์ที่เหลือ แม้เมื่อมีสมาธินทรีย์และปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค บุคคลก็เป็นสัทธาวิมุตได้เหมือนกัน.
บทว่า กายสกฺขี โหติ (บุคคลเป็นกายสักขี) มีกายเป็นสักขี คือบุคคล ชื่อว่า เป็นกายสักขีในฐานะทั้ง ๘ อย่าง.
บทว่า ทิฏฺฐิปฺปตฺโต โหติ (บุคคลเป็นทิฏฐิปัตตะ) ถึงแล้วซึ่งทิฏฐิ พึงทราบตามนัยดังกล่าวแล้วในสัทธาวิมุตนั่นแล.
บทว่า สทฺทหนฺโต วิมุตฺโตติ สทฺธาวิมุตฺโต (บุคคล ชื่อว่า สัทธาวิมุต เพราะเชื่อ น้อมใจไป) ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า สัทธาวิมุต เพราะเชื่อในขณะโสดาปัตติมรรค เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง น้อมใจไปในขณะแห่งผลแม้ ๔ บัดนี้ จักกล่าวถึงความเป็นสัทธาวิมุตในขณะมรรค ๓ เบื้องสูง แต่จักกล่าวความที่เป็นสัทธานุสารี (แล่นไปตามศรัทธา) ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรคในภายหลัง.
บทว่า ผุฏฺตฺตา สจฺฉิกโตติ กายสกฺขี (บุคคล ชื่อว่า เป็นกายสักขี เพราะทำให้แจ้ง เพราะเป็นผู้ถูกต้องธรรม) เมื่อความเป็นสุกขวิปัสสกมีอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 390
เมื่อความที่ผลแห่งอุปจารฌานได้รูปฌานและอรูปฌานมีอยู่ บุคคล ชื่อว่า เป็นกายสักขี เพราะทำให้แจ้งนิพพาน เพราะเป็นผู้ถูกต้องผลของรูปฌานและอรูปฌาน ท่านอธิบายว่า เป็นสักขี (พยาน) ในการสัมผัสฌานและในนิพพานมีประการดังกล่าวแล้วโดยนามกาย.
บทว่า ทิฏฺตฺตา ปตฺโตติ ทิฏฺิปฺปตฺโต (บุคคล ชื่อว่า เป็นทิฏฐิปัตตะ เพราะบรรลุแล้ว เพราะเป็นผู้เห็นธรรม) คือบุคคล ชื่อว่า เป็นทิฏฐิปัตตะ เพราะบรรลุนิพพานด้วยอำนาจแห่งโสดาปัตติผลเป็นต้นในภายหลัง เพราะเห็นนิพพานก่อนด้วยปัญญินทรีย์อันสัมปยุตในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ท่านอธิบายว่า บรรลุนิพพานด้วยทิฏฐิ คือปัญญินทรีย์ แต่จักกล่าวความที่เป็นธัมมานุสารี (แล่นไปตามธรรม) ในขณะโสดาปัตติมรรคในภายหลัง.
บทว่า สทฺทหนฺโต วิมุจฺจตีติ สทฺธาวิมุตฺโต (บุคคล ชื่อว่า เป็นสัทธาวิมุต เพราะเชื่ออยู่ ย่อมน้อมใจไป) คือบุคคล ชื่อว่า เป็นสัทธาวิมุต เพราะเชื่ออยู่น้อมใจไปในขณะแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิมรรคและอรหัตมรรค เพราะความที่สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง แม้กำลังจะพ้น ท่านก็กล่าวว่า วิมุต (พ้นแล้ว) ด้วยอำนาจคำที่หวังผลได้.
บทว่า ฌานผสฺสํ (ถูกต้องฌาน) คือถูกต้องฌาน ๓ อย่าง ท่านกล่าวบทมีอาทิว่า ฌานผสฺสํ และบทมีอาทิว่า ทุกฺขา สงฺขารา (สังขารเป็นทุกข์) ก่อนแล้วจึงกล่าวทั้งสองบทให้ต่างกัน (ให้พิเศษขึ้น).
บทว่า าณํ โหติ (ญาณ ความรู้ เป็นญาณ) เป็นอาทิมีความดังได้กล่าวแล้วในหนหลัง อนึ่ง ในบทนี้ อาจารย์ทั้งหลายอธิบายว่า บุคคลผู้ได้ฌาน ครั้นออกแล้วด้วยทุกขานุปัสสนาอันอนุกูลแก่สมาธินทรีย์ ย่อมบรรลุมรรคผล.
บทว่า สิยา (พึงเป็น) แปลว่า พึงมี พึงเป็น บทนี้ เป็นชื่อของวิธีเท่านั้น.
บทว่า ตโย ปุคฺคลา (บุคคล ๓ จำพวก)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 391
คือบุคคล ๓ จำพวก ที่ท่านกล่าวแล้วด้วยวิปัสสนานิยม (การกำหนดวิปัสสนา) และด้วยอินทรีย์นิยม (การกำหนดอินทรีย์).
บทว่า วตฺถุวเสน (ด้วยสามารถแห่งวัตถุ) คือด้วยสามารถแห่งวัตถุคืออินทรีย์หนึ่งๆ ในอนุปัสสนา ๓.
บทว่า ปริยาเยน (โดยปริยาย) คือโดยปริยายนั้นนั่นเอง ด้วยวาระนี้ท่านแสดงถึงอะไร ท่านแสดงว่า ท่านกล่าวถึงความเป็นใหญ่แห่งอินทรีย์หนึ่งๆ ด้วยอนุปัสสนาหนึ่งๆ ในตอนต้นโดยเยภุยยนัย และแสดงว่า ความเป็นใหญ่แห่งอินทรีย์หนึ่งๆ ในอนุปัสสนาแม้ ๓ ย่อมมีได้ในบางคราว อีกอย่างหนึ่ง ชื่อมีสัทธาวิมุตเป็นต้น ย่อมมีในขณะแห่งมรรคและผล โดยเพ่งถึงความเป็นใหญ่แห่งอินทรีย์เหล่านั้นๆ ในวิปัสสนาอันเป็นส่วนเบื้องต้นเหล่านั้น เพราะมีอนุปัสสนาทั้ง ๓ ในขณะแห่งวิปัสสนาอันเป็นส่วนเบื้องต้นเหล่านั้น เพราะเมื่อกล่าวอยู่อย่างนี้ การกำหนดอินทรีย์ ความเป็นอธิบดี และบุคคล ที่ท่านทำไว้ในวุฏฐานคามินีวิปัสสนาข้างต้นและที่กระทำไว้ต่อมา ก็เป็นอันท่านทำดีแล้ว และไม่หวั่นไหวเลย.
ในอนันตวาระ (ในวาระถัดไป) บทว่า สิยาติ อญฺโเยว (พึงเป็นอย่างอื่น) คือพึงเป็นอย่างนี้ ในบทนี้ ท่านกล่าวถึงแล้วในบทก่อน เป็นข้อกำหนด.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเพื่อแสดงจำแนกบุคคลวิเศษ (จำแนกแสดงความต่างแห่งบุคคล) ด้วยสามารถแห่งมรรคและผล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโจ ฯลฯ โสตาปตฺติมคฺคํ ปฏิลภติ (เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค).
ในบทเหล่านั้น บุคคล ชื่อว่า เป็นสัทธานุสารี เพราะระลึกถึง คือไปตามศรัทธา หรือระลึกถึงไปตามนิพพานด้วยศรัทธา.
บทว่า สจฺฉิกตา (ทำให้แจ้ง) คือทำให้ประจักษ์.
บทว่า อรหตฺตํ (อรหัต) คืออรหัตผล.
ชื่อว่า ธรรมานุสารี เพราะระลึกถึงธรรม กล่าวคือปัญญา หรือระลึกถึงนิพพานด้วยธรรมนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 392
พระสารีบุตรเถระประสงค์จะพรรณนาถึงบุคคลวิเศษด้วยความวิเศษ (จะพรรณนาความต่างแห่งบุคคลด้วยความต่าง) แห่งอินทรีย์ ๓ โดยปริยายอื่นอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เย หิ เกจิ บุคคล เหล่าใดเหล่าหนึ่งดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ภาวิตา วา (เจริญแล้ว) คือเจริญแล้วในอดีต.
บทว่า ภาเวนฺติ วา (ย่อมเจริญ) คือเจริญในปัจจุบัน.
บทว่า ภาวิสฺสนฺติ วา (จักเจริญ) คือจักเจริญในอนาคต.
หมวด ๓ แต่ละหมวดมีบทว่า อธิคตา วา (บรรลุแล้ว) บรรลุแล้วเป็นต้น ท่านกล่าวเพื่อขยายอรรถแห่งบทก่อนๆ อันมีที่สุดเป็นอย่างหนึ่งๆ.
บทว่า ผสฺสิตา วา (ถูกต้องแล้ว) คือถูกต้องแล้วด้วย ญาณผุสนา (การถูกต้องด้วยญาณ).
บทว่า วสิปฺปตฺตา (ถึงความชำนาญแล้ว) คือถึงความเป็นใหญ่.
บทว่า ปารมิปฺปตฺตา (ถึงความสำเร็จแล้ว) คือถึงที่สุดแล้ว.
บทว่า เวสารชฺชปฺปตฺตา (ถึงความแกล้วกล้า) คือถึงความมั่นใจ ถึงความกล้าหาญ ในที่ทั้งปวง สัทธาวิมุตบุคคลเป็นต้นย่อมมีในขณะที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง สติปัฏฐานเป็นต้นย่อมมีในขณะแห่งมรรคนั่นแล.
บทว่า อฏฺ วิโมกฺเข (ซึ่งวิโมกข์ ๘) คือบุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง บรรลุวิโมกข์ ๘ มีอาทิว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ (ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย) ดังนี้ ด้วยการบรรลุปฏิสัมภิทามรรคนั่นเอง.
บทว่า ติสฺโส สิกฺขา (ซึ่งสิกขา ๓) คืออธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ผู้บรรลุมรรคแล้วยังศึกษาอยู่.
บทว่า ทุกฺขํ ปริชานนฺติ (กำหนดรู้ทุกข์) เป็นต้น กำหนดรู้ในขณะแห่งมรรคนั่นเอง.
บทว่า ปริญฺาปฏิเวธํ ปฏิวิชฺฌติ (แทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา) แทงตลอดโดยการแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ ชื่อว่า ปริญญาปฏิเวธะ เพราะแทงตลอดด้วยการแทงตลอดด้วยปริญญา หรือพึงแทงตลอดด้วยปริญญา แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น.
ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า อภิญญาปฏิเวธะ (แทงตลอดด้วยอภิญญา (การแทงตลอดด้วยภาวนา) ท่านกล่าวให้พิเศษด้วยคำว่า ธรรมทั้งปวง เป็นต้น.
ส่วนเเทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา (ด้วยการทำให้แจ้ง) พึงทราบด้วยสามารถความสำเร็จแห่งญาณในการพิจารณานิพพานใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 393
ขณะแห่งมรรคนั่นเอง ในที่นี้เป็นอันท่านชี้แจงถึงอริยบุคคล ๕ ไว้อย่างนี้ ไม่ชี้แจงถึงอริยบุคคล ๒ เหล่านี้ คืออุภโตภาควิมุต และปัญญาวิมุต แต่ในที่อื่น ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลใดมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากด้วยปัสสัทธิ (สงบ) ย่อมได้สมาธินทรีย์ บุคคลนั้น ชื่อว่า กายสักขีในที่ทั้งปวง ส่วนบุคคลบรรลุอรูปฌานแล้วบรรลุผลเลิศ ชื่อว่า อุภโตภาควิมุต อนึ่ง บุคคลใดมนสิการโดยความเป็นอนัตตา มากด้วยความรู้ ย่อมได้ปัญญินทรีย์ บุคคลนั้น ชื่อว่า ธรรมานุสารีในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะในฐานะ ๖ ชื่อว่า ปัญญาวิมุตในผลอันเลิศ ในที่นี้ ท่านสงเคราะห์บุคคลเหล่านั้นด้วยกายสักขีและทิฏฐิปัตตะ แต่โดยอรรถ ชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เพราะพ้นโดยส่วนสอง คือด้วยอรูปฌานและด้วยอริยมรรค ชื่อว่า ปัญญาวิมุต เพราะรู้อยู่จึงพ้น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เป็นอันท่านชี้แจงถึงความวิเศษ (ความต่าง) ของอินทรีย์และบุคคล.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงถึงวิโมกขวิเศษ (ความต่างแห่งวิโมกข์) และความต่างแห่งบุคคล อันมีวิโมกข์เป็นสภาพถึงก่อนนั่นแหละ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต (เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง).
ในบทเหล่านั้น บทว่า เทฺว วิโมกฺขา (วิโมกข์ ๒ อย่าง) คืออัปปณิหิตวิโมกข์และสุญญตวิโมกข์ มรรคได้ชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ ด้วยสามารถถึงอนิจจานุปัสสนา ย่อมได้แม้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ โดยความมีคุณเพราะไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นที่ตั้ง และโดยอารมณ์ เพราะทำนิพพานอันได้ชื่อว่า อัปปณิหิตะ เพราะไม่มีปณิธิ (ที่ตั้ง) เหล่านั้นให้เป็นอารมณ์ อนึ่ง ย่อมได้แม้ชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ โดยความมีคุณ เพราะว่างเปล่าจากราคะ โทสะและโมหะ และโดยอารมณ์ เพราะทำนิพพานอันได้ชื่อว่า สุญญตะ เพราะว่างเปล่าจากราคะเป็นต้นนั่นแล ให้เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น วิโมกข์ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 394
เหล่านั้น จึงชื่อว่า ไปตามอนิมิตตวิโมกข์ อนึ่ง พึงทราบว่า วิโมกข์ ๒ เหล่านั้น แม้ไม่อื่นไปจากมรรคอันเป็นอนิมิตตะ (อนิมิตตมรรค) จึงเป็นทั้งสหชาตปัจจัยเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งองค์มรรคหนึ่งๆ ขององค์มรรค ๘.
บทว่า เทฺว วิโมกฺขา (วิโมกข์ ๒ อย่าง) อีกครั้ง คือสุญญตวิโมกข์และอนิมิตตวิโมกข์ จริงอยู่ มรรคได้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ด้วยสามารถแห่งการถึงทุกขานุปัสสนา ย่อมได้แม้ชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ โดยความมีคุณ เพราะไม่มีรูปนิมิต ราคนิมิตและนิจจนิมิตเป็นต้น และโดยอารมณ์ เพราะทำนิพพาน กล่าวคืออนิมิตตะ เพราะไม่มีนิมิตเหล่านั้นเลย ให้เป็นอารมณ์ พึงประกอบ บทที่เหลือโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า เทฺว วิโมกฺขา (วิโมกข์ ๒ อย่าง) อีกครั้ง คืออนิมิตตวิโมกข์และอัปปณิหิตวิโมกข์ ในบทนี้ การประกอบความมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า ปฏิเวธกาเล (ในกาลแทงตลอด) ท่านกล่าวแล้วตามลำดับของอินทรีย์ทั้งหลายดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว อนึ่ง ชื่อว่า วิโมกข์ในขณะแห่งวิปัสสนาเพราะปล่อย (ละ) ขณะแห่งมรรคเสีย ย่อมไม่มี แต่ท่านแสดงมรรควิโมกข์ที่กล่าวไว้แล้วครั้งแรกให้แปลกไป (พิเศษขึ้น) ด้วยคำว่า ปฏิเวธกาเล (ในเวลาแทงตลอด) ท่านย่อ ๒ วาระมีอาทิว่า บุคคลใดเป็นสัทธาวิมุต ( โย จายํ ปุคฺคโล สทฺธาวิมุตฺโต ) และวาระมีอาทิว่า เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงย่อมได้โสดาปัตติมรรค ไว้ แต่พึงประกอบด้วยอำนาจแห่งวิโมกข์แล้วทราบโดยพิสดาร.
พึงทราบวาระมีอาทิว่า เย หิ เกจิ เนกฺขมฺมํ (ก็บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ซึ่งเนกขัมมะ) ตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านชี้แจงถึงความวิเศษ (ความต่าง) ของวิโมกข์และบุคคล.
พระสารีบุตรเถระประสงค์จะชี้แจงประธานของวิโมกข์ และวิโมกข์อีกเป็นหลายอย่าง จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรนฺโต (เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 395
บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง).
ในบทเหล่านั้น บทว่า ยถาภูตํ (ตามความเป็นจริง) คือตามสภาวะ.
บทว่า ปชานาติ (ย่อมรู้) คือย่อมรู้ด้วยญาณ.
บทว่า ปสฺสติ (ย่อมเห็น) คือเห็นด้วยญาณนั้นนั่นเอง ดุจเห็นด้วยจักษุ.
บทว่า ตทนฺวเยน (โดยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้น) อธิบายว่า โดยไปตามสัมมาทัศนะนั้นที่เห็นแล้วด้วยญาณโดยประจักษ์.
บทว่า กงฺขา ปหียติ (ย่อมละความสงสัยได้) คือความสงสัยว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง ย่อมละได้ด้วยอนิจจานุปัสสนา ความสงสัยนอกนี้ย่อมละได้ด้วยอนุปัสสนานอกนี้.
บทว่า นิมิตฺตํ (นิมิต) คือย่อมรู้สังขารนิมิตอันเป็นอารมณ์ตามความเป็นจริง เพราะละนิจจสัญญาได้ด้วยการแยกสันตติและฆนะออกไป.
บทว่า เตน วุจฺจติ สมฺมาทสฺสนํ (เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าสัมมาทัศนะ) เพราะรู้ตามความเป็นจริงนั้น ท่านจึงกล่าวญาณนั้นว่า สัมมาทัศนะ.
บทว่า ปวตฺตํ (ความเป็นไป) คือรู้ความเป็นไปอันเป็นวิบาก แม้ที่สมมติว่าสุข ตามความเป็นจริง เพราะละตัณหา กล่าวคือปณิธิได้ด้วยการถอนสุขสัญญาในอาการอันถึงทุกข์แล้ว ละด้วยสุขสัญญา (ละความสำคัญว่าสุขได้).
บทว่า นิมิตฺตญฺจ ปวตฺตญฺจ (ย่อมรู้ย่อมเห็นนิมิตและความเป็นไป) คือย่อมรู้สังขารนิมิตและความเป็นไปอันเป็นวิบากตามความเป็นจริง เพราะละอัตตสัญญา แม้โดยประการทั้งสองด้วยการถอนฆนะอันรวมกันอยู่ด้วยมีมนสิการถึงธาตุต่างๆ.
ญาณ ๓ ญาณ มีอาทิว่า ยญฺจ ยถาภูตํ าณํ (ยถาภูตญาณ) ท่านกล่าวไว้ในปัจจุบันเท่านั้น มิได้กล่าวถึงญาณอย่างอื่น.
บทว่า ภยโต อุปฏฺาติ (ย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว) คือนิมิตและความเป็นไปนั้นๆ ย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัวตามลำดับ เพราะเห็นความไม่มีใน ความเที่ยง ความสุขและตัวตน (อัตตา).
ด้วยบทมีอาทิว่า ยา จ ภยตูปฏฺาเน ปญฺา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 396
(ภยตูปัฏฐานปัญญา) ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว ท่านกล่าวถึงญาณ ๓ ตั้งอยู่ในญาณเดียว (ที่มีอรรถอย่างเดียวกัน) อันแตกต่างกันโดยประเภทของหน้าที่ (การกำหนด) ที่สัมพันธ์กับภยตูปัฏฐานญาณในวิปัสสนาญาณ ๙ กล่าวคือปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติ) ที่ท่านกล่าวไว้แล้ว คืออุทยัพพยานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นทั้งความเกิดทั้งความดับ) ๑ ภังคานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นความดับ) ๑ ภยตุปัฏฐานญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว) ๑ อาทีนวานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นโทษ) ๑ นิพพิทานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงถึงความเบื่อหน่าย) ๑ มุญจิตุกัมยตาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย) ๑ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยพิจารณาหาทาง) ๑ สังขารุเบกขาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยความวางเฉยเสีย) ๑ อนุโลมญาณ (ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ) ไม่กล่าวถึงญาณที่เหลือ.
พระสารีบุตรเถระ เพื่อแสดงความที่สุญญตานุปัสสนาและอนัตตานุปัสสนามีอรรถอย่างเดียวกัน โดยสัมพันธ์แห่งอนัตตานุปัสสนาอันเป็นลำดับ อันตั้งอยู่ในที่สุดแห่งในอนุปัสสนา ๓ อีก จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ยา จ อนตฺตานุปสฺสนา ยา จ สุญฺตานุปสฺสนา (ธรรมเหล่านี้ คืออนัตตานุปัสสนาและสุญญตานุปัสสนา) เพราะญาณ ๒ เหล่านี้ โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน แต่ต่างกันโดยประเภทของหน้าที่ (การกำหนด) ญาณทั้ง ๒ เหล่านี้ ฉันใด อนิจจานุปัสสนาและอนิมิตตานุปัสสนา โดยอรรถเป็นญาณอย่างเดียวกัน ทุกขานุปัสสนาและอัปปณิหิตานุปัสสนา โดยอรรถเป็นญาณอย่างเดียวกัน ต่างกันโดยประเภทของหน้าที่ (การกำหนด) เท่านั้น ฉันนั้น เมื่อท่านกล่าวความที่อนัตตานุปัสสนาและสุญญตานุปัสสนามีอรรถอย่างเดียวกัน เป็นอันท่านกล่าวถึงความที่ญาณแม้ทั้งสองเหล่านั้น ตั้งอยู่เป็นอันเดียวกัน (มีอรรถอย่างเดียวกัน) เพราะมีลักษณะอย่างเดียวกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 397
บทว่า นิมิตฺตํ ปฏิสงฺขา าณํ อุปฺปชชฺติ (ญาณ คือการพิจารณานิมิตย่อมเกิด) คือญาณย่อมเกิดเพราะรู้ด้วยอำนาจแห่งอนิจจลักษณะว่า "สังขารนิมิตไม่ยั่งยืนเป็นไปชั่วกาล" ย่อมเกิดขึ้น ถึงแม้ญาณเกิดขึ้นภายหลังเพราะรู้ก่อน ก็จริง ถึงดังนั้นโดยโวหาร ท่านกล่าวอย่างนี้ดุจบทมีอาทิว่า "มโนวิญญาณ ย่อมเกิดเพราะอาศัยใจและธรรม" อนึ่ง แม้ผู้รู้คัมภีร์ศัพทศาสตร์ย่อมปรารถนา บทนี้แม้ในกาลเสมอกัน (แม้ในเวลาที่เกิดพร้อมกัน) ดุจในบทมีอาทิว่า ความมืดย่อมปราศจากไป เพราะดวงอาทิตย์โผล่ อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าท่านกล่าวอย่างนี้ เพราะทำบทต้นและบทท้ายเป็นอันเดียวกันโดยนัยแห่งความเป็นอันเดียวกัน โดยนัยนี้ พึงทราบอรรถในสองบทนอกนี้.
ความที่ญาณ ๓ อย่าง มีมุญจิตุกัมยตาญาณเป็นต้น ตั้งอยู่อย่างเดียวกัน (มีอรรถอย่างเดียวกัน) มีนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
บทว่า นิมิตฺตา จิตฺตํ วุฏฺาติ (จิตย่อมออกไปจากนิมิต) คือจิต ชื่อว่า ย่อมออกไปจากสังขารนิมิต เพราะไม่ติดอยู่ในสังขารนิมิต ด้วยเห็นโทษในสังขารนิมิต.
บทว่า อนิมิตฺเต จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ (จิตย่อมแล่นไปในนิพพานอันหานิมิตมิได้) คือจิตย่อมเข้าไปในนิพพานอันหานิมิตมิได้ (นิพพาน กล่าวคืออนิมิตตะ) โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อสังขารนิมิต เพราะจิตน้อมไปในนิพพานนั้น แม้ในอนุปัสสนาทั้งสองที่เหลือ ก็พึงทราบความโดยนัยนี้.
บทว่า นิโรธนิพฺพานธาตุยา (ในนิพพานธาตุอันเป็นที่ดับ) คือในบทนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงแม้สองอนุปัสสนาแรก ปาฐะว่า นิโรเธ ก็มี.
บทว่า พหิทฺธาวุฏฺานวิวฏฺฏเนปญฺา (พหิทธาวุฏฐานวิวัฏฏนปัญญา) ปัญญาในความออกไปและความหลีกไปภายนอก คือท่านกล่าวถึงโคตรภูญาณโดยการสัมพันธ์ด้วยการออก.
บทว่า โคตฺรภู ธมฺมา (โคตรภูธรรม) คือโคตรภูญาณนั่นเอง จริงอยู่ โดยประการอื่น ความที่ญาณทั้ง ๒ มีอรรถอย่างเดียวกัน ย่อมไม่ถูกต้อง พึงทราบว่าท่านทำเป็นพหุวจนะ ดุจในบทมีอาทิว่า ธรรมทั้งหลายที่เป็นอสังขตะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 398
ธรรมทั้งหลายที่ไม่เป็นปัจจัย หรือด้วยสามารถแห่งมรรค ๔.
เพราะวิโมกข์ ก็คือมรรค และมรรค ก็คือทุภโตวุฏฐาน (ออกไปจากส่วนทั้งสอง) ฉะนั้น ด้วยความสัมพันธ์นั้น ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า ยา จ ทุภโตวุฏฺานวิวฏฺฏเน ปญฺา (ทุภโตวุฏฐานวิวัฏฏนปัญญา) ปัญญาในความออกไปและหลีกออกไปจากส่วนทั้งสอง.
พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงปริยายแห่งขณะต่างกันของวิโมกข์ทั้งหลายไว้ในขณะเดียวกันอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กตีหากาเรหิ (ด้วยอาการเท่าไร).
ในบทเหล่านั้น บทว่า อาธิปเตยฺยฏฺเน (ด้วยความเป็นใหญ่) คือด้วยความเป็นหัวหน้า.
บทว่า อธิฏฺานฏฺเน (ด้วยความตั้งมั่น) ได้แก่ ด้วยความตั้งไว้เฉพาะ.
บทว่า อภินีหารฏฺเน (ด้วยความน้อมจิตไป) คือด้วยความน้อมจิตไปโดยวิปัสสนาวิถี.
บทว่า นิยฺยานฏฺเน (ด้วยความนำออกไป) คือด้วยการเข้าถึงนิพพาน.
บทว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต (มนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง) คือในขณะแห่งวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินีนั่นเอง.
บทว่า อนิมิตฺโต วิโมกฺโข (อนิมิตตวิโมกข์) คือในขณะแห่งมรรคนั่นเอง ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้.
บทว่า จิตฺตํ อธิฏฺาติ (ย่อมตั้งจิตมั่นไว้) คือทำจิตให้ยิ่งตั้งมั่นไว้ อธิบายว่า ยังจิตให้ตั้งมั่น.
บทว่า จิตฺตํ อภินีหรติ (ย่อมน้อมจิตไป) คือน้อมจิตไปโดยวิปัสสนาวิถี.
บทว่า นิโรธํ นิพฺพานํ นิยฺยาติ (ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอันเป็นที่ดับ) คือย่อมเข้าถึงนิพพาน กล่าวคือนิโรธ ท่านแสดงความที่วิโมกข์มีขณะต่างกัน ๔ ส่วนโดยความต่างกันด้วยอาการอย่างนี้ว่า บุคคลย่อมเข้าถึงนิพพาน กล่าวคือความดับ.
พึงทราบวินิจฉัยในความที่วิโมกข์มีในขณะเดียวกัน ดังต่อไปนี้บทว่า สโมธานฏฺเน (ด้วยความประชุมลง) คือด้วยความประชุมรวมกัน.
บทว่า อธิคมนฏฺเน (ด้วยความบรรลุ) คือด้วยความประสบ.
บทว่า ปฏิลาภฏฺเน (ด้วยความได้) คือด้วยการถึง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 399
บทว่า ปฏิเวธฏฺเน (ด้วยความแทงตลอด) คือด้วยความแทงตลอดด้วยญาณ.
บทว่า สจฺฉิกรณฏฺเน (ด้วยความทำให้แจ้ง) คือด้วยทำให้ประจักษ์.
บทว่า ผสฺสนฏฺเน (ด้วยความถูกต้อง) คือด้วยความถูกต้องด้วยการสัมผัสด้วยญาณ.
บทว่า อภิสมยฏฺเน (ด้วยความตรัสรู้) คือด้วยความมาถึงพร้อมเฉพาะหน้า.
บรรดาบทเหล่านี้ ในบทว่า สโมธานฏฺเน (ด้วยความประชุมลง) นี้ เป็นบทมูลเหตุ (มูลบท) บทที่เหลือเป็นไวพจน์ของความสำเร็จ (การบรรลุ) เพราะฉะนั้นแล ท่านจึงทำการแก้บททั้งหมดเป็นอันเดียวกัน.
บทว่า นิมิตฺตา มุจฺจติ (ย่อมพ้นจากนิมิต) คือพ้นจากนิมิตว่าเป็นสภาพเที่ยง ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงอรรถของวิโมกข์.
บทว่า ยโต มุจฺจติ (พ้นจากอารมณ์ใด) คือพ้นจากนิมิตใด.
บทว่า ตตฺถ น ปณิทหติ (ย่อมไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น) คือไม่ทำความปรารถนาในนิมิตนั้น.
บทว่า ยตฺถ น ปฏิทหติ (ย่อมไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด) คือย่อมไม่ตั้งอยู่ในนิมิตใด.
บทว่า เตน สุญฺโ (เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น) คือว่างเปล่าจากนิมิตนั้น.
บทว่า เยน สุญฺโ (เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์ใด) คือเป็นผู้ว่างเปล่าจากนิมิตใด
ด้วยบทนี้ว่า เตน นิมิตฺเตน อนิมิตฺโต (ไม่มีนิมิตเพราะนิมิตนั้น) ท่านกล่าวถึงความไม่มีนิมิต.
บทว่า ปณิธิยา มุจฺจติ (ย่อมพ้นจากความปรารถนาอันเป็นที่ตั้ง) ปาฐะว่า ปณิธิ มุจฺจติ ก็มี ซึ่งอรรถเป็นปัญจมีวิภัตตินั่นเอง คือพ้นจากปณิธิ ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงวิโมกข์.
บทว่า ยตฺถ น ปณิทหติ (บุคคลย่อมไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด) คือไม่ตั้งอยู่ในทุกข์ใด.
บทว่า เตน สุญฺโ (เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น) คือว่างเปล่าจากทุกข์นั้น.
บทว่า เยน สุญฺโ (เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์ใด) คือว่างเปล่าจากทุกขนิมิตใด.
บทว่า เยน นิมิตฺเตน (เพราะนิมิตใด) คือเพราะทุกขนิมิตใด.
ด้วยบทนี้ว่า ตตฺถ น ปณิทหติ (บุคคลไม่ตั้งอยู่ในนิมิตนั้น) ท่านกล่าวถึงความไม่ตั้งไว้.
ด้วยบทนี้ว่า อภินิเวสา มุจฺจติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 400
(พ้นจากความยึดมั่น) ท่านกล่าวถึงวิโมกข์.
บทว่า เยน สุญฺโ (เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์ใด) ได้แก่ เป็นผู้ว่างเปล่าจากนิมิต คือความยึดมั่นใด.
บทว่า เยน นิมิตฺเตน (เพราะนิมิตใด) ได้แก่ เพราะนิมิต คือความยึดมั่นใด.
บทว่า ยตฺถ น ปณิทหติ เตน สุญฺโ (บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น) ได้แก่ ไม่ตั้งอยู่ในนิมิต คือความยึดมั่นใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากนิมิต คือความยึดมั่นนั้น ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงเนื้อความสุญญตะ.
พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงวิโมกข์ ๘ เป็นต้นอีก จึงกล่าวคำ มีอาทิว่า อตฺถิ วิโมกฺโข (วิโมกข์มีอยู่) ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทมีอาทิว่า นิจฺจโต อภินิเวสา (พ้นจากความยึดมั่น โดยความเป็นของไม่เที่ยง) พึงทราบโดยนัยที่ท่านกล่าวแล้วในสัญญาวิโมกข์.
บทว่า สพฺพาภินิเวเสหิ (จากความยึดมั่นทั้งปวง) ได้แก่ จากความยึดมั่นมีประการดังกล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้ ชื่อว่า สุญญตวิโมกข์ ด้วยสามารถแห่งการพ้นจากความยึดมั่น ชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ ด้วยสามารถแห่งความพ้นจากนิมิตมีความเป็นสภาพเที่ยงเป็นต้น ชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ด้วยสามารถแห่งความพ้นจากความปรารถนาอันเป็นที่ตั้งมีความเป็นสภาพเที่ยงเป็นต้น.
อนึ่ง ในบทนี้ว่า ปณิธิ มุจฺจติ (ย่อมพ้นจากที่ตั้ง) พึงทราบว่า เป็นปัญจมีวิภัตติในที่ทั้งปวง แปลว่า พ้นจากปณิธิ หรือปาฐะว่า ปณิธิยา มุจฺจติ แปลอย่างเดียวกันว่า พ้นจากปณิธิ มีตัวอย่างในบทนี้ว่า สพฺพปณิธีหิ มุจฺจติ (พ้นจากปณิธิทั้งปวง) ด้วยประการฉะนี้ ท่านกล่าวอนุปัสสนา ๓ อย่างนี้ว่า วิโมกข์ โดยปริยาย เพราะความที่วิโมกข์เป็นองค์ของวิปัสสนานั้น เพราะเป็นตทังควิโมกข์และเพราะเป็นปัจจัยแห่งสมุจเฉทวิโมกข์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 401
บทว่า ตตฺถ ชาตา (เกิดในมรรควิโมกข์นั้น) ท่านอธิบายว่า เมื่อวิปัสสนาวิโมกข์แม้อยู่ในลำดับถัดมา กุศลธรรมทั้งหลายเกิดในมรรควิโมกข์นั้น เพราะกถานี้เป็นอธิการแห่งมรรควิโมกข์.
บทว่า อนวชฺชกุสลา (กุศลธรรม อันไม่มีโทษ) คือกุศลปราศจากโทษมีราคะเป็นต้น หรือบาลีทำการตัดคำแยกออกจากกัน เป็น อนวชฺชา กุสลา.
บทว่า โพธิปกฺขิยา ธมฺมา (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้) คือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ที่ท่านกล่าวไว้ คือสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริบมรรคมีองค์ ๘.
บทว่า อิทํ มุขํ (นี้ ธรรมเป็นประธาน) ท่านอธิบายว่า ธรรมชาติมีประการดังกล่าวแล้วนี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นประธาน เพราะเป็นประธานแห่งการเข้าไปสู่นิพพานโดยอารมณ์.
บทว่า เตสํ ธมฺมานํ (แห่งธรรมเหล่านั้น) คือแห่งโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น.
บทว่า อิทํ วิโมกฺขมุขํ (นี้เป็นธรรมอันเป็นวิโมกข์และเป็นประธาน) คือนิพพานเป็นนิสสรณวิโมกข์ ในบรรดาวิกขัมภนวิโมกข์ ตทังควิโมกข์ สมุจเฉทวิโมกข์ ปฏิปัสสัทธิวิโมกข์ และนิสสรณวิโมกข์ นิพพาน ชื่อว่า วิโมกฺขมุขํ (เป็นประธาน) เพราะเป็นประธาน ด้วยอรรถว่า สูงสุด ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมหรืออสังขตธรรมมีประมาณเท่าใด วิราคะ เรากล่าวว่า เลิศกว่าธรรมเหล่านั้น" ท่านกล่าวอรรถนี้ด้วยอำนาจแห่งกัมมธารยสมาสว่า "นิพพานนั้น เป็นวิโมกข์ด้วย เป็นประธานด้วย" ชื่อว่า วิโมกฺขมุขํ (อันเป็นวิโมกข์และเป็นประธาน) ในบทว่า วิโมกฺขญฺจ (เป็นวิโมกข์ด้วย) นี้ เป็นลิงควิปลาส.
บทว่า ตีณิ อกุสลมูลานิ (อกุศลมูล ๓) คือราคะ โทสะ โมหะ.
บทว่า ตีณิ ทุจฺจริตานิ (ทุจริต ๓) คือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต.
บทว่า สพฺเพปิ อกุสลา ธมฺมา (อกุศลธรรมแม้ทุกอย่าง)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 402
คืออกุศลธรรมแม้ทั้งหมด อันสัมปยุตด้วยอกุศลมูล อันสัมปยุตและไม่สัมปยุตด้วยทุจริต เว้นโทมนัสที่ควรเสพเป็นต้น.
บทว่า กุสลมูลสุจริตานิ (กุศลมูลและสุจริต) พึงทราบโดยเป็นปฏิปักษ์ (ตรงข้าม) กับคำที่กล่าวแล้ว.
บทว่า สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา (กุสลธรรมแม้ทุกอย่าง) คือกุศลธรรมแม้ทั้งหมดที่เป็นอุปนิสัยแห่งวิโมกข์ ที่สัมปยุตและไม่สัมปยุตด้วยกุศลมูลตามนัยดังกล่าวแล้ว วิวัฏฏกถา (กถาว่าด้วยการหลีกออกไป) ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลัง แต่ในที่นี้ ท่านกล่าวถึงวิวัฏฏะที่เหลือโดยสัมพันธ์กับวิโมกขวิวัฏ.
บทว่า อาเสวนา (การเสพ) คือการเสพตั้งแต่ต้น.
บทว่า ภาวนา (การเจริญ) คือการเจริญแห่งวิโมกข์นั้นนั่นเอง.
บทว่า พหุลีกมฺมํ (การทำให้มาก) คือทำบ่อยๆ ด้วยการถึงความชำนาญ (วสี) แห่งวิโมกข์นั้น อนึ่ง พึงทราบการเสพเป็นต้น ด้วยสามารถยังกิจให้สำเร็จในขณะเดียวแห่งมรรคนั่นเอง.
บทมีอาทิว่า ปฏิลาโภ วา วิปาโก วา (การได้หรือวิบาก) มีอรรถดังได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั้นแล ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาวิโมกขนิเทศ
จบอรรถกถาวิโมกขกถา
แห่งสัทธัมมปกาสินี อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค

