๑. วังคีสเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระวังคีสเถระ
[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 484
เถรคาถา มหานิบาต
๑. วังคีสเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวังคีสเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 53]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 484
เถรคาถา มหานิบาต
๑. วังคีสเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวังคีสเถระ
พระวังคีสเถระ เมื่อบวชแล้วใหม่ๆ ได้เห็นสตรีหลายคนล้วนแต่แต่งตัวเสียงดงาม พากันไปวิหาร ก็เกิดความกำหนัดยินดี เมื่อบรรเทาความกำหนัดยินดีได้แล้ว จึงได้กล่าวคาถา ๙ คาถาสอนตนเอง ความว่า
[๔๐๑] ความตรึกทั้งหลาย กับความคะนองอย่างเลวทรามเหล่านี้ได้ครอบงำเราผู้ออกบวชเป็นบรรพชิต เหมือนกับบุตรของคนสูงศักดิ์ซึ่งมีธนูมาก ทั้งได้ศึกษาวิชาธนูศิลป์มาอย่างเชี่ยวชาญ ยิงลูกธนูมารอบๆ ตัวเหล่าศัตรู ผู้หลบหลีกไม่ทันตั้งพันลูกฉะนั้น. ถึงแม้หญิงจะมามากยิ่งกว่านี้ ก็จักทำการเบียดเบียนเราไม่ได้ เพราะเราได้ตั้งอยู่ในธรรมเสียแล้ว ด้วยว่าเราได้สดับทางอันเป็นที่ให้ถึงนิพพานของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์อย่างชัดแจ้ง ใจของเราก็ยินดีในทางนั้นแน่นอน ดูก่อนมารผู้ชั่วร้าย ถ้าท่านยังเข้ามารุกรานเราผู้เป็นอยู่อย่างนี้ ท่านก็จะไม่ได้เห็นทางของเราตามที่เราทำไม่ให้ท่านเห็น.
ภิกษุควรละความไม่ยินดี ความยินดี และความตรึกอันเกี่ยวกับบุตรและภรรยาเป็นต้นเสียทั้งหมดแล้ว ไม่ควรจะทำตัณหาดังป่าชัฏในที่ไหนๆ อีก เพราะไม่มี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 485
ตัณหาดังป่าชัฏ ชื่อว่าเป็นภิกษุ. รูปอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งอาศัยแผ่นดินก็ดี อยู่ในอากาศก็ดี และมีอยู่ใต้แผ่นดินก็ดี เป็นของไม่เที่ยงล้วนแต่คร่ำคร่าไปทั้งนั้น ผู้ที่แทงตลอดอย่างนี้แล้ว ย่อมเที่ยวไปเพราะเป็นผู้หลุดพ้น ปุถุชนทั้งหลายหมกมุ่นพัวพันอยู่ในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง โผฏฐัพพะที่มากระทบ และอารมณ์ที่ได้ทราบ ภิกษุควรเป็นผู้ไม่หวั่นไหว กำจัดความพอใจในเบญจกามคุณเหล่านี้เสีย เพราะผู้ใดไม่ติดอยู่ในกามคุณเหล่านี้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่าเป็นมุนี. มิจฉาทิฏฐิซึ่งอิงอาศัยทิฏฐิ ๖๒ ประการ เป็นไปกับด้วยความตรึก อันไม่เป็นธรรมตั้งลงมั่น ในความเป็นปุถุชน. ในกาลไหนๆ ผู้ใดไม่เป็นไปในอำนาจของกิเลส ทั้งไม่กล่าวถ้อยคำหยาบคาย ผู้นั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ. ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต มีใจมั่นคงมานมนานแล้ว ไม่ลวงโลก มีปัญญารักษาตน ไม่มีความทะเยอทะยาน เป็นมุนี ได้บรรลุสันติบทแล้ว หวังคอยเวลาเฉพาะปรินิพพาน.
เมื่อพระวังคีสเถระกำจัดมานะที่เป็นไปแก่ตนไว้แล้ว เพราะอาศัยคุณสมบัติ คือความมีไหวพริบของตน จึงได้กล่าวคาถา ๔ คาถาต่อไปอีก ความว่า
ดูก่อนท่านผู้สาวกของพระโคดม ท่านจงละทิ้งความเย่อหยิ่งเสีย จงละทิ้งทางแห่งความเย่อหยิ่งให้หมดเสีย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 486
ด้วย เพราะผู้หมกมุ่นอยู่ในทางแห่งความเย่อหยิ่ง จะต้องเดือดร้อนอยู่ตลอดกาลช้านาน. หมู่สัตว์ผู้ยังมีความลบหลู่คุณท่าน ถูกมานะกำจัดแล้วไปตกนรก หมู่ชนคนกิเลสหนา ถูกความทะนงตัวกำจัดแล้ว พากันตกนรก ต้องเศร้าโศกอยู่ตลอดกาลนาน กาลบางครั้ง ภิกษุปฏิบัติชอบแล้ว ชนะกิเลสด้วยมรรค จึงไม่ต้องเศร้าโศก ยังกลับได้เกียรติคุณและความสุข บัณฑิตทั้งหลายเรียกภิกษุผู้ปฏิบัติชอบอย่างนั้นว่า เป็นผู้เห็นธรรม. เพราะเหตุนั้น ภิกษุในศาสนานี้ไม่ควรมีกิเลสเครื่องตรึงใจ ควรมีแต่ความเพียรชอบ ละนิวรณ์แล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ และละมานะโดยไม่เหลือแล้ว เป็นผู้สงบระงับ บรรลุที่สุดแห่งวิชชาได้. ข้าพเจ้าเร่าร้อนเพราะกามราคะ และจิตใจของข้าพเจ้าก็เร่าร้อนเพราะกามราคะเหมือนกัน ดูก่อนท่านผู้สาวกของพระโคดม ขอพระคุณจงกรุณาบอกธรรมเครื่องดับความเร่าร้อนด้วยเถิด.
ท่านพระอานนทเถระกล่าวคาถา ความว่า
จิตของท่านเร่าร้อนก็เพราะความสำคัญผิด เพราะฉะนั้น ท่านจงละทิ้งนิมิตอันงามซึ่งประกอบด้วยราคะเสีย ท่านจงอบรมจิตให้มีอารมณ์อันเดียว ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของไม่สวยงาม จงอบรมกายคตาสติ จงเป็นผู้มากไปด้วยความเบื่อหน่าย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 487
ท่านจงเจริญอนิมิตตานุปัสสนา จงตัดอนุสัยคือมานะเสีย แต่นั้นท่านจักเป็นผู้สงบระงับ เที่ยวไป เพราะละมานะเสียได้.
คราวหนึ่ง พระวังคีสเถระเกิดความปลาบปลื้มใจในสุภาษิตสูตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว จึงกราบทูลขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถา ๔ คาถา ความว่า
บุคคลควรพูดแต่วาจา ที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อนเท่านั้น อนึ่ง วาจาใดที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต บุคคลควรพูดแต่วาจาที่น่ารักใคร่ ทั้งเป็นวาจาที่ทำให้ร่าเริงได้ ไม่พึงยึดถือวาจาชั่วช้าของคนอื่น พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในคำสัตย์ ทั้งที่เป็นอรรถเป็นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใดเป็นพระวาจาปลอดภัย เป็นไปเพื่อบรรลุนิพพาน เพื่อทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นวาจาสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย.
ครั้งหนึ่ง พระวังคีสเถระกล่าวคาถา ๓ คาถา ด้วยอำนาจสรรเสริญพระสารีบุตรเถระ ความว่า
ท่านพระสารีบุตรมีปัญญาลึกซึ่ง เป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ฉลาดในทางและมิใช่ทาง มีปัญญามากแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ย่อบ้าง พิสดารบ้าง เสียงของท่านผู้กำลัง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 488
แสดงธรรมอยู่ไพเราะ เหมือนกับเสียงนกสาริกา มีปฏิภาณปรากฏรวดเร็ว เหมือนกับคลื่นในมหาสมุทร เมื่อท่านแสดงธรรมด้วยเสียงอันน่ายินดี น่าสดับฟัง ไพเราะจับใจ ภิกษุทั้งหลายได้ฟังคำอันไพเราะ ก็มีใจร่าเริงเบิกบาน พากันตั้งใจฟัง.
ในวันเทศนาพระสูตรเนื่องในวันปวารณา ครั้งหนึ่ง พระวังคีสเถระเห็นพระบรมศาสดาซึ่งกำลังประทับอยู่ มีภิกษุหมู่ใหญ่ห้อมล้อม จึงกล่าวคาถาชมเชยพระองค์ขึ้น ๔ คาถา ความว่า
วันนี้วัน ๑๕ ค่ำ เป็นวันปวารณาวิสุทธิ์ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปมาประชุมกัน ล้วนแต่เป็นผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวผูกพันเสียได้สิ้น ไม่มีความทุกข์ สิ้นภพสิ้นชาติแล้ว เป็นผู้แสวงหาคุณธรรมอันประเสริฐทั้งนั้น พระเจ้าจักรพรรดิมีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม เสด็จเลียบแผ่นดินอันไพศาลนี้ มีมหาสมุทรเป็นอาณาเขตไปรอบๆ ได้ฉันใด พระสาวกทั้งหลายผู้มีวิชชา ๓ ละมัจจุราชได้แล้ว พากันเข้าไปห้อมล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงชนะสงครามแล้ว ผู้นำพวกชั้นเยี่ยมฉันนั้น พระสาวกทั้งมวลล้วนแต่เป็นพุทธชิโนรส ก็ในพระสาวกเหล่านี้ไม่มีความว่างเปล่าจากคุณธรรมเลย ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ผู้เผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ผู้ทรงประหารลูกศร คือตัณหาได้แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 489
ครั้งหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถระได้กล่าวคาถา ๔ คาถา ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งกำลังทรงแสดงธรรมอันเกี่ยวกับเรื่องนิพพานแก่ภิกษุทั้งหลาย ความว่า
ภิกษุมากกว่าพัน ได้เข้าไปเฝ้าพระสุคตเจ้าผู้กำลังทรงแสดงธรรมอันปราศจากธุลี คือนิพพานอันไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ ภิกษุทั้งหลายก็พากันตั้งใจฟังธรรมอันไพบูลย์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันหมู่ภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม เป็นสง่างามแท้หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่านาคะ ผู้ประเสริฐ ทรงเป็นพระฤาษีสูงสุดกว่าบรรดาฤาษี คือ พระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงโปรยฝนอมฤตธรรมรดพระสาวกทั้งหลาย คล้ายกับฝนห่าใหญ่ฉะนั้น ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระวังคีสสาวกของพระองค์ออกจากที่พักกลางวัน มาถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์อยู่ ด้วยประสงค์จะเฝ้าพระองค์.
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับภิกษุทั้งหลายสนทนากันว่า พระวังคีสะไม่ตั้งใจจะศึกษาเล่าเรียน พระองค์จึงตรัสพระคาถา ๔ พระคาถา ความว่า
พระวังคีสะครอบงำทางผิดแห่งกิเลสมารได้แล้ว ทั้งทำลายกิเลสเครื่องตรึงใจได้สิ้นแล้ว จึงเที่ยวไปอยู่ เธอทั้งหลายจงดูพระวังคีสะผู้ปลดเปลื้องเครื่องผูกเสียแล้ว ผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 490
อันตัณหามานะทิฏฐิไม่อิงแอบเลย ทั้งจำแนกธรรมเป็นส่วนๆ ได้ด้วยนั้น เป็นตัวอย่างเถิด พระวังคีสะได้บอกทางไว้หลายประการ เพื่อให้ข้ามห้วงนำคือกามเป็นต้นเสีย ก็ในเมื่อพระวังคีสะได้บอกทางอันไม่ตายนั้นไว้ให้แล้ว ภิกษุทั้งหลายที่ได้ฟังแล้ว ก็ควรเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้เห็นธรรม ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรม. พระวังคีสะเป็นผู้ทำแสงสว่างให้เกิดขึ้น แทงตลอดแล้วซึ่งธรรมฐิติทั้งปวง ได้เห็นพระนิพพาน แสดงธรรมอันเลิศตามกาลเวลาได้อย่างฉับพลัน เพราะรู้มาเอง และทำให้แจ้งมาเอง. เมื่อพระวังคีสะแสดงธรรมด้วยดีแล้วอย่างนี้ จะประมาทอะไรต่อธรรมของท่านผู้รู้แจ้งเล่า เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุพึงเป็นผู้ไม่ประมาทในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจศึกษาไตรสิกขาด้วยปฏิปทาอันเลิศในกาลทุกเมื่อเถิด.
ครั้งหนึ่ง พระวังคีสเถระกล่าวคาถาชมเชยท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ๓ คาถา ความว่า
พระอัญญาโกณฑัญญเถระ เป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มีความเพียรอย่างแก่กล้า ได้วิเวกอันเป็นธรรมเครื่องอยู่ เป็นสุขเป็นนิตย์ สิ่งใดที่พระสาวกผู้กระทำตามคำสอนของพระศาสดาพึงบรรลุ สิ่งนั้นทั้งหมด ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 491
พระอัญญาโกณฑัญญเถระ ผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่ ก็บรรลุตามได้แล้ว ท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระมีอานุภาพมาก มีวิชชา ๓ ฉลาดในการรู้จิตของผู้อื่น เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ได้มาถวายบังคมพระยุคลบาทของพระบรมศาสดาอยู่.
ครั้งหนึ่ง พระวังคีสเถระ เมื่อจะกล่าวชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระเถระทั้งหลาย มีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นต้น จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
เชิญท่านดูพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมปราชญ์ เสด็จถึงฝั่งแห่งความทุกข์ กำลังประทับอยู่เหนือยอดเขากาลสิลาแห่งอิสิคิลิบรรพต มีหมู่สาวกผู้มีวิชชา ๓ ละมัจจุราชได้แล้วนั่งเฝ้าอยู่ พระมหาโมคคัลลานเถระผู้เรืองอิทธิฤทธิ์มาก ตามพิจารณาดูจิตของภิกษุผู้มหาขีณาสพเหล่านั้นอยู่ ท่านก็กำหนดได้ว่าเป็นดวงจิตที่หลุดพ้นแล้วไม่มีอุปธิ ด้วยใจของท่าน ด้วยประการฉะนี้. ภิกษุทั้งหลายจึงได้พากันห้อมล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โคดม ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยพระคุณธรรมทุกอย่าง ทรงเป็นจอมปราชญ์ เสด็จถึงฝั่งแห่งทุกข์ ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระอาการเป็นอันมาก.
คราวหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถระกล่าวคาถาสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งกำลังประทับอยู่ในท่ามกลางสงฆ์หมู่ใหญ่ เทวดาและนาค
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 492
นับจำนวนพัน ที่ริมสระโบกขรณีชื่อคัคครา ใกล้เมืองจัมปา ๑ คาถา ความว่า
ข้าแต่พระมหามุนีอังคีรส พระองค์ไพโรจน์ล่วงโลกนี้กับทั้งเทวโลกทั้งหมดด้วยพระยศ เหมือนกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ที่ปราศจากมลทิน สว่างจ้าอยู่บนท้องฟ้าอันปราศจากเมฆหมอกฉะนั้น.
คราวหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถระพิจารณาดูข้อปฏิบัติที่ตนได้บรรลุแล้ว เมื่อจะประกาศคุณของตน จึงกล่าวคาถา ๑๐ คาถา ความว่า
เมื่อก่อนข้าพระองค์รู้กาพย์กลอน เที่ยวไปในบ้านโน้นเมืองนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ข้าพระองค์ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง พระองค์ผู้เป็นมหามุนี เสด็จถึงฝั่งแห่งทุกข์ ได้ทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ฟังธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใส เกิดศรัทธา ข้าพระองค์ได้ฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จึงรู้แจ้งขันธ์ อายตนะ และธาตุแจ่มแจ้งแล้ว ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นมา เพื่อประโยชน์แก่สตรีและบุรุษเป็นอันมากหนอ ผู้กระทำตามคำสั่งสอนของพระองค์ พระองค์ผู้เป็นมุนีได้ทรงบรรลุโพธิญาณ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุและภิกษุณี ซึ่งได้บรรลุสัมมัตตนิยามหนอ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 493
มีพระจักษุทรงแสดงอริยสัจ ๔ คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ เพื่อทรงอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง อริยสัจธรรมเหล่านี้ พระองค์ทรงแสดงไว้แล้วอย่างไร ข้าพระองค์ก็เห็นอย่างนั้น มิได้เห็นผิดเพี้ยนไปอย่างอื่น ข้าพระองค์บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว ทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว การที่ข้าพระองค์ได้มาในสำนักของพระองค์ เป็นการมาดีของข้าพระองค์หนอ เพราะข้าพระองค์ได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐ ในบรรดาธรรมที่พระองค์ทรงจำแนกไว้ดีแล้ว ข้าพระองค์ได้บรรลุถึงความสูงสุดแห่งอภิญญาแล้ว มีโสตธาตุอันหมดจด มีวิชชา ๓ ถึงความเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ เป็นผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของผู้อื่น.
ครั้งหนึ่ง ท่านพระวังคีสเถระนึกถึงพระนิโครธกัปปเถระ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของตน ที่มรณภาพแล้วว่า จะได้สำเร็จนิพพานหรือไม่ จึงกราบทูลถามพระบรมศาสดาด้วย ๑๒ คาถา ความว่า
ข้าพระองค์ขอทูลถามพระศาสดาผู้มีพระปัญญาไม่ทราบว่า ภิกษุรูปใดมีใจไม่ถูกมานะทำให้เร่าร้อน เป็นผู้เรืองยศ ตัดความสงสัยในธรรมที่ตนเห็นมาได้แล้ว ได้มรณภาพลงที่อัคคาฬววิหาร ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุรูปนั้นเป็นพราหมณ์มาแต่กำเนิด มีนามตามที่พระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 494
องค์ทรงประทานตั้งให้ว่า พระนิโครธกัปปเถระ ผู้มุ่งแต่ความหลุดพ้น ปรารภความเพียร เห็นธรรมอันมั่นคง ได้ถวายบังคมพระองค์แล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยะทรงมีพระจักษุรอบคอบ แม้ข้าพระองค์ทั้งหมดปรารถนาจะทราบพระสาวกองค์นั้น โสตของข้าพระองค์ทั้งหลาย เตรียมพร้อมที่จะฟังพระดำรัสตอบ. พระองค์เป็นพระศาสดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ซึ่งจะหาศาสดาอื่นเทียมเท่ามิได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระปัญญากว้างขวาง ขอพระองค์ทรงตัดความเคลือบแคลงสงสัยของข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด และขอได้โปรดตรัสบอกพระนิโครธกัปปเถระผู้ปรินิพพานไปแล้วแก่ข้าพระองค์ด้วย ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระจักษุรอบคอบ ขอพระองค์โปรดตรัสบอก ในท่ามกลางแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด เหมือนท้าวสักกเทวราชผู้มีพระเนตรตั้งพัน ตรัสบอกแก่เทวดาทั้งหลายฉะนั้น กิเลสเครื่องร้อยรัดชนิดใดชนิดหนึ่งในโลกนี้ ที่เป็นทางก่อให้เกิดความหลงลืม เป็นฝ่ายแห่งความไม่รู้ เป็นมูลฐานแห่งความเคลือบแคลงสงสัย กิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่านั้น พอมาถึงพระตถาคตเจ้าย่อมพินาศไป พระตถาคตเจ้าผู้มีพระจักษุยิ่งกว่านรชนทั้งหลาย ก็ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จะเป็นบุรุษชนิดที่ทรงถือเอาแต่เพียงพระกำเนิดมาเท่านั้นไซร้ ก็จะไม่พึงทรงประหารกิเลส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 495
ทั้งหลายได้ คล้ายกับลมที่รำเพยพัดมาครั้งเดียว ไม่อาจทำลายกลุ่มหมอกที่หนาได้ฉะนั้น โลกทั้งปวงที่มืดอยู่แล้ว ก็จะยิ่งมืดหนักลง ถึงจะมีสว่างมาบ้าง ก็ไม่สุกใสได้ นักปราชญ์ทั้งหลายเป็นผู้กระทำแสงสว่างให้เกิดขึ้น ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงปรีชา เหตุนั้น ข้าพระองค์จึงขอเข้าถึงพระองค์ ผู้ที่ข้าพระองค์เข้าใจว่าทรงทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นได้เองเช่นนั้น ผู้เห็นแจ้ง ทรงรอบรู้สรรพธรรมตามความเป็นจริงได้ ขอเชิญพระองค์โปรดทรงประกาศพระนิโครธกัปปเถระ ผู้อุปัชฌายะของข้าพระองค์ที่ปรินิพพานไปแล้ว ให้ปรากฏในบริษัทด้วยเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเปล่งพระดำรัส ก็ทรงเปล่งด้วยพระกระแสเสียงกังวาน ที่เกิดแต่พระนาสิก ซึ่งนับเข้าในมหาบุรุษลักษณะด้วยประการหนึ่ง อันพระบุญญาธิการตบแต่งมาดี ทั้งเปล่งได้อย่างรวดเร็วและแผ่วเบาเป็นระเบียบ เหมือนกับพญาหงส์ทองท่องเที่ยวหาเหยื่อ พบราวไพรใกล้สระน้ำ ก็ชูคอป้องปีกทั้งสองขึ้นส่งเสียงอยู่ค่อยๆ ด้วยจะงอยปากอันแดงฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหมดตั้งใจตรง กำลังจะฟังพระดำรัสของพระองค์อยู่ ข้าพระองค์จักเผยการเกิดและการตาย ที่ข้าพระองค์ละมาได้หมดสิ้นแล้ว จักแสดงบาปธรรมทั้งหมดที่เป็นเครื่อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 496
กำจัด เพราะผู้กระทำตามความพอใจของตน ๓ จำพวก มีปุถุชนเป็นต้น ไม่อาจเพื่อจะรู้ธรรมที่ตนปรารถนาหรือแสดงได้ ส่วนผู้กระทำความไตร่ตรอง พิจารณาตามเหตุผลของตถาคตเจ้าทั้งหลาย สามารถจะรู้ธรรมที่ตนปรารถนาทั้งแสดงได้ พระดำรัสของพระองค์นี้เป็นไวยากรณ์อันสมบูรณ์ พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วด้วยพระปัญญาที่ตรงๆ โดยไม่มีการเสียดสีใครเลย การถวายบังคมครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย อันข้าพระองค์ถวายบังคมดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระปัญญาไม่ทราม พระองค์ทรงทราบแล้วจะทรงหลงลืมไปก็หามิได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระวิริยะอันไม่ต่ำทราม พระองค์ตรัสรู้อริยธรรมอันประเสริฐกว่าโลกิยธรรมมาแล้ว ก็ทรงทราบพระเญยยธรรมทุกอย่างได้อย่างไม่ผิดพลาด ข้าพระองค์หวังเป็นอย่างยิ่งซึ่งพระดำรัสของพระองค์ เหมือนกับคนที่มีร่างอันชุ่มเหงื่อคราวหน้าร้อน ปรารถนาน้ำเย็นฉะนั้น ขอพระองค์ทรงยังฝน คือพระธรรมเทศนาที่ข้าพระองค์เคยฟังมาแล้วให้ตกลงเถิด พระเจ้าข้า ท่านนิโครธกัปปะได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ของท่านนั้นเป็นประโยชน์ไม่เปล่าแลหรือ ท่านนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานแล้วหรือ ท่านเป็นพระเสขะยังมีเบญจขันธ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 497
เหลืออยู่ หรือว่าท่านเป็นพระอเสขะผู้หลุดพ้นแล้ว ข้าพระองค์ขอฟังพระดำรัสที่ข้าพระองค์มุ่งหวังนั้น พระเจ้าข้า.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงพยากรณ์ จึงตรัสพระคาถา ๑ พระคาถา ความว่า
พระนิโครธกัปปะได้ตัดขาด ซึ่งความทะยานอยากในนามและรูปนี้ กับทั้งกระแสแห่งตัณหาอันนอนเนื่องอยู่ในสันดานมาช้านานแล้ว ข้ามพ้นชาติและมรณะได้หมดสิ้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐสุดด้วยพระจักษุทั้ง ๕ ได้ตรัสพระดำรัสเพียงเท่านี้.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบอย่างนี้แล้ว ท่านพระวังคีสเถระ ก็ชื่นชมยินดีพระพุทธภาษิตเป็นอย่างยิ่ง จึงได้กราบทูลด้วยอวสานคาถา ๔ คาถา ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพระฤาษีองค์ที่ ๗ ข้าพระองค์นี้ได้ฟังพระดำรัสของพระองค์แล้วก็เลื่อมใส ทราบว่าคำถามที่ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ไม่ไร้ประโยชน์ พระองค์ไม่หลอกลวงข้าพระองค์.
สาวกของพระพุทธเจ้า มีปกติกล่าวอย่างใด ทำอย่างนั้น ได้ตัดข่ายคือตัณหาอันกว้างขวาง มั่นคง ของพญามัจจุราชผู้เจ้าเล่ห์ ได้เด็ดขาด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 498
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระนิโครธกัปปเถระกัปปายนโคตร ได้เห็นมูลเหตุแห่งอุปาทาน ข้ามบ่วงมารที่ข้ามได้แสนยากไปได้แล้วหนอ.
ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่าบรรดาสรรพสัตว์ ข้าพระองค์ขอนมัสการท่านพระนิโครธกัปปเถระ ผู้เป็นวิสุทธิเทพ ล่วงเสียซึ่งเทพดา อนุชาตบุตรของพระองค์มีความเพียรมาก เป็นผู้ประเสริฐ ทั้งเป็นโอรสของพระองค์ผู้ประเสริฐ.
ได้ทราบว่า ท่านพระวังคีสเถระได้ภาษิตคาถาทั้งหมดนี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบวังคีสเถรคาถาที่ ๑
จบมหานิบาต
ในมหานิบาตนี้ ปรากฏว่าพระวังคีสเถระผู้มีเชาว์เฉียบแหลมองค์เดียว ไม่มีรูปอื่น ได้ภาษิตคาถาไว้ ๗๑ คาถา
พระเถระ ๒๖๔ รูป ผู้พระพุทธบุตร ไม่มีอาสวะ บรรลุนิพพานอันเป็นแดนเกษมแล้ว พากันบันลือสีหนาท
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 499
ประกาศคาถาไว้รวม ๑,๓๖๐ คาถาแล้ว ก็พากันนิพพานไป เหมือนกองไฟที่สิ้นเชื้อแล้วดับไป ฉะนี้แล.
จบเถรคาถา
อรรถกถามหานิบาต
อรรถกถาวังคีสเถรคาถาที่ ๑
ใน สัตตตินิบาต (๑) คาถาของท่านพระวังคีสเถระ มีคำเริ่มต้นว่า นิกฺขนฺตํ วต มํ สนฺตํ ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระเถระนี้บังเกิดในตระกูลมีโภคะมาก ในนครหังสวดี ไปวิหารฟังธรรม โดยนัยอันมีในก่อนนั่นแล ได้เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีปฏิภาณ จึงกระทำกรรมคือบุญญาธิการแด่พระศาสดา แล้วกระทำความปรารถนาว่า แม้เราก็พึงเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณในอนาคตกาล อันพระศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว กระทำกุศลจนตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ในเมืองสาวัตถี ได้นามว่า วังคีสะ เรียนจบไตรเพท ได้ทำให้อาจารย์โปรดปรานแล้ว ศึกษามนต์ชื่อว่า ฉวสีสะ เอาเล็บเคาะศีรษะศพ ย่อมรู้ได้ว่าสัตว์นี้บังเกิดในกำเนิดโน้น.
๑. บาลีเป็นมหานิบาต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 500
พวกพราหมณ์รู้ว่า ผู้นี้จะเป็นทางหาเลี้ยงชีพของพวกเรา จึงพาวังคีสะให้นั่งในยานพาหนะอันมิดชิด แล้วท่องเที่ยวไปยังคามนิคมและราชธานี. ฝ่ายวังคีสะก็ให้นำศีรษะแม้ของคนที่ตายไปแล้วถึง ๓ ปีมา เอาเล็บเคาะแล้วกล่าวว่า สัตว์นี้บังเกิดในกำเนิดโน้น เพื่อจะตัดความสงสัยของมหาชน จึงให้ไปพาเอาชนนั้นมาเล่าคติ คือความเป็นไปของตนๆ ด้วยเหตุนั้น มหาชนจึงพากันเลื่อมใสยิ่งในวังคีสะนั้น.
วังคีสะนั้น อาศัยมนต์นั้น ได้ทรัพย์ร้อยหนึ่งบ้าง พันหนึ่งบ้าง จากมือของมหาชน. พราหมณ์ทั้งหลายพาวังคีสะเที่ยวไปตามชอบใจแล้ว ได้กลับมาเมืองสาวัตถีอีกตามเดิม. วังคีสะได้สดับพระคุณทั้งหลายของพระศาสดาได้มีความประสงค์จะเข้าเฝ้า. พวกพราหมณ์พากันห้ามว่า พระสมณโคดมจักทำท่านให้วนเวียนด้วยมายา. วังคีสะไม่สนใจคำของพวกพราหมณ์ จึงเข้าเฝ้าพระศาสดากระทำปฏิสันถารแล้วนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง.
พระศาสดาตรัสถามวังคีสะว่า ท่านรู้ศิลปะบางอย่างไหม? วังคีสะทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้มนต์ชื่อฉวสีสะ, ด้วยมนต์นั้น ข้าพระองค์เอาเล็บเคาะศีรษะแม้ของคนที่ตายไปถึง ๓ ปี แล้วก็จักรู้ที่ที่เขาเกิด. พระศาสดาทรงแสดงศีรษะของผู้บังเกิดในนรกศีรษะหนึ่งแก่เขา ของผู้เกิดในมนุษย์ศีรษะหนึ่ง ของผู้เกิดในเทวโลกศีรษะหนึ่ง และของท่านผู้ปรินิพพานแล้วศีรษะหนึ่ง. วังคีสะนั้น เคาะศีรษะแรกแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตว์นี้บังเกิดในนรก พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ถูกต้องวังคีสะ ท่านเห็นถูกต้อง จึงตรัสถาม (ศีรษะต่อไป) ว่า สัตว์นี้บังเกิดที่ไหน? เขาทูลตอบว่า บังเกิดใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 501
มนุษยโลก. ตรัสถามศีรษะต่อไปอีกว่า สัตว์นี้บังเกิดที่ไหน? เขาทูลตอบว่า บังเกิดในเทวโลก รวมความว่า เขาทูลบอกสถานที่ที่สัตว์แม้ทั้งหลายบังเกิดได้. แต่เขาเอาเล็บเคาะศีรษะของท่านผู้ปรินิพพานไม่เห็นเบื้องต้น ไม่เห็นที่สุดเลย.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามเขาว่า วังคีสะ ท่านไม่สามารถหรือ? เขากราบทูลว่า ข้าพระองค์ขอใคร่ครวญดูก่อน แม้จะร่ายมนต์ซ้ำๆ แล้วเคาะ จักรู้ได้อย่างไรถึงคติของพระขีณาสพ ด้วยการงานภายนอก ทีนั้นเหงื่อก็ไหลออกจากกระหม่อมของเขา เขาละอายใจจึงได้นิ่งอยู่.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามเขาว่า ลำบากไหม วังคีสะ. วังคีสะกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่สามารถจะรู้ที่ที่เกิดของท่านผู้นี้ ถ้าพระองค์ทรงทราบ โปรดตรัสบอก. พระศาสดาตรัสว่า วังคีสะ เรารู้ข้อนี้ด้วย ทั้งรู้ยิ่งไปกว่านี้ด้วย แล้วได้ตรัสคาถา ๒ คาถานี้ว่า
บุคคลใดรู้แจ้งจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง เรากล่าวบุคคลนั้นผู้ไม่ข้อง ผู้ไปดีแล้ว ผู้รู้แล้วว่า เป็นพราหมณ์.
เทวดา คนธรรพ์ และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่รู้คติของบุคคลใด เราเรียกบุคคลนั้น ผู้หมดอาสวะ ผู้เป็นพระอรหันต์ว่า เป็นพราหมณ์.
วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอจงประทานวิชชานั้นแก่ข้าพระองค์ ดังนี้แล้วแสดงความยำเกรงนั่งอยู่ ณ ที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 502
ใกล้พระศาสดา. พระศาสดาตรัสว่า เราให้แก่คนผู้มีเพศเหมือนกับเรา วังคีสะคิดว่า เราควรจะกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเรียนเอามนต์นี้ จึงได้กล่าวกะพราหมณ์ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าบวชก็อย่าเสียใจ ข้าพเจ้าเรียนเอามนต์นี้แล้ว จักเป็นผู้เจริญที่สุดในชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้ท่านทั้งหลายก็จักเจริญได้เพราะมนต์นั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลขอบรรพชา เพื่อต้องการมนต์นั้น. ก็ในเวลานั้น ท่านพระนิโครธกัปปเถระได้อยู่ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า, พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสั่งพระนิโครธกัปปะเถระว่า นิโครธกัปปะ เธอจงให้วังคีสะนั่นบวช. ท่านนิโครธกัปปะได้ให้วังคีสะนั้นบวชตามอาณัติของพระศาสดา.
ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสว่า เธอจงเรียนบริวารของมนต์ก่อน แล้วจึงตรัสบอกทวัตติงสาการกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน แก่พระวังคีสะนั้น. พระวังคีสะนั้นสาธยายทวัตติงสาการอยู่แล จึงเริ่มตั้งวิปัสสนา พวกพราหมณ์ได้พากันเข้าไปหาพระวังคีสะแล้วถามว่า ท่านวังคีสะผู้เจริญ ท่านได้ศึกษาศิลปะในสำนักของพระสมณโคดมแล้วหรือ. พระวังคีสะกล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยการศึกษาศิลปะ พวกท่านไปเสียเถิด ข้าพเจ้าไม่มีกิจที่จะต้องทำกับพวกท่าน พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า บัดนี้ แม้ท่านก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของพระสมณโคดม งงงวยด้วยมายา พวกเราจักกระทำอะไรในสำนักของท่าน ดังนี้แล้ว พากันหลีกไปตามหนทางที่มาแล้วนั้นแล. พระวังคีสเถระเจริญวิปัสสนา ได้ทำให้แจ้งพระอรทัต. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอุปทานว่า (๑)
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๑๓๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 503
ในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมาร พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้มีจักษุในธรรมทั้งปวง ทรงเป็นผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระศาสนาของพระองค์วิจิตรด้วยพระอรหันต์ทั้งหลาย เหมือนคลื่นในสาคร และเหมือนดาวในท้องฟ้า พระพิชิตมารผู้สูงสุด อันมนุษย์พร้อมทั้งทวยเทพ อสูรและนาคห้อมล้อม. ในท่ามกลางหมู่ชนซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยสมณพราหมณ์ พระพิชิตมารผู้ถึงที่สุดโลก ทรงทำโลกทั้งหลายให้ยินดีด้วยพระรัศมี พระองค์ทรงยังดอกปทุม คือเวไนยสัตว์ให้เบิกบานด้วยพระดำรัส ทรงสมบูรณ์ด้วยเวสารัชธรรม ๔ เป็นอุดมบุรุษ ทรงละความกลัวและความยินดีได้เด็ดขาด ถึงซึ่งธรรมอันเกษม องอาจกล้าหาญ พระผู้เลิศโลกทรงปฏิญาณฐานะของผู้เป็นโลกอันประเสริฐ และพุทธภูมิทั้งสิ้น ไม่มีใครจะทักท้วงได้ในฐานะไหนๆ เมื่อพระพุทธเจ้าผู้คงที่พระองค์นั้น บันลือสีหนาทอันน่ากลัว ย่อมไม่มีเทวดาและมนุษย์หรือพรหมบันลือตอบได้ พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้าในบริษัท ทรงแสดงธรรมอันประเสริฐ ช่วยมนุษย์พร้อมทั้งเทวดาให้ข้ามสงสาร ทรงประกาศพระธรรมจักร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสรรเสริญคุณเป็นอันมาก ของพระสาวกผู้ได้รับสมมติดีว่า เลิศกว่าภิกษุผู้มีปฏิภาณทั้งหลาย แล้วทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ.
๑. ขุ. อ. ๓๓/ข้อ ๑๓๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 504
ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์ชาวเมืองหังสวดี เป็นผู้ได้รับสมมติว่าเป็นคนดี รู้แจ้งพระเวททุกคัมภีร์ มีนามว่าวังคีสะ เป็นที่ไหลออกแห่งนักปราชญ์ เราเข้าไปเฝ้าพระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้น สดับพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้ปีติอันประเสริฐ เป็นผู้ยินดีในคุณของพระสาวก จึงได้นิมนต์พระสุคตผู้ทำโลกให้เพลิดเพลิน พร้อมด้วยพระสงฆ์ ให้เสวยและฉัน ๗ วันแล้ว นิมนต์ให้ครองผ้า ในครั้งนั้น เราได้หมอบกราบลงแทบพระบาททั้งสองด้วยเศียรเกล้า ได้โอกาสจึงยืนประนมอัญชลีอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เป็นผู้ร่าเริงกล่าวสดุดีพระชินเจ้าผู้สูงสุดว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่ไหลออกแห่งนักปราชญ์ ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นฤาษีสูงสุด ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เลิศกว่าโลกทั้งปวง ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทำความไม่มีภัย ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ผู้ทรงย่ำยีมาร ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงทำทิฏฐิให้ไหลออก ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงประทานสันติสุข ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์. ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงทำให้เป็นที่นับถือ ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์.
พระองค์เป็นที่พึ่งของชนทั้งหลาย ผู้ไม่มีที่พึ่ง ทรงประทานความไม่มีภัยแก่คนทั้งหลายผู้กลัว เป็นผู้ที่คุ้นเคย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 505
ของคนทั้งหลาย ผู้มีภูมิธรรมสงบระงับ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของคนทั้งหลาย ผู้แสวงหาที่พึ่งที่ระลึก เราได้ชมเชยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยคำกล่าวสดุดี มีอาทิอย่างนี้ แล้วได้กล่าวสรรเสริญพระคุณอันยิ่งใหญ่ จึงได้บรรลุคติของภิกษุผู้กล้ากว่านักพูด.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปฏิภาณไม่มีที่สิ้นสุดได้ตรัสว่า ผู้ใดเป็นผู้เลื่อมใส นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวก ให้ฉันตลอด ๗ วัน ด้วยมือทั้งสองของตน และได้กล่าวสดุดีคุณของเรา แล้วได้ปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้กล้ากว่านักพูด ในอนาคตกาล ผู้นั้นจักได้ตำแหน่งนี้สมดังมโนรถความปรารถนา เขาจักได้เสวยทิพยสมบัติและมนุษยสมบัติ มีประมาณไม่น้อย. ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ไป พระศาสดามีพระนามว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์แห่งพระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้น พราหมณ์นี้จักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่า วังคีสะ.
เราได้สดับพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว เป็นผู้มีจิตเบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระพิชิตมารด้วยปัจจัยทั้งหลาย ในกาลนั้นจนตราบเท่าสิ้นชีวิต เพราะกรรมที่ทำไว้ดีนั้น และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 506
ในภพสุดท้ายในบัดนี้ เราเกิดในสกุลปริพาชก เมื่อเราเกิดในครั้งหลัง มีอายุได้ ๗ ปีโดยกำเนิด เราได้เป็นผู้รู้เวททุกคัมภีร์ แกล้วกล้าในเวทศาสตร์ มีเสียงไพเราะ มีถ้อยคำวิจิตร ย่ำยีวาทะของผู้อื่นได้. เพราะเราเกิดที่วังคชนบท และเพราะเราเป็นใหญ่ในถ้อยคำ เราจึงชื่อว่า วังคีสะ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ชื่อของเราจะเป็นเลิศ ก็เป็นชื่อตามสมมติตามโลก.
ในเวลาที่เรารู้เดียงสา ตั้งอยู่ในปฐมวัย เราได้พบพระสารีบุตรเถระ ในพระนครราชคฤห์อันรื่นรมย์ ท่านถือบาตร สำรวมดี ตาไม่ล่อกแล่ก พูดพอประมาณ แลดูชั่วแอก เที่ยวบิณฑบาตอยู่ ครั้นเราเห็นท่านแล้วก็เป็นผู้อัศจรรย์ใจ ได้กล่าวบทคาถาอันวิจิตร เป็นหมวดหมู่ เหมือนดอกกรรณิการ์ เหมาะสม ท่านบอกแก่เราว่า พระสัมพุทธเจ้าผู้นำโลกเป็นศาสดาของท่าน.
ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเถระผู้ฉลาด ผู้เป็นนักปราชญ์นั้น ได้พูดแก่เราเป็นอย่างดียิ่ง เราอันพระเถระผู้คงที่ ให้ยินดีด้วยปฏิภาณอันวิจิตร เพราะทำถ้อยคำที่ปฏิสังยุตด้วยวิราคธรรม เห็นได้ยาก สูงสุด จึงซบศีรษะลงแทบเท้าของท่าน แล้วกล่าวว่า ขอได้โปรดให้กระผมบรรพชาเถิด.
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรผู้มีปัญญามาก ได้นำเราไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เราซบเศียรลงแทบพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 507
บาทแล้ว นั่งลงในที่ใกล้พระศาสดา.
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย ได้ตรัสถามเราว่า ดูก่อนวังคีสะ ท่านรู้ศีรษะของคนที่ตายไปแล้วว่า จะไปสุคติหรือทุคติ ด้วยวิชาพิเศษของท่านจริงหรือ ถ้าท่านสามารถก็ขอให้ท่านบอกมาเถิด. เมื่อเราทูลรับแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงศีรษะ ๓ ศีรษะ เราได้กราบทูลว่า เป็นศีรษะของคนที่เกิดในนรกและเทวดา. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำของโลก ได้แสดงศีรษะของพระขีณาสพ.
ลำดับนั้น เราหมดมานะ จึงได้อ้อนวอนขอบรรพชา ครั้นบรรพชาแล้ว ได้กล่าวสดุดีพระสุคตเจ้าโดยไม่เลือกสถานที่ ทีนั้นแหละภิกษุทั้งหลายพากันโพนทะนาว่า เราเป็นจินตกวี.
ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าผู้นำชั้นวิเศษ ได้ตรัสถามเราเพื่อทดลองว่า คาถาเหล่านี้ย่อมแจ่มแจ้งโดยควรแก่เหตุ สำหรับคนทั้งหลายผู้ตรึกตรองแล้วมิใช่หรือ เราทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ข้าพระองค์ไม่ใช่นักกาพย์กลอน แต่ว่าคาถาทั้งหลายแจ่มแจ้งโดยควรแก่เหตุสำหรับข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวังคีสะ ถ้ากระนั้นท่านจงกล่าวสดุดีเรา โดยควรแก่เหตุในบัดนี้.
ครั้งนั้น เราได้กล่าวคาถาสดุดีพระธีรเจ้าผู้เป็นพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 508
ฤาษีสูงสุด พระพิชิตมารทรงพอพระทัยในคราวนั้น จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เราดูหมิ่นภิกษุอื่นๆ ก็เพราะปฏิภาณอันวิจิตร เรามีศีลเป็นที่รัก จึงเกิดความสลดใจ เพราะเหตุนั้น จึงได้บรรลุพระอรหัต.
พระผู้มีพระเจ้าภาคได้ตรัสว่า ไม่มีใครอื่นที่จะเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ เหมือนดังวังคีสะภิกษุนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงทรงจำไว้อย่างนี้.
กรรมที่เราได้ทำไว้ในกัปที่แสน ได้แสดงผลแก่เราในอัตภาพนี้ เราหลุดพ้นจากกิเลส เหมือนลูกศรพ้นจากแล่งฉะนั้น เราเผากิเลสของเราได้แล้ว กิเลสทั้งหลายเราเผาเสียแล้ว ภพทั้งปวงเราถอนได้แล้ว เราตัดเครื่องผูกเหมือนช้างทำลายปลอก ไม่มีอาสวะอยู่. เราเป็นผู้มาดีแล้ว ในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ วิชชา ๓ เราบรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว. คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว.
ก็พระเถระครั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อจะไปเฝ้าพระบรมศาสดา ได้สรรเสริญ (คุณ) พระศาสดาด้วยบทหลายร้อย เปรียบเทียบกับสิ่งนั้นๆ ตั้งแต่ตาเห็นได้ไป คือเปรียบด้วยพระจันทร์, พระอาทิตย์, อากาศ, มหาสมุทร, ขุนเขาสิเนรุ, พระยาสีหราช และพระยาช้าง แล้วจึงเข้าไปเฝ้า ด้วยเหตุนั้น พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางสงฆ์ จึงทรงสถาปนา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 509
ท่านไว้ในตำแหน่งผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีปฏิภาณ. ครั้งนั้น พระสังคีติกาจารย์ ได้รวบรวมคาถานี้ที่พระเถระอาศัยความคิดนั้นๆ กล่าวไว้ในกาลก่อนและภายหลัง แต่การบรรลุพระอรหัต และที่พระอานันทเถระเป็นต้นกล่าวไว้เฉพาะพระเถระ แล้วยกขึ้นสังคายนา ความว่า
ความตรึกทั้งหลายกับความคะนองอย่างเลวทรามเหล่านี้ ได้ครอบงำเราผู้ออกบวชเป็นบรรพชิต เหมือนกับบุตรของคนผู้ยิ่งใหญ่ เป็นนักแม่นธนูมาก ทั้งได้ศึกษาวิชาธนูศิลป์มาอย่างเชี่ยวชาญ ตั้งพันคนยิงลูกธนูมารอบตัว ให้ศัตรูหนีไปไม่ได้ฉะนั้น. ถึงแม้พวกหญิงจักมามากยิ่งกว่านี้ ก็จักทำการเบียดเบียนเราไม่ได้ เพราะเราได้ตั้งอยู่ในธรรมเสียแล้ว. ด้วยว่าเราได้สดับทางอันเป็นที่ให้ถึงนิพพานของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์อย่างชัดแจ้ง ใจของเราก็ยินดีในทางนั้น. ดูก่อนมารผู้ชั่วร้าย ถ้าท่านยังเข้ามารุกรานเราผู้เป็นอยู่อย่างนี้ ท่านก็จะไม่ได้เห็นทางของเรา ตามที่เรากระทำไม่ให้ท่านเห็น.
ภิกษุควรละความไม่ยินดี ความยินดีและความตรึกอันเกี่ยวกับบุตรและภรรยาเสียทั้งหมด ไม่ควรทำตัณหาดังป่าชัฏในที่ไหนๆ อีก เพราะผู้นั้นไม่มีตัณหาเพียงดังป่าชัฏ จึงชื่อว่าเป็นภิกษุ. รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาศัยแผ่นดินก็ดี อากาศก็ดี อยู่ใต้แผ่นดินก็ดี ทั้งหมดล้วนไม่เที่ยง ย่อมคร่ำคร่าไป ผู้แทงตลอดอย่างนี้แล้วย่อมเที่ยวไป เพราะเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว. ปุถุชนทั้งหลายหมก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 510
มุ่นพัวพันอยู่ในรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง กลิ่นที่มากระทบ และอารมณ์ที่ได้ทราบ, ภิกษุควรเป็นผู้ไม่หวั่นไหว กำจัดความพอใจในเบญจกามคุณเหล่านี้เสีย เพราะผู้ใดไม่ติดอยู่ในเบญจกามคุณเหล่านี้ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่าเป็นมุนี. ทีนั้น มิจฉาทิฏฐิซึ่งอิงอาศัยทิฏฐิ ๖๐ ประการ เป็นไปกับด้วยความตรึกอันไม่เป็นธรรม จึงตั้งมั่นลงในความเป็นปุถุชน. ในกาลไหนๆ ผู้ใดไม่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส ทั้งไม่กล่าวถ้อยคำหยาบคาย ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมุนี. ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต มีจิตมั่นคงตลอดกาลนาน ไม่ลวงโลก มีปัญญารักษาตน ไม่มีความทะเยอทะยานเป็นมุนี ได้บรรลุสันติบทแล้ว หวังคอยเวลาเฉพาะปรินิพพานเท่านั้น.
ดูก่อนท่านผู้สาวกของพระโคดม ท่านจงละทิ้งความเย่อหยิ่งเสีย จงละทิ้งทางแห่งความเย่อหยิ่งให้หมดด้วย เพราะผู้หมกมุ่นอยู่ในทางแห่งความเย่อหยิ่ง จะต้องเดือดร้อนอยู่ตลอดกาลนาน. หมู่สัตว์ผู้มีความลบหลู่คุณท่าน ถูกมานะกำจัดแล้ว ย่อมตกนรก. หมู่ชนถูกความทะนงตัวกำจัดแล้ว พากันตกนรก ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน. ในกาลบางครั้ง ภิกษุผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ชนะกิเลสด้วยมรรค ย่อมไม่เศร้าโศก กลับจะได้เกียรติคุณและความสุข บัณฑิตทั้งหลายเรียกภิกษุผู้ประพฤติชอบอย่างนั้นว่า เป็นผู้เห็นธรรม. เพราะเหตุนั้น ภิกษุใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 511
ศาสนานี้ ไม่ควรมีกิเลสเครื่องตรึงใจ ควรมีแต่ความเพียรชอบ ละนิวรณ์แล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ และละมานะโดยไม่เหลือแล้ว เป็นผู้สงบระงับ บรรลุถึงที่สุดแห่งวิชชาได้.
ข้าพเจ้าเร่าร้อนเพราะกามราคะ และจิตใจของข้าพเจ้าก็เร่าร้อนเพราะกามราคะเหมือนกัน ดูก่อนท่านผู้สาวกพระโคดม ขอพระคุณจงกรุณาบอกธรรมเครื่องดับความเร่าร้อนด้วยเถิด.
จิตของท่านเร่าร้อนก็เพราะความสำคัญผิด เพราะฉะนั้น ท่านจงละสุภนิมิตอันประกอบด้วยราคะเสีย ท่านจงอบรมจิตให้มีอารมณ์เป็นอันเดียว ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ด้วยการพิจารณาสิ่งทั้งปวงว่าไม่สวยงาม จงอบรมกายคตาสติ จงเป็นผู้มากไปด้วยความเบื่อหน่าย ท่านจงเจริญอนิมิตตานุปัสสนา (คืออนิจจานุปัสสนา) จงตัดอนุสัยคือมานะเสีย แต่นั้นท่านจักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป เพราะละมานะได้.
บุคคลควรพูดแต่วาจาที่ไม่ทำตนให้เดือดร้อน อนึ่ง วาจาใดไม่เบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นแลเป็นวาจาสุภาษิต บุคคลควรพูดแต่วาจาที่น่ารัก ทั้งเป็นวาจาที่ทำให้ร่าเริงได้ ไม่พึงยึดถือวาจาที่ชั่วช้าของคนอื่น พึงกล่าวแต่วาจาอันเป็นที่รัก. คำสัตย์แลเป็นวาจาที่ไม่ตาย ธรรมนี้เป็นของเก่า สัตบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในคำสัตย์ ทั้งที่เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 512
อรรถเป็นธรรม. พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด เป็นพระวาจาปลอดภัย เป็นไปเพื่อบรรลุนิพพาน และเพื่อทำที่สุดทุกข์ พระวาจานั้นแลเป็นพระวาจาสูงสุดกว่าวาจาทั้งปวง.
ท่านพระสารีบุตรมีปัญญาลึกซึ้ง เป็นนักปราชญ์ฉลาดในทางและมิใช่ทาง มีปัญญามาก แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ย่อบ้าง พิสดารบ้าง เสียงของท่านผู้กำลังแสดงธรรมอยู่ ไพเราะเหมือนกับเสียงนกสาริกา เปล่งขึ้นได้ชัดเจน รวดเร็ว เหมือนกับคลื่นในมหาสมุทร เมื่อท่านแสดงธรรมอยู่ด้วยเสียงอันน่ายินดี น่าสดับฟังไพเราะจับใจ ภิกษุทั้งหลายได้ฟังคำไพเราะ ก็มีใจร่าเริงเบิกบาน พากันตั้งใจฟัง.
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำวันนี้ เป็นวันปวารณาวิสุทธิ์ ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปมาประชุมกัน ล้วนแต่เป็นผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวผูกพันเสียได้สิ้น ไม่มีความทุกข์ สิ้นภพ สิ้นชาติแล้ว เป็นผู้แสวงหาคุณธรรมอันประเสริฐทั้งนั้น พระเจ้าจักรพรรดิมีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม เสด็จเลียบแผ่นดินอันไพศาลนี้ มีมหาสมุทรเป็นขอบเขตไปรอบๆ ได้ฉันใด พระสาวกทั้งหลาย ผู้มีวิชชา ๓ ละมัจจุราชได้แล้ว พากันเข้ารูปห้อมล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ชนะสงครามแล้ว เป็นพระผู้นำชั้นเยี่ยมฉันนั้น พระสาวก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 513
ทั้งมวลล้วนแต่เป็นพระชิโนรส ก็ในพระสาวกเหล่านี้ไม่มีความว่างเปล่าจากคุณธรรมเลย ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ผู้ทรงประหารลูกศรคือตัณหาได้แล้ว.
ภิกษุมากกว่าพัน ได้เข้ารูปเฝ้าพระสุคตเจ้าผู้กำลังทรงแสดงธรรมอันปราศจากธุลี คือพระนิพพาน อันไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ ภิกษุทั้งหลายพากันตั้งใจฟังธรรมอันไม่มีมลทิน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันหมู่ภิกษุห้อมล้อม เป็นสง่างามแท้หนอ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า นาคะผู้ประเสริฐ ทรงเป็นพระฤาษีผู้สูงสุดกว่าฤาษีทั้งหลาย ทรงโปรยฝนคืออมฤตธรรมรดพระสาวกทั้งหลายคล้ายกับฝนห่าใหญ่ฉะนั้น. ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า พระวังคีสะผู้สาวกของพระองค์ ออกจากที่พักกลางวันมาถวายบังคมพระยุคลบาทอยู่ ด้วยประสงค์จะเข้าเฝ้าพระองค์.
พระศาสดาตรัสว่า
พระวังคีสะครอบงำทางแห่งกิเลสมารได้แล้ว ทั้งทำลายกิเลสเครื่องตรึงใจได้แล้ว จึงเที่ยวไปอยู่ เธอทั้งหลายจงดูพระวังคีสะผู้ปลดเปลื้องเครื่องผูกได้แล้ว ผู้อันตัณหามานะและทิฏฐิ ไม่อิงแอบแล้ว ทั้งจำแนกธรรมเป็นส่วนๆ ได้ด้วยนั้น เป็นตัวอย่างเถิด. อันที่จริง พระวังคีสะ ได้บอกทางไว้หลายประการ เพื่อให้ข้ามห้วงน้ำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 514
คือกามเป็นต้น ก็ในเมื่อพระวังคีสะได้บอกทางอันไม่ตายนั้นไว้ให้แล้ว ภิกษุทั้งหลายผู้ได้ฟังแล้ว ก็ควรเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้เห็นธรรม ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนในธรรม พระวังคีสะเป็นผู้ทำแสงสว่างให้เกิดขึ้น แทงตลอดแล้วซึ่งธรรมฐิติทั้งปวง แสดงธรรมอันเลิศตามกาลเวลาได้อย่างฉับพลัน เพราะรู้มาเองและเพราะทำให้แจ้งมาเอง เมื่อพระวังคีสะแสดงธรรมด้วยดีแล้วอย่างนี้ จะประมาทอะไรต่อธรรมของท่านผู้รู้แจ้งเล่า เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุพึงเป็นผู้ไม่ประมาทในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจศึกษาไตรสิกขา ในกาลทุกเมื่อเถิด.
พระวังคีสะกล่าวชมพระอัญญาโกณฑัญญะว่า
พระอัญญาโกณฑัญญเถระ เป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มีความเพียรอย่างแรงกล้า ได้วิเวกอันเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขเป็นนิตย์ สิ่งใดที่พระสาวกผู้กระทำตามคำสอนของพระศาสดาจะพึงบรรลุ สิ่งนั้นทั้งหมดท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระ ไม่ประมาทศึกษาอยู่ ก็บรรลุตามได้แล้ว ท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระมีอานุภาพมาก มีวิชชา ๓ ฉลาดในการรู้จิตของผู้อื่น เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระบรมศาสดาอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 515
พระวังคีสะกล่าวชมพระพุทธเจ้าและพระสาวกเป็นต้นว่า
เชิญท่านดูพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมปราชญ์ เสด็จถึงฝั่งแห่งความทุกข์ กำลังประทับอยู่เหนือยอดเขากาลสิลาแห่งอิสิคิลิบรรพต มีหมู่สาวกผู้มีวิชชา ๓ ละมัจจุราชได้แล้วนั่งเฝ้าอยู่ พระมหาโมคคัลลานะผู้เรืองฤทธิ์ตามพิจารณาดูจิตของภิกษุผู้มหาขีณาสพเหล่านั้นอยู่ ท่านก็กำหนดได้ว่าเป็นดวงจิตที่หลุดพ้นแล้วไม่มีอุปธิ ด้วยใจของท่าน ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุทั้งหลายจึงได้พากันห้อมล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม ผู้ทรงสมบูรณ์ด้วยพระคุณธรรมทุกอย่าง ทรงเป็นจอมปราชญ์ เสด็จถึงฝั่งแห่งทุกข์ ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระอาการกิริยาเป็นอันมาก.
ข้าแต่พระมหามุนีอังคีรส พระองค์ไพโรจน์ล่วงโลกนี้กับทั้งเทวโลกทั้งปวง ด้วยพระยศ เหมือนกับพระจันทร์และพระอาทิตย์ที่ปราศจากมลทิน สว่างจ้าอยู่บนท้องฟ้าอันปราศจากเมฆหมอกฉะนั้น.
เมื่อก่อน ข้าพระองค์รู้กาพย์กลอน เที่ยวไปบ้านโน้นเมืองนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ข้าพระองค์ได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง พระองค์ผู้เป็นพระมหามุนี ทรงถึงฝั่งแห่งทุกข์ ได้ทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ๆ ได้ฟังธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ข้าพระองค์ได้ฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จึงรู้แจ้งขันธ์ อายตนะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 516
และธาตุได้แจ่มแจ้ง ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นมา เพื่อประโยชน์แก่สตรีและบุรุษเป็นอันมากผู้กระทำตามคำสอนของพระองค์ พระองค์ผู้เป็นมุนี ได้บรรลุพระโพธิญาณเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุและภิกษุณีเป็นอันมากหนอ ผู้ได้บรรลุสัมมัตนิยาม พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ มีจักษุทรงแสดงอริยสัจ ๔ คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันให้ถึงความสงบระงับทุกข์ เพื่อทรงอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย อริยสัจธรรมเหล่านี้ พระองค์ทรงแสดงไว้แล้วอย่างไร ข้าพระองค์ก็เห็นแล้วเหมือนอย่างนั้น ข้าพระองค์บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว กระทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว การที่ข้าพระองค์ได้มาในสำนักของพระองค์ เป็นการมาดีของข้าพระองค์หนอ เพราะข้าพระองค์ได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐในบรรดาธรรมที่พระองค์ทรงจำแนกไว้ดีแล้ว ข้าพระองค์ได้บรรลุถึงความสูงสุดแห่งอภิญญาแล้ว มีโสตธาตุอันหมดจด มีวิชชา ๓ ถึงความเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ เป็นผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของคนอื่น.
ข้าพระองค์ขอทูลถามพระศาสดา ผู้มีพระปัญญาอันไม่ทรามว่า ภิกษุรูปใดมีจิตไม่ถูกมานะทำให้เร่าร้อน เป็นผู้เรืองยศ ตรัสความสงสัยในธรรมที่ตนเห็นได้แล้ว ได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 517
มรณภาพลง ณ อัคคาฬววิหาร ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุรูปนั้นเป็นพราหมณ์โดยกำเนิด มีนามตามที่พระองค์ทรงตั้งให้ว่า พระนิโครธกัปปเถระ ผู้มุ่งความหลุดพ้น ปรารภความเพียร เห็นธรรมอันมั่นคง ได้ถวายบังคมพระองค์แล้ว. ข้าแต่พระองค์ผู้ศากยะทรงมีพระจักษุรอบคอบ แม้ข้าพระองค์ทั้งปวงปรารถนาจะทราบพระสาวกองค์นั้น โสตของข้าพระองค์ทั้งหลายเตรียมพร้อมที่จะฟังพระดำรัสตอบ พระองค์เป็นพระศาสดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยม. ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระปัญญากว้างขวาง ขอพระองค์ทรงตัดความเคลือบแคลงสงสัยของข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด และขอได้โปรดตรัสบอกพระนิโครธกัปปเถระ ผู้ปรินิพพานแล้วนั้นแก่ข้าพระองค์ด้วย ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุรอบคอบ ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกในท่ามกลางแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด เหมือนท้าวสักกเทวราชผู้มีพระเนตรตั้งพันดวง ตรัสบอกแก่เทวดาทั้งหลายฉะนั้น กิเลสเครื่องร้อยรัดชนิดใดชนิดหนึ่งในโลกนี้ ซึ่งเป็นทางก่อให้เกิดความหลงลืม เป็นฝ่ายแห่งความไม่รู้ เป็นมูลฐานแห่งความเคลือบแคลงสงสัย กิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่านั้น พอมาถึงพระตถาคตเจ้าก็พินาศไป พระตถาคตเจ้าผู้มีพระจักษุนี้อันยิ่งกว่านรชนทั้งหลาย ก็ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเป็นบุรุษชนิดที่ทรง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 518
ถือเอาแต่เพียงพระกำเนิดมาเท่านั้นไซร้ ก็จะไม่พึงทรงประหารกิเลสทั้งหลายได้ คล้ายกับลมที่รำเพยพัดมาครั้งเดียว ไม่อาจทำลายกลุ่มเมฆหมอกที่หนาได้ฉะนั้น โลกทั้งปวงที่มืดอยู่แล้วก็จะยิ่งมืดหนักลง ถึงจะมีแสงสว่างมาบ้างก็ไม่สุกใสได้ นักปราชญ์ทั้งหลายเป็นผู้กระทำแสงสว่างให้เกิดขึ้น ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระปรีชา เหตุนั้น ข้าพระองค์จึงขอเข้าถึงพระองค์ผู้ที่ข้าพระองค์เข้าใจว่า ทรงทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นได้เองเช่นนั้น ผู้เห็นแจ้งทรงรอบรู้สรรพธรรมตามความเป็นจริงได้ ขอเชิญพระองค์โปรดทรงประกาศพระนิโครธกัปปเถระ ผู้อุปัชฌายะของข้าพระองค์ที่ปรินิพพานไปแล้ว ให้ปรากฏในบริษัทด้วยเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงเปล่งพระดำรัส ก็ทรงเปล่งด้วยพระกระแสเสียงกังวานที่เกิดแต่นาสิก ซึ่งนับเข้าในมหาปุริสลักษณะประการหนึ่ง อันพระบุญญาธิการแต่งมาดี ทั้งเปล่งได้รวดเร็ว และแผ่วเบาเป็นระเบียบ เหมือนกับพญาหงส์ทองท่องเที่ยวหาเหยื่อ พบราวไพรใกล้สระน้ำ ก็ชูคอป้องปีกทั้งสองขึ้น ส่งเสียงร้องค่อยๆ ด้วยจะงอยปากอันแดงฉะนั้น. ข้าพระองค์ทั้งหมดตั้งใจตรง กำลังจะฟังพระดำรัสของพระองค์อยู่ ข้าพระองค์จักเผยการเกิดและการตายที่ข้าพระองค์ละมาได้หมดสิ้นแล้ว จักแสดงบาปธรรมทั้งหมดที่เป็นเครื่องกำจัด เพราะผู้กระทำตามความพอใจของตน ๓ จำพวก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 519
มีปุถุชนเป็นต้น ไม่อาจรู้ธรรมที่ตนปรารถนาหรือแสดงได้ ส่วนผู้กระทำตามความไตร่ตรอง พิจารณาตามเหตุผลของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย สามารถจะรู้ธรรมที่ตนปรารถนาทั้งแสดงได้ พระดำรัสของพระองค์นี้เป็นไวยากรณ์อันสมบูรณ์ พระองค์ตรัสไว้ดีแล้วด้วยพระปัญญาที่ตรงๆ โดยไม่มีการเสียดสีใครเลย การถวายบังคมครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย อันข้าพระองค์ถวายบังคมดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระปัญญาไม่ทราม พระองค์ทรงทราบแล้วจะทรงหลงลืมไปก็หามิได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีวิริยะอันไม่ต่ำทราม พระองค์ตรัสรู้อริยธรรมอันประเสริฐกว่าโลกิยธรรมแล้ว ก็ทรงทราบไญยธรรมทุกอย่างได้อย่างไม่ผิดพลาด ข้าพระองค์หวังเป็นอย่างยิ่งซึ่งพระดำรัสของพระองค์ เหมือนกับคนที่มีร่างกายอันชุ่มเหงื่อคราวหน้าร้อน ย่อมปรารถนาน้ำเย็นฉะนั้น ขอพระองค์ทรงยังฝนคือพระธรรมเทศนาที่ข้าพระองค์เคยฟังมาแล้วให้ตกลงมาเถิด พระเจ้าข้า ท่านพระนิโครธกัปปะ ได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ของท่านนั้นเป็นประโยชน์ไม่เปล่าแลหรือ ท่านนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานแล้วหรือ ท่านเป็นพระเสขะยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือว่าท่านเป็นพระอเสขะผู้หลุดพ้นแล้ว ข้าพระองค์ขอฟังพระดำรัสที่ข้าพระองค์มุ่งหวังนั้น พระเจ้าข้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 520
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า
พระนิโครธกัปปะได้ตัดขาดความทะเยอทะยานอยากในนามและรูปนี้ กับทั้งกระแสแห่งตัณหาอันนอนเนื่องอยู่ในสันดานมาช้านานแล้ว ข้ามพ้นชาติและมรณะได้หมดสิ้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐสุดด้วยพระจักษุ ๕ ได้ตรัสพระดำรัสเพียงเท่านี้.
พระวังคีสะกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพระฤาษีองค์ที่ ๗ ข้าพระองค์นี้ได้ฟังพระดำรัสของพระองค์แล้วก็เสื่อมใส ทราบว่าคำถามที่ข้าพระองค์ทูลถามแล้วไม่ไร้ประโยชน์ พระองค์ไม่หลอกลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า มีปกติกล่าวอย่างใดทำอย่างนั้น ได้ตัดข่ายคือตัณหาอันกว้างขวาง มั่นคง ของพระยามัจจุราชผู้มากเล่ห์ได้เด็ดขาด ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านพระนิโครธกัปปเถระกัปปายนโคตร ได้เห็นมูลเหตุแห่งอุปาทาน ข้ามบ่วงมารที่ข้ามได้แสนยากได้แล้วหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ขอนมัสการท่านพระนิโครธกัปปเถระ ผู้เป็นวิสุทธิเทพผู้ล่วงเสียซึ่งเทพดา ผู้เป็นอนุชาตบุตรของพระองค์ ผู้มีความเพียรมาก ผู้ประเสริฐสุด ทั้งเป็นโอรสของพระองค์ผู้ประเสริฐ.
บรรดาบทเหล่านั้น คาถา ๕ คาถา มีอาทิว่า เราเป็นผู้ออกบวชแล้ว ดังนี้ ท่านพระวังคีสะยังเป็นผู้ใหม่ บวชยังไม่นาน เห็นพวกหญิง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 521
มากหลายผู้ไปวิหารตกแต่งร่างกายสวยงามก็เกิดความกำหนัด เมื่อจะบรรเทาความกำหนัดที่เกิดขึ้นนั้น จึงได้กล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺขนฺตํ วต มํ สนฺตํ อคารสฺมานคาริยํ ความว่า เราผู้ออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนอยู่.
บทว่า วิตกฺกา ได้แก่ วิตกอันลามกมีกามวิตกเป็นต้น.
บทว่า อุปธาวนฺติ ความว่า ย่อมเข้าถึงจิตของเรา.
บทว่า ปคพฺภา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความคะนอง คือทำวางอำนาจ. ชื่อว่าผู้หมดความอาย เพราะไม่บริหารอย่างนี้ว่า ผู้นี้ออกจากเรือนบวช ไม่ควรตามกำจัดผู้นี้.
บทว่า กณฺหโต แปลว่า โดยความดำ อธิบายว่า โดยความลามก.
ความที่บุตรของคนสูงศักดิ์เหล่านั้นประจักษ์แก่ตน พระเถระจึงกล่าวว่า อิเม แปลว่า เหล่านี้.
พวกมนุษย์ผู้เลี้ยงชีวิตไม่บริสุทธิ์ มีสมัครพรรคพวกมาก ท่านเรียกว่า อุคคะ เพราะเป็นผู้มีกิจยิ่งใหญ่, บุตรทั้งหลายของอุคคชนเหล่านั้น ชื่อว่าอุคคบุตร.
บทว่า มหิสฺสาสา แปลว่า ผู้มีลูกธนูมาก.
บทว่า สิกฺขิตา ได้แก่ ผู้เรียนศิลปะในตระกูลของอาจารย์ถึง ๑๒ ปี
บทว่า ทฬฺหธมฺมิโน ได้แก่ เป็นผู้มีธนูแข็ง. เรี่ยวแรง ๒,๐๐๐ แรง ท่านเรียกทัฬหธนู ธนูแข็ง. ก็เครื่องผูกสายธนูที่ต้นสาย ใช้หัวโลหะเป็นต้นหนัก คนที่จับด้ามแล้วยกขึ้นพ้นจากแผ่นดินชั่วประมาณหนึ่งลูกศร ชื่อว่าทวิสหัสสถามะ เรี่ยวแรงยก ๒,๐๐๐ แรง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 522
บทว่า สมนฺตา ปริกิเรยฺยุํ ได้แก่ ปล่อยลูกศรไปรอบด้าน. หากจะมีคำถามว่า มีลูกศรเท่าไร ตอบว่า ลูกศรพันหนึ่งทำให้ศัตรูหนีไม่ทัน อธิบายว่า ลูกศรหนึ่งพันไม่ตรงหน้าคนอื่นในสนามรบ.
บุตรของคนผู้ยิ่งใหญ่ประมาณ ๑,๐๐๐ ได้ศึกษามาเชี่ยวชาญ เป็นผู้ยิ่งใหญ่มีธนูแข็งผู้แม่นธนู แม้ในกาลไหนๆ ก็ไม่พ่ายแพ้ในการรบ เป็นผู้ไม่ประมาท ยืนพิงเสารอบด้าน แม้ถ้าจะพึงยิงสาดลูกศรไปไซร้ แม้นักแม่นธนูพันคนแม้ผู้เช่นนั้น ยิงลูกศรมารอบด้าน คนที่ศึกษามาดีแล้ว จับคันศร ทำลูกศรทั้งหมดไม่ให้ตกลงในร่างกายของตน ให้ตกลงแทบเท้า. บรรดานักแม่นธนูเหล่านั้น นักแม่นธนูแม้คนหนึ่ง ชื่อว่ายิงลูกศร ๒ ลูกไปรวมกัน ย่อมไม่มี, แต่หญิงทั้งหลายยิงลูกศรคราวละ ๕ ลูก ด้วยอำนาจรูปารมณ์เป็นต้น, เมื่อยิงไปอย่างนั้น.
บทว่า เอตฺตกา ภิยฺโย ความว่า หญิงเป็นอันมากแม้ยิ่งกว่าหญิงเหล่านี้ ย่อมขจัดโดยภาวะที่ร่าเริงด้วยกิริยาอาการแห่งหญิงเป็นต้นของตน.
บทว่า สกฺขี หิ เม สุตํ เอตํ ความว่า เรื่องนี้เราได้ยินได้ฟังมาต่อหน้า.
บทว่า นิพฺพานคมนํ มคฺคํ ท่านกล่าวด้วยอำนาจลิงควิปลาส, อธิบายว่า ทางเป็นเครื่องดำเนินไปสู่พระนิพพาน, ท่านกล่าวหมายเอาวิปัสสนา.
บทว่า ตตฺถ เม นิรโต มโน ความว่า จิตของเรายินดีแล้ว ในวิปัสสนามรรคนั้น.
บทว่า เอวญฺเจ มํ วิหรนฺตํ ได้แก่ เราผู้อยู่อย่างนี้ ด้วยการเจริญฌานมีอนิจจลักษณะ และอสุภเป็นอารมณ์ และด้วยการเจริญวิปัสสนา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 523
พระเถระเรียกกิเลสมารว่า ปาปิมะ ผู้ลามก.
บทว่า ตถา มจฺจุ กริสฺสามิ น เม มคฺคมฺปิ ทกฺขสิ มีวาจาประกอบความว่า เราจักกระทำมัจจุ คือที่สุด โดยประการที่ท่านไม่เห็นแม้แต่ทางที่เราทำไว้.
คาถา ๕ คาถา มีอาทิว่า อรติญฺจ ดังนี้ พระเถระเมื่อบรรเทาความไม่ยินดีเป็นต้นที่เกิดขึ้นในสันดานของตน ได้กล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรตึ ได้แก่ ผู้กระสันในธรรม คือ อธิกุศล และในเสนาสนะอันสงัด.
บทว่า รตึ ได้แก่ ความยินดีในกามคุณ ๕.
บทว่า ปหาย แปลว่า ละแล้ว.
บทว่า สพฺพโส เคหสิตญฺจ วิตกฺกํ ความว่า ละได้โดยสิ้นเชิงซึ่งมิจฉาวิตก อันอาศัยเรือน คือที่ปฏิสังยุตด้วยบุตรและทาระ และความตริถึงญาติเป็นต้น.
บทว่า วนถํ น กเรยฺย กุหิญฺจิ ความว่า ไม่พึงทำความอยากในวัตถุทั้งปวง ทั้งประเภทที่เป็นไปในภายในและภายนอก.
บทว่า นิพฺพนโถ อวนโถ ส ภิกฺขุ ความว่า ก็บุคคลใดไม่มีความอยากโดยประการทั้งปวง เพราะความเป็นผู้ไม่มีความอยากนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีกิเลส เพราะไม่มีความเพลิดเพลินในอารมณ์ไหนๆ บุคคลชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะเห็นโดยชอบซึ่งภัยในสงสาร และเพราะทำลายกิเลสได้แล้ว.
บทว่า ยมิธ ปวิญฺจ เวหาสํ รูปคตํ ชคโตคธํ กิญฺจิ ความว่า รูปอย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ที่อยู่บนแผ่นดิน คือที่อาศัยแผ่นดิน ที่อยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 524
ในอากาศ คือที่ตั้งในอากาศ ได้แก่ที่อาศัยเทวโลก มีสภาวะผุพัง ซึ่งอยู่ในแผ่นดิน คือมีอยู่ในโลก อันนับเนื่องในภพทั้ง ๓ อันปัจจัยปรุงแต่ง.
บทว่า ปริชียติ สพฺพมนิจฺจํ ความว่า รูปทั้งหมดนั้นถูกชราครอบงำ แต่นั้นแหละเป็นของไม่เที่ยง แต่นั้นแล เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระเถระกล่าวถึงการยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์ ด้วยประการฉะนี้. บางอาจารย์กล่าวว่า นี้เป็นวิปัสสนาของพระเถระ.
บทว่า เอวํ สเมจฺจ จรนฺติ. มุตตฺตา ความว่า บัณฑิตทั้งหลายตรัสรู้ คือตรัสรู้เฉพาะอย่างนี้ ได้แก่ด้วยมรรคปัญญาอันประกอบด้วยวิปัสสนา มีตนอันหลุดพ้นแล้ว คือมีอัตภาพอันกำหนดรู้แล้ว เที่ยวไป คืออยู่.
บทว่า อุปธีสุ ได้แก่ ในอุปธิคือขันธ์ทั้งหลาย.
บทว่า ชนา ได้แก่ ปุถุชนผู้บอด.
บทว่า คธิตาเส ได้แก่ มีจิตปฏิพัทธ์. ก็ในที่นี้ พระเถระเมื่อจะแสดงโดยพิเศษว่า พึงนำออกไปซึ่งความพอใจในอุปธิคือกามคุณ จึงกล่าวว่า ในรูปที่ได้เห็น และเสียงที่ได้ยิน และในสิ่งที่มากระทบ และในอารมณ์ที่ได้ทราบ.
บทว่า ทิฏฺสุเต ได้แก่ ในรูปที่เห็น และเสียงที่ได้ฟัง อธิบายว่า รูปและเสียง.
บทว่า ปฏิเฆ ได้แก่ ในสิ่งที่กระทบ คือในโผฏฐัพพะ.
บทว่า มุเต ได้แก่ ในอารมณ์ที่ได้ทราบ ที่เหลือจากอารมณ์ที่กล่าวแล้ว อธิบายว่า ในกลิ่นและรสทั้งหลาย. ในสารัตถปกาสินี ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 525
กล่าวว่า ถือเอากลิ่นและรสด้วยบทว่า ปฏิฆะ ถือเอาโผฏฐัพพารมณ์ด้วยบทว่า มุตะ.
บทว่า เอตฺถ วิโนทย ฉนฺทมเนโช ความว่า ท่านจงบรรเทากามฉันทะในเบญจกามคุณอันมีรูปที่เห็นเป็นต้นเป็นประเภทนี้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านจะเป็นผู้ไม่หวั่นไหว คือไม่กำหนดในอารมณ์ทั้งปวง.
บทว่า โย เหตฺถ น ลิมฺปติ มุนิ ตมาหุ ความว่า ก็บุคคลใดย่อมไม่ฉาบทาด้วยเครื่องฉาบทาคือตัณหาในกามคุณนี้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมเรียกบุคคลนั้นว่า มุนี เพราะเป็นผู้ตั้งอยู่ในโมไนยธรรม ธรรมของมุนี. ด้วยการอธิบายว่า พระบาลีว่า อถ สฏฺิสิตา ถ้าว่าอาศัยทิฏฐิ ๖๐ ดังนี้ อาจารย์บางพวกจึงกล่าวความหมายว่า อาศัยธรรมารมณ์ ๖๐ ประการ. ก็พระบาลีมีว่า เป็นไปกับด้วยวิตกอันอาศัยทิฏฐิ ๖๘ ประการ, จริงอยู่ อารมณ์มีประมาณน้อย คือหย่อนหรือเกินไป ย่อมไม่นับเอาแล.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า อฏฺสฏฺิสิตา ความว่า มิจฉาวิตกอันอาศัยทิฏฐิ ๖๒ ประการ และบุคคลผู้เป็นไปในคติแห่งทิฏฐิ เป็นผู้เชื่อลัทธิว่าไม่มีสัตตาวาสภูมิเป็นที่อยู่ของสัตว์ ๗ ชั้น เพราะเหตุนั้นจึงเว้นอธิจจสมุปปันนวาทะว่า เกิดผุดขึ้นโดยไม่มีเหตุ แล้วจึงกล่าวด้วยอำนาจวาทะนอกนี้ว่า ถ้าว่าอธรรมทั้งหลายเป็นไปกับด้วยวิตก อาศัยทิฏฐิ ๖๐ ประการดังนี้. เพื่อจะแสดงว่า เหมือนอย่างว่าที่เรียกว่าภิกษุ เพราะไม่มีเครื่องฉาบทาคือกิเลสฉันใด ที่เรียกว่าภิกษุ แม้เพราะไม่มีเครื่องฉาบทาคือทิฏฐิก็ฉันนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ถ้าอาศัยทิฏฐิ ๖๐ ดังนี้เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 526
บทว่า ปุถุชฺชนตาย อธมฺมา นิวิฏฺา ความว่า ก็มิจฉาวิตกเหล่านั้น มิใช่ธรรม คือปราศจากธรรม ด้วยอำนาจยึดถือว่าเที่ยงเป็นต้นตั้งลงแล้ว คือตั้งลงเฉพาะแล้วในความเป็นปุถุชน คือในคนอันธพาล.
บทว่า น จ วคฺคคตสฺส กุหิญฺจิ ความว่า ไม่พึงเป็นไปในพวกมิจฉาทิฏฐิมีสัสสตวาทะว่าเที่ยงเป็นต้นในวัตถุนั้นๆ คือไม่ถือลัทธินั้น. ส่วนในอรรถกถาท่านยกบทขึ้นตั้งว่า ถ้าว่าอธรรมทั้งหลายเป็นไปกับวิตก อาศัยทิฏฐิ ๖๐ ตั้งมั่นในความเป็นปุถุชน ดังนี้แล้วกล่าวว่า ถ้าว่าวิตกที่ไม่เป็นธรรมเป็นอันมากอาศัยอารมณ์ ๖ ตั้งลงมั่น เพราะทำให้เกิดและกล่าวว่าไม่พึงเป็นพรรคพวกในอารมณ์ไหนๆ อย่างนั้น อธิบายว่า ไม่พึงเป็นพวกกิเลสในอารมณ์ไหนๆ ด้วยอำนาจวิตกเหล่านั้น.
บทว่า โน ปน ทุฏฺฐุลฺลคาหี ส ภิกฺขุ ความว่า บุคคลใดไม่พึงเป็นผู้มักพูดคำหยาบ คือพูดผิด เพราะถูกกิเลสประทุษร้าย และเพราะเป็นวาทะหยาบเหลือหลาย บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นภิกษุ.
บทว่า ทพฺโพ ได้แก่ ผู้มีชาติฉลาด คือเป็นบัณฑิต.
บทว่า จิรรตฺตสมาหิโต แปลว่า ผู้มีจิตเป็นสมาธิตั้งแต่กาลนานมาแล้ว.
บทว่า อกุหโก แปลว่า เว้นจากความโกหก คือไม่โอ้อวด ไม่มีมายา.
บทว่า นิปโก แปลว่า ผู้ละเอียดละออ คือผู้เฉลียวฉลาด. บทว่า อปิหาลุ แปลว่า ผู้หมดตัณหาความอยาก.
บทว่า สนฺตํ ปทํ อชฺฌคมา ได้แก่ บรรลุพระนิพพาน. ชื่อว่า มุนี เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเป็นมุนี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 527
บทว่า ปรินิพฺพุโต ความว่า อาศัยพระนิพพาน โดยกระทำให้เป็นอารมณ์ แล้วปรินิพานด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
บทว่า กงฺขติ กาลํ ความว่า รอเวลาเพื่อต้องการอนุปาทิเสสนิพพานในกาลบัดนี้. อธิบายว่า พระเถระนั้นไม่มีกิจอะไรที่จะพึงทำ จึงเตรียมพร้อมด้วยประการที่จักเป็นผู้เช่นนี้.
คาถา ๔ คาถามีอาทิว่า มานํ ปชหสฺสุ จงละมานะ พระเถระอาศัยปฏิภาณสมบัติบรรเทามานะที่เป็นไปแก่ตนกล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มานํ ปชหสฺสุ ความว่า จงสละมานะ ๙ ประการ มีมานะว่า เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าเป็นต้น.
ด้วยบทว่า โคตม นี้ พระเถระกล่าวถึงตนให้เป็นโคตมโคตร เพราะตนเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้โคตมโคตร.
บทว่า มานปถํ ความว่า ท่านจงละ คือจงละขาดซึ่งชาติเป็นต้น อันหุ้มห่อด้วยอโยนิโสมนสิการ การใส่ใจโดยไม่แยบคาย อันเป็นฐานที่ตั้งให้มานะแพร่ไป โดยการละกิเลสที่เนื่องด้วยชาติเป็นต้นนั้น.
บทว่า อเสสํ แปลว่า ทั้งหมดเลย.
บทว่า มานปถมฺหิ ส มุจฺฉิโต ความว่า ผู้ถึงความสยบอันมีวัตถุที่ตั้งแห่งมานะเป็นเหตุ.
บทว่า วิปฺปฏิสารีหุวา จิรรตฺตํ ความว่า เมื่อขณะแห่งการขวนขวายในทางมานะนี้ล่วงไปแล้ว จักบรรลุพระอรหัตในกาลก่อนแท้ คือ ได้เป็นผู้เดือดร้อนว่า เราฉิบหายเสียแล้ว.
บทว่า มกฺเขน มกฺขิตา ปชา ความว่า ชื่อว่า มีมักขะลบหลู่คุณท่าน เพราะยกตนข่มผู้อื่นด้วยความกล้าเป็นต้น แล้วบดขยี้ด้วยมักขะอัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 528
มีลักษณะลบหลู่คุณของผู้อื่น, จริงอยู่ บุคคลลบหลู่คุณของคนอื่นด้วยประการใดๆ ชื่อว่า ย่อมเช็ด คือละทิ้งคุณของตนด้วยประการนั้นๆ.
บทว่า มานหตา ได้แก่ ผู้มีคุณความดี ถูกมานะขจัดเสียแล้ว.
บทว่า นิรยํ ปปตนฺติ ได้แก่ ย่อมเข้าถึงนรก.
บทว่า มคฺคชิโน ได้แก่ ชำนะกิเลสด้วยมรรค.
บทว่า กิตฺติญฺจ สุขญฺจ ได้แก่ เกียรติที่วิญญูชนสรรเสริญ และสุขอันเป็นไปทางกายและทางจิต.
บทว่า อนุโภติ แปลว่า ได้เฉพาะ.
บทว่า ธมฺมทโสติ ตมาหุ ตถตฺตํ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้น ผู้ปฏิบัติชอบอย่างนั้นว่าเป็นผู้เห็นธรรม ตามเป็นจริง.
บทว่า อขิโล ได้แก่ ผู้เว้นจากกิเลสเครื่องตรึงใจ ๕ ประการ.
บทว่า ปธานวา ได้แก่ ผู้ถึงพร้อมด้วยสัมมัปปธานความเพียรชอบ.
บทว่า วิสุทฺโธ ความว่า ชื่อว่า ผู้มีใจบริสุทธิ์ เพราะปราศจากเมฆ คือนิวรณ์.
บทว่า อเสสํ ได้แก่ ละมานะทั้ง ๙ อย่างด้วยอรหัตมรรค.
บทว่า วิชฺชายนฺตกาโร สมิตาวี ความว่า พระเถระกล่าวสอนตนว่า เป็นผู้มีกิเลสสงบระงับแล้วโดยประการทั้งปวง ถึงที่สุดแห่งวิชชา ๓ ประการ.
ครั้นวันหนึ่ง ท่านพระอานนท์ อันราชมหาอำมาตย์คนหนึ่งนิมนต์ในเวลาเช้า จึงไปเรือนของราชมหาอำมาตย์นั้นแล้วนั่งบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้ โดยมีท่านพระวังคีสะเป็นปัจฉาสมณะ. ลำดับนั้น หญิงทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 529
ในเรือนนั้น ประดับด้วยอลังการทั้งปวง พากันเข้าไปหาพระเถระ ไหว้แล้วถามปัญหา ฟังธรรม.
ลำดับนั้น ความกำหนัดในวิสภาคารมณ์เกิดขึ้นแก่ท่านพระวังคีสะผู้ยังบวชใหม่ไม่อาจกำหนดอารมณ์ได้ ท่านพระวังคีสะนั้น เป็นกุลบุตรผู้มีศรัทธา มีชาติเป็นคนตรง คิดว่าราคะนี้เพิ่มมากแก่เราแล้ว จะพึงทำประโยชน์ปัจจุบัน ทั้งประโยชน์ภายภาคหน้า ให้พินาศทั้งๆ ที่นั่งอยู่แล เมื่อจะเปิดเผยความเป็นไปของตนแก่พระเถระ จึงกล่าวคาถาว่า กามราเคน ดังนี้เป็นต้น.
ในข้อนั้น เพื่อจะแสดงว่า แม้ถ้าความเร่าร้อนอันเกิดจากความกำหนัด เพราะกิเลสเบียดเบียนแม้กายได้ แต่เมื่อจะเบียดเบียนจิต ย่อมเบียดเบียนได้นานกว่า พระเถระจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกกามราคะแผดเผา แล้วกล่าวว่า จิตของข้าพเจ้าก็ถูกแผดเผา ดังนี้.
บทว่า นิพฺพาปนํ ความว่า ขอท่านจงให้โอวาทอันเป็นเหตุทำราคะให้ดับ คือที่สามารถทำความเร่าร้อนเพราะราคะให้ดับ.
คาถามีว่า สญฺาย วิปริเยสา เพราะความสำคัญผิด ดังนี้เป็นต้น อันท่านพระอานนท์ถูกพระวังคีสะขอร้อง จึงกล่าวไว้.
บทว่า วิปริเยสา ความว่า เพราะความวิปลาส คือเพราะถือผิดแผก ซึ่งเป็นไปในสิ่งที่ไม่งามว่างาม.
บทว่า นิมิตฺตํ ได้แก่ มีอันทำกิเลสให้เกิดเป็นนิมิต. บทว่า ปริวชฺเชหิ แปลว่า จงสละเสีย.
บทว่า สุภํ ราคูปสํหิตํ ความว่า เมื่อจะเว้นสุภะ อันเป็นเหตุทำราคะให้เจริญเป็นอารมณ์ พึงเว้นด้วยอสุภสัญญา กำหนดหมายว่าไม่งาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 530
พึงเว้นด้วยอนภิรติสัญญา กำหนดหมายว่าไม่น่ายินดี ในอารมณ์ทุกอย่างเพราะเหตุนั้น ท่านพระอานนท์เมื่อจะแสดงสัญญา แม้ทั้งสองนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อสุภาย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสุภาย ได้แก่ ด้วยอสุภานุปัสสนา การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่าไม่งาม.
บทว่า จิตฺตํ ภาเวหิ เอกคฺคํ สุสมาหิตํ ความว่า ท่านจงเจริญกระทำให้มีอารมณ์เลิศเป็นอันเดียว คือให้ตั้งมั่น ให้แอบแนบในอารมณ์ทั้งหลาย โดยไม่มีความฟุ้งซ่านแห่งจิตของตน คือเราจักบอกอสุภานุปัสสนาที่พึงกระทำได้ง่ายแก่ท่าน.
บทว่า สติ กายคตา ตฺยตฺถุ ความว่า การเจริญกายคตาสติที่กล่าวแล้ว ท่านจงอบรมกระทำให้มาก.
บทว่า นิพฺพิทาพหุโล ภว ความว่า ท่านจงเป็นผู้มากด้วยความหน่ายในอัตภาพและในสิ่งทั้งปวง.
บทว่า อนิมิตฺตญฺจ ภาเวหิ ความว่า โดยพิเศษ อนิจจานุปัสสนาชื่อว่า อนิมิต เพราะเพิกนิมิตว่าเที่ยงเป็นต้น แต่นั้นท่านจงละมานานุสัย กิเลสอันนอนเนื่องคือมานะเสีย อธิบายว่า เมื่อจะเจริญอนิจจานุปัสสนานั้น จงตัดอย่างเด็ดขาดซึ่งมานานุสัย โดยการบรรลุอรหัตมรรคตามลำดับ มรรค.
บทว่า มานาภิสมยา ได้แก่ ตรัสรู้เพราะเห็นมานะและเพราะละมานะ.
บทว่า อุปสนฺโต ความว่า ท่านชื่อว่าเข้าไปสงบ เพราะสงบราคะเป็นต้นได้ทั้งหมด จักเที่ยวไป คือจักอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 531
คาถา ๔ คาถามีอาทิว่า ตเมว วาจํ ดังนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสุภาสิตสูตร พระเถระเกิดความโสมนัส เมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าเฉพาะพระพักตร์ จึงได้กล่าวไว้.
บทว่า ยายตฺตานํ น ตาปเย ความว่า ไม่พึงทำตนให้เดือดร้อน คือให้ลำบากด้วยความเดือดร้อน ด้วยวาจาใดอันเป็นเหตุ.
บทว่า ปเร จ น วิหึเสยฺย ความว่า ไม่พึงเบียดเบียนทำลายคนอื่นให้แตกกับคนอื่น.
บทว่า สา เว วาจา สุภาสิตา มีวาจาประกอบความว่า วาจานั้นชื่อว่าเป็นสุภาษิตโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้น พึงกล่าวแต่วาจานั้นเท่านั้น พระเถระสดุดีพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยมีพระวาจาไม่ส่อเสียดด้วยคาถานี้.
บทว่า ปฏินนฺทิตา ความว่า ยินดี คือรักใคร่โดยเฉพาะหน้า คือในเดี๋ยวนั้น และในกาลต่อไป ผู้สดับฟังรับเอา.
บทว่า ยํ อนาทาย ความว่า บุคคลเมื่อจะกล่าววาจาใด อย่าได้ถือเอาคำหยาบคายอันไม่น่ารัก ไม่น่าปรารถนาของคนอื่น ย่อมแสดงแต่วาจาที่น่ารัก อันไพเราะด้วยอรรถและพยัญชนะ.
บทว่า ตเมว ปิยวาจํ ภาเสยฺย ได้แก่ ชมเชยด้วยอำนาจวาจาที่น่ารัก.
บทว่า อมตา ได้แก่ ดุจน้ำอมฤต เพราะเป็นวาจายังประโยชน์ให้สำเร็จ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า คำสัตย์แลยังประโยชน์ให้สำเร็จกว่ารสทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่วาจาที่เป็นประโยชน์ คือเป็นปัจจัยแก่อมตะ คือพระนิพพาน ชื่อว่าเป็นวาจาอมตะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 532
บทว่า เอส ธมฺโม สนนฺตโน ความว่า ชื่อว่าสัจวาจานี้เป็นธรรมของเก่า คือประพฤติเป็นประเพณี จริงอยู่ ข้อที่คนเก่าก่อนไม่พูดคำเหลาะแหละนี้แหละ เป็นความประพฤติของคนเก่าก่อน ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สัตบุรุษเป็นผู้ตั้งอยู่ในคำสัตย์ อันเป็นอรรถเป็นธรรม.
ในคำนั้น พึงทราบว่า ชื่อว่าตั้งอยู่ในประโยชน์ตนและคนอื่น เพราะเป็นผู้ตั้งอยู่ในสัจจะ ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม เพราะเป็นผู้ตั้งอยู่ในประโยชน์เท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า อตฺเถ ธมฺเม นี้เป็นวิเสสนะของสัจจะนั่นแหละ. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้ตั้งอยู่ในคำสัจ, ในคำสัจเช่นไร? ในคำสัจที่เป็นอรรถเป็นธรรม ซึ่งเป็นที่ให้สำเร็จประโยชน์ คือไม่ทำการขัดขวางให้แก่คนอื่น เพราะไม่ปราศจากอรรถ (และ) ให้สำเร็จธรรม คือประโยชน์อันเป็นไปในธรรมเท่านั้น เพราะไม่ปราศจากธรรม. พระเถระสดุดีพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยทรงมีพระวาจาสัตย์ด้วยคาถานี้.
บทว่า เขมํ แปลว่า ปลอดภัย คือไม่มีอันตราย หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า เพราะเหตุไร? ขอเฉลยว่า เพราะได้บรรลุพระนิพพานอันกระทำที่สุดแห่งทุกข์ อธิบายว่า ชื่อว่าปลอดภัย เพราะเป็นเหตุให้ถึงกิเลสนิพพาน และเป็นไปเพื่อทำที่สุดแห่งวัฏทุกข์.
อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความในข้อนี้อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสพระวาจาใด ชื่อว่าปลอดภัย เพราะทรงประกาศทางอันเกษม เพื่อประโยชน์แก่นิพพานธาตุทั้งสองคือ เพื่อบรรลุพระนิพพาน หรือเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ วาจานั้นเท่านั้น เป็นวาจาสูงสุดกว่าวาจาทั้งหลาย อธิบายว่า วาจานั้นประเสริฐที่สุดกว่าวาจาทั้งปวง พระเถระเมื่อสดุดีพระผู้มีพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 533
ภาคเจ้า โดยมีพระดำรัสด้วยพระปรีชา ด้วยคาถานี้ จึงให้จบการสดุดีลงด้วยยอดคือพระอรหัต.
คาถา ๓ คาถามีอาทิว่า คมฺภีรปญฺโ นี้ พระเถระกล่าวด้วยอำนาจการสรรเสริญท่านพระสารีบุตร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คมฺภีรปญฺโ ความว่า ชื่อว่าผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาอันละเอียด ซึ่งเป็นไปในขันธ์และอายตนะเป็นต้นอันลึกล้ำ. ชื่อว่ามีปัญญา เพราะประกอบด้วยปัญญาอันมีโอชาเกิดแต่ธรรม กล่าวคือเมธาปัญญา.
ชื่อว่า ผู้ฉลาดในทางและมิใช่ทาง เพราะความเป็นผู้ฉลาดในทางและมิใช่ทางอย่างนี้ว่า นี้ทางทุคติ นี้ทางสุคติ นี้ทางพระนิพพาน.
ชื่อว่า ผู้มีปัญญามาก ด้วยอำนาจปัญญาอันถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณอันใหญ่.
บทว่า ธมฺมํ เทเสติ ภิกฺขูนํ ความว่า ประกาศปวัตติ (ทุกข์) และนิวัตติ (นิโรธ) โดยชอบ แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ก็เพื่อจะแสดงอาการเป็นไปแห่งเทศนานั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า โดยย่อบ้าง ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺขิตฺเตนปิ ความว่า แสดงแม้โดยย่ออย่างนี้ว่า ดูก่อนผู้มีอายุ อริยสัจ ๔ เหล่านี้. อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? ทุกขอริยสัจ ๑ ฯลฯ ดูก่อนผู้มีอายุ อริยสัจ ๔ เหล่านี้แล, เพราะเหตุนั้นแล ผู้มีอายุพึงกระทำความเพียรว่า นี้ทุกข์. เมื่อจำแนกอริยสัจเหล่านั้นนั่นแหละออกแสดงแม้โดยพิสดาร โดยนัยมีอาทิว่า ก็ผู้มีอายุ ทุกขอริยสัจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 534
เป็นไฉน? แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ ดังนี้. แม้ในเทศนาเรื่องขันธ์เป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า สาลิกายิว นิคฺโฆโส ความว่า เมื่อพระเถระแสดงธรรมย่อมมีเสียงไพเราะเหมือนเสียงนกสาลิกา ตัวได้ลิ้มรสมะม่วงสุกหวาน จึงกระพือปีกทั้งสองแล้วเปล่งเสียงร้องอันไพเราะฉะนั้น. จริงอยู่ พระธรรมเสนาบดีมีคำพูดไม่พร่าเครือด้วยอำนาจดีเป็นต้น, เสียงเปล่งออกประดุจกังสดาลที่เขาเคาะด้วยท่อนเหล็กฉะนั้น.
บทว่า ปฏิภาณํ อุทิยฺยติ ความว่า ปฏิภาณความแจ่มแจ้ง ย่อมตั้งขึ้นพรั่งพรูประดุจลูกคลื่นตั้งขึ้นจากมหาสมุทร ในเมื่อท่านประสงค์จะกล่าว.
บทว่า ตสฺส ได้แก่ พระสารีบุตร. บทว่า ตํ ได้แก่ กำลังแสดงธรรมอยู่.
บทว่า สุณนฺตี ได้แก่ เกิดความเอื้อเฟื้อว่า พระเถระกล่าวคำใดแก่พวกเราๆ จักฟังคำนั้น ดังนี้ จึงฟังอยู่.
บทว่า มธุรํ แปลว่า น่าปรารถนา. บทว่า รชนีเยน ได้แก่ อันน่าใคร่. บทว่า สวนีเยน ได้แก่ มีความสบายหู. บทว่า วคฺคุนา ได้แก่ มีความกลมกล่อมเป็นที่จับใจ.
บทว่า อุทคฺคจิตฺตา ได้แก่ เป็นผู้มีจิตเบิกบาน คือมีจิตไม่หดหู่ด้วยอำนาจปีติอันประกอบความฟูใจ.
บทว่า มุทิตา ได้แก่ บันเทิงใจ คือประกอบด้วยความปราโมทย์.
บทว่า โอเธนฺติ ได้แก่ เงี่ยหูลง คือเข้าไปตั้งจิตเพื่อความรู้ทั่วถึง จึงเงี่ยหูคอยฟังอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 535
คาถา ๔ คาถามีอาทิว่า อชฺช ปณฺณรเส ดังนี้ พระเถระได้เห็นพระศาสดาประทับนั่ง ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ห้อมล้อม เพื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาปวารณาสูตร เมื่อจะสดุดี จึงกล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺณรเส ความว่า ก็สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งในบุพพาราม ในเวลาเย็นทรงแสดงพระธรรมเทศนา อันเหมาะแก่กาลสมัยแก่บริษัทที่ถึงพร้อมแล้ว จึงโสรจสรงพระวรกายในซุ้มสรงน้ำแล้วครองผ้า ทรงกระทำมหาจีวรเท่าสุคตประมาณเฉวียงบ่า ทรงประทับพิงเสากลาง ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาตกแต่งไว้ในปราสาทของมิคารมารดา ทรงชำเลืองดูภิกษุสงฆ์ผู้นั่งห้อมล้อม ประทับนั่งในวันปวารณา ในวันอุโบสถนั้น, ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำนี้.
บทว่า วิสุทฺธิยา ได้แก่ เพื่อต้องการความบริสุทธิ์ คือเพื่อวิสุทธิปวารณา.
บทว่า ภิกฺขู ปญฺจสตา สมาคตา ความว่า ภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูปมาประชุมกัน ด้วยการนั่งห้อมล้อมพระศาสดา และด้วยอัธยาศัย.
บทว่า เต จ สํโยชนพนฺธนจฺฉิทา ความว่า ผู้ตัดกิเลสทั้งหลายอันเป็นเครื่องผูกสันดาน กล่าวคือสังโยชน์ดำรงอยู่ เพราะเหตุนั้นแหละจึงเป็นผู้ไม่มีทุกข์ หมดสิ้นภพใหม่ เป็นผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ อธิบายว่า ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์อันเกิดจากกิเลส เป็นผู้มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพราะแสวงหาศีลขันธ์เป็นต้นอันเป็นของพระอเสขะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 536
บทว่า วิชิตสงฺคามํ ความว่า ชื่อว่าผู้ทรงชนะสงคราม เพราะทรงชนะสงครามคือกิเลส คือเพราะทรงชนะมารและพลของมารได้เเล้ว.
บทว่า สตฺถวาหํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าสัตถวาหะ ผู้นำกองเกวียน เพราะทรงยกขึ้นรถ คืออริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ แล้วขนพาเวไนยสัตว์ทั้งหลายไป คือให้ข้ามพ้นจากสงสารกันดาร. ด้วยเหตุนั้น สหัมบดีพรหมจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า ผู้ชนะสงคราม ผู้นำหมู่เกวียน ขอพระองค์โปรดเสด็จลุกขึ้น, พระสาวกทั้งหลายเข้าไปนั่งใกล้พระศาสดาพระองค์นั้น ผู้ทรงนำหมู่เกวียน ผู้ยอดเยี่ยม.
บทว่า เต วิชฺชา มจฺจุหายิโน มีวาจาประกอบความว่า ผู้อันพระสาวกทั้งหลายเห็นปานนั้นห้อมล้อม เสด็จตามลำดับรอบๆ ไป ด้วยการเสด็จจาริกไปยังชนบท เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิ อันหมู่อำมาตย์ห้อมล้อมฉะนั้น.
บทว่า ปลาโป แปลว่า ว่างเปล่า คือเว้นจากสาระในภายใน อธิบายว่า เว้นจากศีล.
บทว่า วนฺเท อาทิจฺจพนฺธุนํ ความว่า พระเถระกล่าวว่า ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระทศพลบรมศาสดา ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์.
คาถา ๔ คาถามีอาทิว่า ปโรสหสฺสํ ดังนี้ พระเถระเมื่อจะสดุดีพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตด้วยพระนิพพาน จึงได้กล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปโรสหสฺสํ แปลว่า เกินกว่าพัน, พระเถระกล่าวหมายเอาภิกษุ ๑,๒๕๐ องค์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 537
บทว่า อกุโตภยํ ความว่า ในพระนิพพาน ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ และท่านผู้บรรลุนิพพานแล้ว ย่อมไม่มีภัยแม้แต่ที่ไหนๆ เพราะเหตุนั้น พระนิพพานจึงชื่อว่าไม่มีภัยแต่ที่ไหน.
พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตเรียกว่านาค เพราะเหตุทั้งหลายดังกล่าวแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า พระองค์ไม่ทรงทำบาป เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมีพระนามว่านาค แล.
บทว่า อิสีนํ อิสิสตฺตโม ความว่า เป็นพระฤาษีผู้สูงสุดแห่งพระฤาษี คือสาวกพุทธะและปัจเจกพุทธะ, อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่เป็นฤาษีองค์ที่ ๗ แห่งพระฤาษีทั้งหลาย นับตั้งแต่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า.
บทว่า มหาเมโฆว ได้แก่ เป็นเสมือนมหาเมฆอันตั้งขึ้นในทวีปทั้ง ๔.
บทว่า ทิวา วิหารา แปลว่า จากที่เร้น.
บทว่า สาวโก เต มหาวีร ปาเท วนฺทติ วงฺคีโส นี้ พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะประกาศการบรรลุคุณวิเศษของตน จึงกล่าวไว้.
คาถา ๔ คาถามีคำเริ่มต้นว่า อุมฺมคฺคปถํ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงว่า พระองค์ตรัสถามว่า วังคีสะ คาถาเหล่านี้เธอตรึกมาก่อน หรือว่าปรากฏขึ้นโดยพลันทันใด, พระวังคีสะทูลว่า ปรากฏแจ่มแจ้งขึ้นทันทีทันใด จึงตรัสไว้, ก็เพราะเหตุไรจึงได้ตรัสอย่างนั้น? ได้ยินมาว่า เพราะได้เกิดการสั่งสนทนาขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ว่า พระวังคีสะไม่ได้ร่ำเรียน ไม่กระทำกิจด้วยการอุเทศ ด้วยการสอบถาม และ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 538
ด้วยโยนิโสมนสิการ ไฉนจึงประพันธ์คาถา เที่ยวพรรณนาบทกลอน. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า พวกภิกษุเหล่านี้ไม่รู้ปฏิภาณสมบัติของพระวังคีสะ เราจักให้รู้จักปฏิภาณสมบัติของวังคีสะนี้ จึงตรัสถามโดยนัยมีอาทิว่า วังคีสะ เหตุไรหนอ ดังนี้.
บทว่า อุมฺมคฺคปถํ ได้แก่ ทางเกิดกิเลสมิใช่น้อย. จริงอยู่ ที่เรียกว่า ทาง เพราะเป็นทางที่วัฏฏะประกอบสร้างไว้.
บทว่า ปภิชฺช ขีลานิ ได้แก่ ทำลายตาปูตรึงใจมีราคะเป็นต้น ๕ อย่าง เที่ยวไป.
บทว่า ตํ ปสฺสถ ความว่า ท่านทั้งหลายจงเห็นพระวังคีสะนั้น ผู้รู้แล้ว ผู้ครอบงำและตัดกิเลสแล้วเที่ยวไปอย่างนั้น.
บทว่า พนฺธปมุญฺจกรํ แปลว่า กระทำการปลดเครื่องผูก.
บทว่า อสิตํ แปลว่า ไม่อาศัยแล้ว.
บทว่า ภาคโส ปฏิภชฺช ได้แก่ กระทำการจำแนกธรรมโดยส่วนมีสติปัฏฐานเป็นต้น. บาลีว่า ปวิภชฺช ดังนี้ก็มี, อธิบายว่า จำแนกแสดงธรรมโดยส่วนๆ มีอุเทศเป็นต้น คือโดยประการ.
บทว่า โอฆสฺส ได้แก่ โอฆะ ๔ มีกามโอฆะเป็นต้น.
บทว่า อเนกวิหิตํ ความว่า บอก คือได้กล่าวทางอันนำไปสู่อมตะหลายประการด้วยอำนาจสติปัฏฐานเป็นต้น หรือด้วยอำนาจกรรมฐาน ๓๘ ประการ.
บทว่า ตสฺมึ จ อมเต อกฺขาเต ความว่า เมื่อวังคีสะนั้นบอกทางอมตะ คืออันนำอมตะมาให้นั้น.
บทว่า ธมฺมทสา แปลว่า ผู้เห็นธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 539
บทว่า ิตา อสํหิรา ได้แก่ เป็นผู้อันใครๆ ให้ง่อนแง่นคลอนแคลนไม่ได้ ดำรงอยู่.
บทว่า อติวิชฺฌ แปลว่า รู้แจ้งแล้ว.
บทว่า สพฺพิตีนํ ได้แก่ ซึ่งที่ตั้งแห่งทิฏฐิ หรือที่ตั้งแห่งวิญญาณทั้งปวง.
บทว่า อติกฺกมมทฺทส ได้แก่ ได้เห็นพระนิพพานอันเป็นตัวล่วงพ้น.
บทว่า อคฺคํ ได้แก่ ธรรมอันเลิศ, บาลีว่า อคฺเค ดังนี้ก็มี อธิบายว่า เป็นที่หนึ่งกว่าเขา.
บทว่า ทสทฺธานํ ความว่า แสดงธรรมอันเลิศแห่งพระเบญจวัคคีย์ หรือแสดงก่อนกว่าเขา คือแต่เบื้องต้น.
บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่ผู้รู้ว่า ธรรมนี้ท่านแสดงดี จึงไม่ควรทำความประมาท ฉะนั้น จึงควรสำเหนียกตาม อธิบายว่า พึงศึกษาสิกขา ๓ ตามลำดับวิปัสสนา และตามลำดับมรรค.
คาถา ๓ คาถา มีคำเริ่มต้นว่า พุทฺธานุพุทฺโธ พระวังคีสเถระกล่าวชมเชยท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธานุพุทฺโธ แปลว่า ตรัสรู้ตามพระพุทธะทั้งหลาย. จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้สัจจะ ๔ ก่อน ภายหลังพระเถระตรัสรู้ก่อนกว่าเขาทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าเป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธะทั้งหลาย. ชื่อว่าเถระ เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์เป็นต้นอันมั่น อธิบายว่า เป็นผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 540
บทว่า ติพฺพนิกฺกโม แปลว่า ผู้มีความเพียรมั่นคง.
บทว่า สุขวิหารานํ แปลว่า ผู้มีธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน.
บทว่า วิเวกิานํ ได้แก่ วิเวกทั้ง ๓.
บทว่า สพฺพสฺสตํ ความว่า สิ่งใดอันสาวกทั้งปวงจะพึงบรรลุ สิ่งนั้นอันท่านพระอัญญาโกณฑัญญะนี้บรรลุตามแล้ว.
บทว่า อปฺปมตฺตสฺส สิกฺขโต แปลว่า เป็นผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่.
บทว่า เตวิชฺโช เจโตปริยโกวิโท ความว่า บรรดาอภิญญา ๖ พระอัญญาโกณฑัญญเถระกล่าวแต่อภิญญา ๔ อภิญญา ๒ นอกนี้พระเถระไม่กล่าวไว้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระเถระก็เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ทีเดียว. เพราะเหตุที่ท่านพระวังคีสะเห็นพระเถระผู้มาจากสระฉัททันตะ ในป่าหิมวันต์ แสดงความเคารพอย่างยิ่งในพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วถวายบังคมอยู่ มีใจเลื่อมใส เมื่อจะชมเชยพระเถระเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกล่าวคาถานี้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า พระโกณฑัญญะผู้เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระศาสดา ดังนี้.
คาถา ๓ คาถามีคำเริ่มต้นว่า นคสฺส ปสฺเส ดังนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ประทับอยู่ ณ ประเทศกาลศิลา ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระพิจารณาดูจิตของภิกษุเหล่านั้นอยู่ จึงเห็นวิมุตติ คืออรหัตผล. ท่านพระวังคีสะเห็นดังนั้น เมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระเถระทั้งหลาย จึงได้กล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นคสฺส ปสฺเส ความว่า ที่กาลศิลา ประเทศข้างภูเขาอิสิคิลิ.
บทว่า อาสีนํ แปลว่า นั่งแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 541
บทว่า เจตสา ได้แก่ ด้วยเจโตปริยญาณของตน.
บทว่า จิตฺตํ เนสํ สมเนฺวสํ ได้แก่ แสวงหาจิตของภิกษุขีณาสพเหล่านั้น.
บทว่า อนุปริเยติ แปลว่า ย่อมกำหนดโดยลำดับ.
ผู้สมบูรณ์ด้วยองค์ทั้งปวงอย่างนี้ คือผู้ถึงพร้อม ได้แก่ประกอบด้วยองค์ทั้งปวง คือด้วยสัตถุสมบัติที่กล่าวว่า ผู้เป็นมุนี ผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์และด้วยสาวกสมบัติที่กล่าวว่า มีวิชชา ๓ ผู้ละมัจจุ ดังนี้.
จริงอยู่ ด้วยบทว่า มุนึ นี้ ท่านกล่าวการตรัสรู้ไญยธรรมอย่างสิ้นเชิงของพระศาสดา ด้วยญาณกล่าวคือโมนะ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงสงเคราะห์ทศพลญาณเป็นต้นด้วยอนาวรณญาณ, ท่านแสดงญาณสัมปทาของพระศาสดานั้น ด้วยอนาวรณญาณนั้น.
ด้วยบทว่า ทุกฺขสฺส ปารคุํ นี้ ท่านแสดงปหานสัมปทา และแสดงอานุภาวสัมปทาเป็นต้นของพระศาสดาด้วยบททั้งสองนั้น.
ด้วยบททั้งสองว่า เตวิชฺชา มจฺจุหายิโน นี้ ท่านแสดงสมบัติของสาวกของพระศาสดา โดยแสดงญาณสมบัติของสาวกทั้งหลาย และโดยแสดงการบรรลุนิพพานธาตุของสาวก.
จริงอย่างนั้น เพื่อจะกระทำเนื้อความตามที่กล่าวให้ปรากฏชัด ท่านจึงกล่าวว่า พากันเข้าไปนั่งใกล้พระโคดมผู้เป็นมุนี ผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ผู้ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระอาการเป็นอันมาก ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกาการสมฺปนฺนํ ได้แก่ ทรงถึงพร้อมด้วยพระอาการเป็นอันมาก อธิบายว่า ทรงประกอบด้วยพระคุณ คืออาการมิใช่น้อย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 542
คาถาว่า จนฺโท ยถา ดังนี้เป็นต้น พระเถระได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อันพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ กับพวกเทวดาและนาคหลายพันห้อมล้อมอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณีคัคคราใกล้จัมปานคร ทรงไพโรจน์ด้วยวรรณะและพระยศของพระองค์ เกิดความโสมนัส เมื่อจะสดุดี จึงได้กล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จนฺโท ยถา วิคตวลาหเก นเภ ความว่า ในฤดูใบไม้ร่วง พระจันทร์เพ็ญย่อมไพโรจน์ในอากาศอันปราศจากเมฆฝน คือพ้นจากสิ่งเศร้าหมองอื่น เช่นกับเมฆและน้ำค้างเป็นต้น ฉันใด (และ) เหมือนพระอาทิตย์ปราศจากมลทิน อธิบายว่า ภาณุ คือพระอาทิตย์ที่ปราศจากมลทิน โดยปราศจากสิ่งเศร้าหมองมีเมฆฝนเป็นต้นนั้นนั่นแหละ ย่อมไพโรจน์ ฉันใด.
บทว่า เอวมฺปิ องฺคีรส ตฺวํ ความว่า ข้าแต่พระมหามุนีผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงโชติช่วง ด้วยความโชติช่วงอันเปล่งออกจากพระอวัยวะ แม้พระองค์ก็ฉันนั้น ย่อมรุ่งโรจน์ยิ่ง คือย่อมไพโรจน์ล่วงโลกพร้อมทั้งเทวโลกด้วยพระยศของพระองค์.
คาถา ๑๐ คาถา มีคำว่า กาเวยฺยมตฺตา ดังนี้เป็นต้น พระวังคีสะบรรลุพระอรหัต พิจารณาข้อปฏิบัติของตน เมื่อจะประมาณพระคุณของพระศาสดาและคุณของตน ได้กล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเวยฺยมตฺตา ความว่า เป็นผู้ประมาณได้ คือผู้อันเขานับถือยกย่องทำให้เกิดคุณความดีด้วยกาพย์ คือด้วยการแต่งกาพย์.
บทว่า อทฺทสาม แปลว่า ได้เห็นแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 543
บทว่า อทฺธา (๑) โน อุทปชฺชถ ความว่า ในพระรัตนตรัยเกิดขึ้นเพื่ออุดหนุนแก่พวกข้าพระองค์ตลอดกาลนาน.
บทว่า วจนํ ได้แก่ ธรรมกถาอันประกอบด้วยสัจจะ.
บทว่า ขนฺเธ อายตนานิ จ ธาตุโย จ ได้แก่ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ และธาตุ ๑๘. ในฐานะนี้ พึงกล่าวกถาว่าด้วยขันธ์เป็นต้น กถานั้นท่านให้พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรคนั่นแล เพราะเหตุนั้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นนั่นแล.
บทว่า วิทิตฺวาน ได้แก่ รู้ด้วยญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น โดยการจำแนกรูปเป็นต้น และโดยความไม่เที่ยงเป็นต้น.
บทว่า เย เต สาสนการกา ความว่า พระตถาคตทั้งหลายอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่เหล่าสัตว์เป็นอันมาก ผู้กระทำตามคำสอนของพระตถาคตทั้งหลาย.
บทว่า เย นิยามคตทฺทสา มีโยชนาว่า นิยามคตะ ก็คือนิยามนั่นเอง, ภิกษุและภิกษุณีเหล่าใดได้เห็น คือได้บรรลุสัมมตนิยาม พระมุนีคือพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงบรรลุพระโพธิญาณ คือพระสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุและภิกษุณีเหล่านั้นหนอ.
บทว่า สุเทสิตา ความว่า ทรงแสดงดีแล้ว ทั้งโดยย่อและพิสดาร สมควรแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์.
บทว่า จกฺขุมตา ได้แก่ ผู้มีจักษุด้วยจักษุ ๕. ชื่อว่าอริยสัจ เพราะอรรถว่าเป็นธรรมอันไม่มีข้าศึก อันผู้ใคร่ประโยชน์ตนพึงกระทำ คือ คุณชาตอันกระทำความเป็นพระอริยะ หรือเป็นสัจจะของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นอริยะ.
๑. บาลีว่า สทฺธา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 544
บทว่า ทุกฺขํ เป็นต้น เป็นบทแสดงสรุปอริยสัจเหล่านั้น, ในที่นี้ พึงกล่าวอริยสัจจกถา, อริยสัจจกถานั้น ท่านให้พิสดารโดยประการทั้งปวงในวิสุทธิมรรค เพราะเหตุนั้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นนั่นแล.
บทว่า เอวเมเต ตถา ความว่า อริยสัจธรรมมีทุกข์เป็นต้นนี้ เป็นของจริง คือของแท้ไม่เป็นอย่างอื่น โดยประการอย่างนั้น คือโดยประการที่เป็นทุกข์เป็นต้น.
บทว่า วุตฺตา ทิฏฺา เม เต ยถา ตถา ความว่า พระศาสดาตรัสแล้วโดยประการใด ข้าพระองค์ก็เห็นแล้วโดยประการนั้น เพราะแทงตลอดอริยสัจเหล่านั้นอย่างนั้นด้วยอริยมรรคญาณ. ประโยชน์ของตนข้าพระองค์บรรลุแล้วโดยลำดับ คือข้าพระองค์กระทำให้แจ้งพระอรหัตแล้ว และแต่นั้น ข้าพระองค์ได้กระทำคำสอนของพระพุทธเจ้า คือของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสร็จแล้ว ได้แก่ตั้งอยู่แล้วในพระโอวาทและอนุศาสน์.
บทว่า สฺวาคตํ วต เม อาสิ ความว่า การมาดีหนอ ได้มีแก่ข้าพระองค์แล้ว.
บทว่า มม พุทฺธสฺส สนฺติเก ได้แก่ ในสำนัก คือในที่ใกล้พระสัมพุทธเจ้า คือพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา.
บทว่า อภิญฺาปารมิปฺปตฺโต ได้แก่ ได้บรรลุบารมี คือความสูงสุดแห่งอภิญญาทั้ง ๖. จริงอยู่ เพื่อจะเปิดเผยเนื้อความที่กล่าวไว้นั่นแหละ ด้วยบทนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ชำระโสตธาตุให้หมดจด.
คาถา ๑๒ คาถามีคำเริ่มต้นว่า ปุจฺฉามิ สตฺถารํ ดังนี้ พระวังคีสเถระเมื่อจะทูลว่าอุปัชฌาย์ของตนปรินิพพานแล้ว จึงกล่าวไว้. จริงอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 545
ในเวลาที่ท่านพระนิโครธกัปปเถระปรินิพพาน ท่านพระวังคีสะไม่ได้อยู่พร้อมหน้า. ก็ความรำคาญทางมือเป็นต้นของท่านพระนิโครธกัปปเถระนั้น พระวังคีสะนั้นเคยเห็นแล้ว และก็ด้วยอำนาจแห่งวาสนาที่อบรมไว้ในชาติก่อน ความรำคาญทางมือเป็นต้นเช่นนั้น ย่อมมีแม้แก่พระขีณาสพทั้งหลาย เหมือนอย่างท่านพระปิลินทวัจฉะร้องเรียกด้วยวาทะว่า คนถ่อย ฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระวังคีสะเกิดความปริวิตกขึ้นว่า อุปัชฌาย์ของเราปรินิพพานหรือไม่หนอ. จึงได้ทูลถามพระศาสดา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระวังคีสะเมื่อจะทูลถามว่า พระอุปัชฌาย์ปรินิพพาน (หรือเปล่า) จึงกล่าว (คาถา) ไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺถารํ ได้แก่ ผู้สั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลายด้วยทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์เป็นต้น.
บทว่า อโนมปญฺํ ความว่า ความลามกเล็กน้อย ท่านเรียกว่า โอมะ ต่ำทราม, ผู้มีปัญญาไม่ต่ำทราม ชื่อว่าอโนมปัญญะ อธิบายว่า ผู้มีปัญญามาก.
บทว่า ทิฏฺเว ธมฺเม ได้แก่ เห็นประจักษ์ชัด อธิบายว่า ในอัตภาพนี้ทีเดียว.
บทว่า วิจิกิจฺฉานํ ได้แก่ ผู้ตัดความสงสัย หรือความปริวิตกเห็นปานนั้น.
บทว่า อคฺคาฬเว ได้แก่ ในวิหารกล่าวคืออัคคาฬวเจดีย์.
บทว่า าโต แปลว่า ปรากฏแล้ว.
บทว่า ยุสสฺสี ได้แก่ ผู้สมบูรณ์ด้วยลาภและสักการะ.
บทว่า อภินิพฺพุตตฺโต ได้แก่ ผู้มีสภาพสงบระงับ คือมีจิตไม่เร่าร้อน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 546
บทว่า ตยา กตํ ได้แก่ ผู้มีนามอันท่านตั้งว่า นิโครธกัปปะ เพราะเป็นผู้นั่งอยู่โคนต้นนิโครธอันพร้อมด้วยร่มเงาเช่นนั้น. ดังนั้น ท่านจึงกล่าวเอาโดยประการที่ตนกำหนดไว้. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกท่านอย่างนั้น เพราะเป็นผู้นั่งเท่านั้นหามิได้ โดยที่แท้ตรัสเรียก แม้เพราะท่านบรรลุพระอรหัตที่โคนต้นนิโครธนั้น.
ด้วยบทว่า พฺราหฺมณสฺส นี้ พระเถระกล่าวหมายชาติกำเนิด. ได้ยินว่า ท่านพระนิโครธกัปปเถระออกบวชจากตระกูลพราหมณ์มหาศาล.
บทว่า นมสฺสํ อจรึ แปลว่า นมัสการอยู่.
บทว่า มุตฺยเปโข ได้แก่ ผู้ดำรงอยู่แล้วในพระนิพพาน.
พระวังคีสะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ทฬฺหธมฺมทสฺสี ผู้ทรงเห็นธรรมอันมั่นคง. จริงอยู่ พระนิพพาน ชื่อว่าธรรมอันมั่นคง เพราะอรรถว่าไม่แตกทำลาย และพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นและทรงแสดงพระนิพพานนั้น.
เรียกพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแหละ โดยพระนามทางพระโคตรว่า พระศากยะ ดังนี้บ้าง.
ด้วยบทว่า มยมฺปิ สพฺเพ นี้ พระเถระกล่าวแสดงตนรวมทั้งบริษัททั้งหมด.
เรียกพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแหละว่า สมันตจักขุ ผู้มีพระจักษุรอบคอบ ดังนี้บ้าง ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ.
บทว่า สมวฏฺิตา แปลว่า ตั้งลงโดยชอบ คือทำความคำนึงตั้งอยู่แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 547
บทว่า โน แปลว่า ของข้าพระองค์ทั้งหลาย.
บทว่า สวนาย ได้แก่ เพื่อต้องการฟังการพยากรณ์ปัญหานี้.
บทว่า โสตา ได้แก่ โสตธาตุ.
คำว่า ตุวํ โน สตฺถา ตฺวมนุตฺตโร นี้ พระเถระกล่าวด้วยอำนาจคำสดุดี.
คำว่า ฉินฺท โน วิจิกิจฺฉํ นี้ พระเถระกล่าวหมายเอาความปริวิตกนั้นอันเป็นตัววิจิกิจฉาเทียม. ก็พระเถระเป็นผู้ไม่มีวิจิกิจฉาด้วยวิจิกิจฉาอันเป็นอกุศล.
บทว่า พฺรูหิ เมตํ ความว่า ขอพระองค์จงตรัสบอกพระนิโครธกัปปเถระนั่น. ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญามาก ขอพระองค์จงประกาศพราหมณ์ที่ข้าพระองค์อ้อนวอนพระองค์เหมือนอย่างเทวดาอ้อนวอนท้าวสักกะว่า ข้าแต่ท้าวสักกะ แม้ข้าพระองค์ทั้งหมดปรารถนาจะรู้พระสาวกนั้นว่าปรินิพพานแล้ว.
บทว่า มชฺเฌว โน ภาส ความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปัญญามาก พระองค์ทรงรู้ว่าปรินิพพานแล้ว จงตรัสบอกแก่มวลข้าพระองค์ในท่ามกลางทีเดียว โดยประการที่ข้าพระองค์ทั้งปวงจะพึงทราบ.
ก็คำว่า สกฺโกว เทวาน สหสฺสเนตฺโต นี้ เป็นคำกล่าวสดุดีเท่านั้น, อีกอย่างหนึ่ง ในข้อนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- ท้าวสักกะสหัสสนัยน์ ย่อมตรัสพระดำรัสที่เทพเหล่านั้นรับเอาโดยเคารพ ในท่ามกลางเทพทั้งหลาย ฉันใด ขอพระองค์โปรดตรัสพระดำรัสที่ข้าพระองค์ทั้งหลายรับเอา ในท่ามกลางข้าพระองค์ทั้งหลาย ฉันนั้น.
คาถาแม้นี้ว่า เย เกจิ เป็นต้น พระเถระเมื่อจะสดุดีพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงกราบทูลเพื่อให้เกิดความประสงค์เพื่อจะตรัส.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 548
ความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีอภิชฌาเป็นต้น เมื่อยังไม่ละกิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่านั้น ท่านเรียกว่า โมหมัคคะ ทางแห่งความหลงบ้าง เรียกว่า อัญญาณปักขะ ฝ่ายแห่งความไม่รู้บ้าง เรียกว่า วิจิกิจฉฐาน ที่ตั้งวิจิกิจฉาบ้าง เพราะละโมหะและวิจิกิจฉาทั้งหลาย (ไม่ได้) กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหมดนั้น พอถึงพระตถาคตเข้าถูกกำจัดด้วยเทศนาพละของพระตถาคต ย่อมไม่มี คือย่อมพินาศไป. ถามว่า เพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะจักษุของพระตถาคตนี้ เป็นจักษุชั้นยอดเยี่ยมของนรชน ท่านอธิบายว่า เพราะพระตถาคตเป็นบรมจักษุของเหล่านรชน เพราะทำให้เกิดปัญญาจักษุด้วยการกำจัดกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง.
พระเถระสดุดีอยู่นั่นแหละ เมื่อจะทำให้เกิดความประสงค์เพื่อจะตรัส จึงกล่าวคาถาแม้นี้ว่า โน เจ หิ ชาตุ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาตุ เป็นคำกล่าวโดยส่วนเดียว.
ด้วยบทว่า ปุริโส พระเถระกล่าวหมายเอาพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า โชติมนฺโต ได้แก่ พระสารีบุตรเป็นต้นผู้สมบูรณ์ด้วยความโชติช่วงแห่งปัญญา ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า หากพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงฆ่ากิเลสทั้งหลายด้วยกำลังแห่งเทศนา เหมือนลมต่างด้วยลมทิศตะวันออกเป็นต้นทำลายกลุ่มหมอกฉะนั้น แต่นั้น โลกที่ถูกกลุ่มหมอกหุ้มห่อ ย่อมเป็นโลกมืดมนอนธการไปหมด ฉันใด ชาวโลกแม้ทั้งปวงก็ฉันนั้น ถูกความไม่รู้หุ้มห่อ ก็จะพึงเป็นชาวโลกผู้มืดมน. ก็บัดนี้ พระเถระมีพระสารีบุตรเป็นต้นซึ่งปรากฏโชติช่วงอยู่แม้นั้น ไม่พึงกล่าว คือไม่พึงแสดง.
คาถาว่า ธีรา จ แม้นี้ พระเถระกล่าวโดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 549
ความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ก็นักปราชญ์ทั้งหลาย คือบุรุษผู้เป็นบัณฑิต เป็นผู้กระทำความโชติช่วง คือทำความโชติช่วงแห่งปัญญาให้เกิดขึ้น. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แกล้วกล้า คือผู้ทรงประกอบด้วยปธานความเพียร เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงเข้าใจอย่างนั้นแหละ คือย่อมเข้าใจว่านักปราชญ์เป็นผู้กระทำความสว่างโชติช่วง, แม้ข้าพระองค์ทั้งหลายก็รู้อยู่แท้ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เห็นแจ้ง คือผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตามความเป็นจริง. เพราะฉะนั้น ขอพระองค์โปรดทรงกระทำให้แจ้งซึ่งท่านพระกัปปะแก่พวกข้าพระองค์ในท่ามกลางบริษัท คือโปรดกระทำให้แจ้ง คือโปรดทรงประกาศพระนิโครธกัปปะ ดุจปรินิพพานแล้วฉะนั้น.
คาถาว่า ขิปฺปํ แม้นี้ พระเถระกล่าวโดยนัยอันมีในก่อนนั่นแหละ.
เนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า :- พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งพระวาจาได้เร็ว ไพเราะ คือทรงเปล่งไม่ช้า เปล่งพระวาจาได้ไพเราะจับใจ. เหมือนหงส์ คือหงส์ทองเมื่อหาเหยื่อ ได้เห็นชัฏป่าใกล้ชาตสระ จึงชูคอกระพือปีก ร่าเริงดีใจ ค่อยๆ คือไม่รีบด่วน ส่งเสียง คือเปล่งเสียงไพเราะ ฉันใด พระองค์ก็เหมือนอย่างนั้น ขอจงค่อยๆ ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันกลมกล่อม อันเป็นพระมหาปุริสลักษณะอย่างหนึ่ง ซึ่งพระบุญญาธิการได้ปรุงแต่งมาดีแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหมดนี้ตั้งใจ คือมีใจไม่ฟุ้งซ่าน จะฟังพระดำรัสของพระองค์.
แม้คำว่า ปหีนชาติมรณํ นี้ พระเถระได้กล่าวแล้วโดยนัยก่อนเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 550
ในคำนั้น ที่ชื่อว่าอเสสะ เพราะไม่เหลือ, ชาติและมรณะที่ละได้แล้วนั้น ไม่มีเหลือ อธิบายว่า ชาติและมรณะที่ละได้แล้ว ไม่เหลืออะไรๆ เหมือนพระโสดาบันเป็นต้น.
บทว่า นิคฺคยฺห ได้แก่ ตระเตรียม.
บทว่า โธนํ ได้แก่ กำจัดบาปทั้งปวงได้แล้ว.
บทว่า วเทสฺสามิ ความว่า ข้าพระองค์จักขอให้ตรัสธรรม.
บทว่า น กามกาโร โหติ ปุถุชฺชนานํ ความว่า บุคคลผู้กระทำตามความประสงค์ของบุคคล ๓ จำพวก มีปุถุชนและพระเสขะเป็นต้น ย่อมไม่มี คนทั้ง ๓ พวกนั้นย่อมไม่อาจรู้หรือกล่าวธรรมตามที่ตนต้องการได้.
บทว่า สงฺเขยฺยกาโร จ ตถาคตานํ ความว่า ส่วนพระตถาคตทั้งหลาย มีการกระทำด้วยการพิจารณา คือมีการกระทำอันมีปัญญาเป็นหัวหน้า อธิบายว่า พระตถาคตทั้งหลายนั้น ย่อมสามารถแท้ที่จะรู้หรือกล่าวธรรมที่ตนต้องการได้.
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะประกาศการกระทำด้วยการพิจารณานั้น จึงกล่าวคาถาว่า สนฺปนฺนเวยฺยากรณํ ดังนี้เป็นต้น.
ความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริงอย่างนั้น พระดำรัสนี้ พระองค์ผู้มีพระปัญญาตรงจริง คือมีพระปัญญาอันดำเนินไปตรง เพราะไม่กระทบกระทั่งในที่ทุกสถาน พระองค์ตรัสไว้คือประกาศไว้ชอบแล้ว เป็นพระดำรัสมีไวยากรณ์สมบูรณ์ ยึดถือได้ คือยึดถือได้โดยถูกต้อง เห็นได้อย่างไม่วิปริตผิดแผก มีอาทิอย่างนี้ว่า สันตติมหาอำมาตย์เหาะขึ้นประมาณ ๗ ชั่วลำตาลแล้วจักปรินิพพาน, สุปป-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 551
พุทธศากยะ จักถูกแผ่นดินสูบในวันที่ ๗, พระเถระประนมอัญชลีอันงดงามแล้วจึงกราบทูลอีก.
บทว่า อยมญฺชลิ ปจฺฉิโม สุปฺปณามิโต ความว่า อัญชลีนี้แม้จะเป็นอัญชลีครั้งหลัง ก็นอบน้อมอย่างดีทีเดียว.
บทว่า มา โมหยี ชานํ ความว่า พระองค์เมื่อทรงทราบคติของท่านพระกัปปะนั้น โปรดอย่าทรงลืม เพราะยังไม่ตรัสแก่ข้าพระองค์. พระเถระเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อโนมปญฺ ผู้มีพระปัญญาไม่ต่ำทราม.
ก็คาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า ปโรปรํ ดังนี้ พระเถระเมื่อจะทูลอ้อนวอนมิให้ทรงลืมโดยปริยายแม้อื่นอีก จึงกล่าวไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปโรปรํ ความว่า ดีและไม่ดี คือไกลหรือใกล้ ด้วยอำนาจโลกิยะและโลกุตระ.
บทว่า อริยธมฺมํ ได้แก่ สัจธรรมทั้ง ๔. บทว่า วิทิตฺวา แปลว่า รู้แจ้งแล้ว.
บทว่า ชานํ ได้แก่ ทรงทราบไญยธรรมทั้งปวง.
บทว่า วาจาภิกงฺขามิ ความว่า ข้าพระองค์หวังได้พระวาจาของพระองค์ เหมือนในฤดูร้อน คนมีร่างกายร้อนลำบากอยากได้น้ำ ฉะนั้น.
บทว่า สุตํ ปวสฺส ความว่า ขอพระองค์โปรดโปรยปราย คือหลั่งโปรย ประกาศสัททายตนะ กล่าวคือ เสียงที่ข้าพระองค์ได้ฟังแล้ว. บาลีว่า สุตสฺส วสฺส ดังนี้ก็มี อธิบายว่า จงโปรยฝนแห่งสัททายตนะมีประการดังกล่าวแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 552
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะประกาศวาจาเช่นที่ตนจำนงหวัง จึงกล่าวคาถาว่า ยทตฺถิกํ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กปฺปายโน พระเถระกล่าวถึงท่านพระกัปปะนั่นแหละ ด้วยอำนาจความเคารพบูชา.
บทว่า ยถา วิมุตฺโต ความว่า พระเถระทูลถามว่า ท่านพระกัปปะนิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหมือนพระอเสขะ หรือว่าด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหมือนพระเสขะ. คำที่เหลือในที่นี้ปรากฏชัดแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพระวังคีสเถระ ทูลอ้อนวอนด้วยคาถา ๑๒ คาถาอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงพยากรณ์ท่านพระนิโครธกัปปเถระ จึงได้ตรัสคาถามีอาทิว่า อจฺเฉจฺฉิ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺเฉจฺฉิ ตณฺหํ อิธ นามรูเป ตณฺหาย โสตํ ทีฆรตฺตานุสยิตํ ความว่า ตัณหาต่างด้วยกามตัณหาเป็นต้น ในนามรูปนี้อันนอนเนื่องอยู่นาน เพราะอรรถว่า ยังละไม่ได้ ท่านเรียกว่า กระแสแห่งมารผู้มีชื่อว่า กัณหะ ดังนี้บ้าง, ท่านพระกัปปายนะได้ตัดตัณหาในนามรูปนี้อันนอนเนื่องอยู่ ซึ่งเป็นกระแสแห่งมารชื่อว่า กัณหะ นั้นแล้ว.
ก็คำว่า อิติ ภควา นี้ เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย.
ด้วยบทว่า อตาริ ชาตึ มรณํ อเสสํ นี้ ท่านแสดงว่า พระนิโครธกัปปะนั้นตัดตัณหานั้นได้แล้ว ข้ามชาติและมรณะได้สิ้นเชิง คือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐด้วยพระจักษุ ๕ ได้ตรัสเท่านี้ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 553
ผู้ประเสริฐด้วยอินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น หรือด้วยพระจักษุทั้งหลายอันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น ถูกท่านพระวังคีสะทูลถาม จึงได้ตรัสอย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปญฺจเสฏฺโ ได้แก่ ผู้ประเสริฐคือสูงสุด ล้ำเลิศด้วยธรรมขันธ์ ๕ มีศีลขันธ์เป็นต้น หรือด้วยเหตุสัมปทาเป็นต้น ๕ ดังนั้น แม้คำนี้ก็เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์.
เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระวังคีสะมีใจชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกล่าวคาถาว่า เอส สุตฺวา ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น มํ วญฺเจสิ ในคาถาแรก มีความว่า เพราะเหตุที่ท่านพระนิโครธกัปปะปรินิพพานแล้ว ฉะนั้น พระองค์จะไม่ลวงข้าพระองค์ผู้ปรารถนาว่า ท่านพระนิโครธกัปปะนั้นปรินิพพานแล้ว อธิบายว่า ไม่ตรัสให้เคลื่อนคลาด. ความที่เหลือปรากฏชัดแล้ว.
ในคาถาที่ ๒ เพราะเหตุที่ท่านพระนิโครธกัปปะมุ่งความหลุดพ้นอยู่ เพราะฉะนั้น พระวังคีสะหมายเอาพระนิโครธกัปปะนั้น จึงทูลว่า สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีปกติกล่าวอย่างใดทำอย่างนั้น.
บทว่า มจฺจุโน ชาลํ ตตํ ได้แก่ ข่ายคือตัณหาของมารอันแผ่ไปในวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓.
บทว่า มายาวิโน แปลว่า ผู้มีมายามาก. บางอาจารย์กล่าวว่า ตถา มายาวิโน ดังนี้ก็มี. อาจารย์บางพวกนั้นอธิบายว่า มารผู้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าหลายครั้ง ด้วยมายาหลายประการนั้น มีมายาอย่างนั้น.
ในคาถาที่ ๓ บทว่า อาทึ ได้แก่ มูลเหตุ. บทว่า อุปาทานสฺส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 554
ได้แก่ แห่งวัฏฏะ. วัฏฏะท่านเรียกว่า อุปาทาน เพราะอรรถว่าอันกรรมกิเลสทั้งหลายที่รุนแรงยึดมั่น.
ท่านพระนิโครธกัปปเถระได้เห็นเบื้องต้นแห่งอุปาทานนั้น ได้แก่เหตุอันต่างด้วยอวิชชาและตัณหาเป็นต้น ด้วยญาณจักษุ.
พระเถระกล่าวโดยประสงค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ควรตรัสอย่างนี้ว่า พระกัปปะผู้กัปปิยโคตร.
บทว่า อจฺจคา วต แปลว่า ล่วงไปแล้วหนอ.
บทว่า มจฺจุเธยฺยํ ความว่า ชื่อว่า บ่วงมัจจุราช เพราะเป็นที่ที่มัจจุราชดักไว้ ได้แก่ วัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓. พระเถระเกิดความปลื้มใจ จึงกล่าวว่า ท่านนิโครธกัปปะได้ล่วงพ้นบ่วงมัจจุราชที่ข้ามได้แสนยากไปแล้วหนอ.
บัดนี้ พระวังคีสะมีใจเลื่อมใสในพระศาสดาและในอุปัชฌาย์ของตน เมื่อจะประกาศอาการที่เลื่อมใส จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า ตํ เทวเทวํ ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ เทวเทวํ วนฺทามิ ความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เลิศกว่าสัตว์ ๒ เท้า ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระองค์ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เพราะเป็นเทพดาผู้สูงสุดกว่าเทพแม้ทั้งหมดเหล่านั้น คือสมมติเทพ อุปปัตติเทพ วิสุทธิเทพ. จะถวายบังคมเฉพาะพระองค์อย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ โดยที่แท้ ข้าพระองค์ขอไหว้พระนิโครธกัปปะด้วย ผู้ชื่อว่าอนุชาตบุตร เพระเกิดแต่ธรรมอันสมควรแก่การตรัสรู้สัจจะของพระองค์ ชื่อว่า ผู้แกล้วกล้ามาก เพราะมีความเพียรมากโดยได้ชนะมาร ชื่อว่า ผู้ประเสริฐ เพราะอรรถว่าไม่ทำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 555
ชั่วเป็นต้น ชื่อว่า ผู้เป็นโอรสคือบุตร เพราะมีชาติอันความพยายามให้เกิดแล้วที่พระอุระของพระองค์.
พระมหาเถระ ๒๖๔ องค์เหล่านั้นมีพระสุภูติเป็นองค์แรก มีพระวังคีสะเป็นองค์สุดท้าย ท่านยกขึ้นไว้ในพระบาลี ณ ที่นี้ด้วยประการฉะนี้ พระมหาเถระเหล่านั้นเป็นอย่างเดียวกัน โดยความเป็นพระอเสขะ โดยเป็นผู้ถอดกลอนแล้ว โดยเป็นผู้มีความเห็นเข้ากันได้ โดยเป็นผู้ถอนเสาระเนียดขึ้นแล้ว โดยเป็นผู้ปลอดอุปสรรค โดยเป็นผู้มีทางไกลอันถึงแล้ว โดยเป็นผู้ปลงภาระแล้ว โดยเป็นผู้พรากได้แล้ว และโดยเป็นผู้มีธรรมเครื่องอยู่อันอยู่แล้วในอริยวาส ๑๐ ประการ เหมือนเป็นอย่างเดียวกัน โดยความเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
จริงอย่างนั้น พระมหาเถระเหล่านั้น ละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๖ มีธรรมเครื่องอารักขา ๑ มีธรรมเครื่องอิงอาศัย ๔ มีสัจจะเฉพาะอย่างบรรเทาแล้ว มีการแสวงหา ๖๐ ประการ อันเป็นไปร่วมกัน มีความดำริไม่ขุ่นมัว มีกายสังขารสงบระงับ มีจิตพ้นดีแล้ว และมีปัญญาพ้นดีแล้ว. ท่านเป็นอย่างเดียวกัน โดยนัยมีอาทิดังพรรณนามา ฉะนี้.
ท่านเป็น ๒ อย่าง คืออุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ กับไม่อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ.
ในข้อที่ว่าเป็น ๒ อย่างนั้น พระปัญจวัคคีย์เถระมีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นประธาน พระยสเถระ สหายของท่าน ๔ คน คือวิมละ สุพาหุ ปุณณชิ ควัมปติ สหายของท่านแม้อื่นอีก ๕๕ คน ภัททวัคคีย์ ๓๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 556
ปุราณชฎิล ๑,๐๐๐ มีพระอุรุเวลกัสสปเป็นประธาน, พระอัครสาวก ๒ ปริพาชกผู้เป็นบริวารของท่าน ๒๕๐, โจรองคุลิมาลเถระ รวมทั้งหมด ๑,๓๕๐. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระเถระอื่นๆ อีกเหล่านี้ จำนวน ๑,๓๕๐ (๑) เป็นผู้มีปัญญามาก ทั้งหมดเป็นเอหิภิกษุ.
มิใช่พระเถระเหล่านี้เท่านั้น โดยที่แท้พระเถระแม้เหล่าอื่นก็มีอยู่มาก. คือเสลพราหมณ์, พราหมณ์ ๓๐๐ ผู้เป็นศิษย์ของเสลพราหมณ์, ท่านมหากัปปินะ บุรุษ ๑,๐๐๐ ผู้เป็นบริวารของท่าน, บุรุษชาวเมืองกบิลพัสดุ์ ๑๐,๐๐๐ คน ที่พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงส่งไป, มาณพ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นต้น ผู้เป็นศิษย์ของมหาพาวรีย์พราหมณ์ มีประมาณ ๑,๐๐๐.
พระเถระอื่นจากที่กล่าวแล้วอย่างนี้ไม่ได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ แต่ท่านได้รับการอุปสมบทด้วยสรณคมน์ ๑ อุปสมบทด้วยรับการโอวาท ๑ อุปสมบทด้วยพยากรณ์ปัญหา ๑ อุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม ๑.
จริงอยู่ พระเถระทั้งหลายข้างต้นเข้าถึงความเป็นเอหิภิกขุ, แม้การอุปสมบทด้วยสรณคมน์ ๓ นั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงอนุญาตแก่พระเถระเหล่านั้น เหมือนทรงอนุญาตการบรรพชาฉะนั้น นี้เป็นการอุปสมบทด้วยสรณคมน์. ก็การอุปสมบทที่ทรงอนุญาตแก่พระมหากัสสปเถระ โดยการรับโอวาทนี้ว่า กัสสป เพราะเหตุนั้นแหละ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเข้าไปตั้งหิริโอตตัปปะอย่างแรงกล้าไว้ในพระเถระ ผู้ใหม่และปานกลาง, กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้แหละ. กัสสป เพราะเหตุนั้นแหละ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักฟังธรรม
๑. นับตามอรรถกถาได้ ๑,๓๔๘ ถ้ารวมหัวหน้าชฎิลทั้งสามจะได้ ๑,๓๕๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 557
อย่างใดอย่างหนึ่งอันประกอบด้วยกุศล จักกระทำธรรมทั้งหมดนั้นให้มีประโยชน์ กระทำไว้ในใจ ประมวลไว้ด้วยใจทั้งหมด จักเงี่ยหูฟังธรรม กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้แหละ. กัสสป เพราะเหตุนั้นแหละ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักไม่ละสติอันไปในกาย อันไปพร้อมกับความยินดี กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้แหละ นี้ชื่อว่าอุปสมบทโดยการรับโอวาท. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อเสด็จจงกรมอยู่ที่บุพพาราม ตรัสถามปัญหาอิงอสุภ โดยนัยมีอาทิว่า โสปากะ ธรรมเหล่านี้ที่ว่า อุทธุมาตกสัญญา หรือรูปสัญญา มีอรรถต่างกัน มีพยัญชนะต่างกัน หรือว่ามีอรรถอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน ดังนี้ โสปากสามเณรมีอายุ ๗ ขวบ ผู้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลแก้ปัญหาโดยนัยมีอาทิว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ธรรมเหล่านี้ที่ว่า อุทธุมาตกสัญญา หรือรูปสัญญา มีอรรถอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน ดังนี้ ทรงมีพระทัยโปรดปรานว่า โสปากะนี้ เทียมกับพระสัพพัญญุตญาณแล้วแก้ปัญหานี้ จึงทรงอนุญาตการอุปสมบท นี้ชื่อว่าการอุปสมบทโดยพยากรณ์ปัญหา. การอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม ปรากฏชัดแล้ว.
แม้โดยประเภทอุปสมบทต่อหน้าและลับหลัง ก็มี ๒ อย่าง เหมือนอุปสมบทมี ๒ อย่าง คืออุปสมบทโดยเป็นเอหิภิกขุ กับไม่อุปสมบทโดยเป็นเอหิภิกขุ. จริงอยู่ พระสาวกทั้งหลายผู้เกิดในอริยชาติในเวลาที่พระศาสดาทรงพระชนม์อยู่ มีพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นต้น ชื่อว่าพระสาวกต่อพระพักตร์. ส่วนพระสาวกใดผู้บรรลุคุณวิเศษภายหลังพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน พระสาวกนั้น แม้เมื่อพระสรีระ คือธรรมของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 558
พระศาสดามีประจักษ์อยู่ ก็ชื่อว่า พระสาวกลับหลัง เพราะพระสรีระร่างของพระศาสดาไม่ประจักษ์แล้ว.
อนึ่ง พึงทราบพระสาวก ๒ พวก คือเป็นอุภโตภาควิมุตต์ ๑ เป็นปัญญาวิมุตต์ ๑ แต่พระสาวกที่มาในพระบาลี ในที่นี้ พึงทราบว่า เป็นอุภโตภาควิมุตต์เท่านั้น, สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งแล้ว.
โดยประเภทพระสาวกที่มีอปทาน และไม่มีอปทานก็เหมือนกัน ก็พระสาวกเหล่าใดมีอปทาน กล่าวคือสาวกบารมีที่เป็นไปด้วยบุญกิริยาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพุทธสาวกแต่ปางก่อน พระสาวกเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีอปทาน เหมือนพระเถระทั้งหลายผู้มาในบาลีอปทาน ส่วนพระเถระเหล่าใดไม่มีอปทาน พระเถระเหล่านั้นชื่อว่าไม่มีอปทาน.
ถามว่า ก็เว้นจากความถึงพร้อมแห่งเหตุในชาติก่อนเสียทั้งหมด การตรัสรู้สัจจะจะมีได้ไหม? ตอบว่า มีไม่ได้. เพราะการบรรลุอริยมรรคย่อมไม่มีแก่ผู้เว้นจากอุปนิสัยสมบัติ เพราะการบรรลุอริยมรรคนั้นมีสภาพกระทำยากและเกิดมีได้ยากมาก.
สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สิ่งไหนหนอแล ทำได้ยากกว่าหรือเกิดมีได้ยากกว่า ดังนี้เป็นต้น. ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร จึงกล่าวว่า ก็พระเถระผู้ไม่มีอปทานนั้น ชื่อว่าไม่มีอปทานเรื่องราว. คำนี้แหละไม่พึงเห็นว่า พระเถระเหล่าใดเว้นจากอุปนิสัยสมบัติเสียโดยประการทั้งปวง พระเถระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 559
เหล่านั้นไม่มีอปทานเรื่องราว ดังนี้ เพราะพระเถระเช่นนั้นไม่ประสงค์เอาในที่นี้.
ส่วนพระเถระเหล่าใดไม่มีเรื่องราวที่เด่นจริง พระเถระเหล่านั้นท่านกล่าวไว้ในที่นี้ว่า ไม่มีอปทานคือเรื่องราว, พระเถระที่เว้นจากอุปนิสัยเสียทั้งหมดก็เหมือนกัน ท่านไม่กล่าวว่า ไม่มีอปทาน. จริงอย่างนั้น ในพุทธุปบาทกาล สัตว์เหล่านี้เมื่อเห็นอานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันแพร่ไปด้วยความสง่าผ่าเผยแห่งพระคุณอันเป็นอจินไตยน่าอัศจรรย์ ย่อมกลับได้ความศรัทธาในพระศาสดา เพราะทรงเป็นผู้นำความเลื่อมใสมาแม้โดยประการทั้งปวง แก่ชาวโลกผู้ถือประมาณ ๔ จำพวก. อนึ่ง ย่อมได้เฉพาะศรัทธาในพระสัทธรรม ด้วยการได้ฟังพระสัทธรรม ด้วยการได้เห็นความปฏิบัติชอบของพระสาวกทั้งหลาย ด้วยการได้เห็นอภินิหารอันวิจิตรแห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระมหาโพธิสัตว์ในกาลบางครั้งบางคราว และด้วยได้รับโอวาทและอนุศาสน์ในสำนักของพระมหาโพธิสัตว์เหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นได้เฉพาะศรัทธาในการฟังพระสัทธรรมเป็นต้นนั้น ถ้าแม้เห็นโทษในสงสาร และอานิสงส์ในพระนิพพาน แต่เพราะยังมีกิเลสธุลีในดวงตามาก จึงยังไม่บรรลุธรรมอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ ย่อมปลูกพืชคือกุศลอันเป็นนิสัยแก่วัฏฏะลงไว้ในสันดานของตนๆ ในระหว่างๆ เพราะการคบหาสัปบุรุษเป็นสิ่งมีอุปการะมาก ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ผิว่าเราพลาดศาสดาของพระโลกนาถพระองค์นี้ไซร้ ในอนาตกาล เราจักได้อยู่พร้อมหน้าพระโพธิสัตว์องค์นี้ มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำพลาดจากท่าตรงหน้า ก็
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 560
ยึดท่าข้างใต้ไว้ ย่อมข้ามแม่น้ำใหญ่ได้ฉันใด เราทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าพ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้ไป ในอนาคตกาลจักได้อยู่พร้อมหน้าพระโพธิสัตว์นี้.
ใครๆ ไม่อาจกล่าวได้ว่า กุศลจิตที่บุคคลให้เกิดขึ้นเฉพาะเจาะจงพระนิพพานอย่างนี้ ย่อมไม่เป็นอุปนิสัยแก่การบรรลุวิโมกข์ ในระหว่างกาลสื่อสงไขยแสนกัป. จะป่วยกล่าวไปไยถึงกุศลจิตที่ดำเนินไป เพราะทำบุญญาธิการด้วยอำนาจความปรารถนา. พระสาวกเหล่านั้นแม้มี ๒ อย่างด้วยประการอย่างนี้.
พระสาวกมี ๓ อย่าง คืออัครสาวก มหาสาวก ปกติสาวก.
บรรดาพระสาวก ๓ พวกนั้น พระสาวกเหล่านี้ คือท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ พระอัสสชิ พระนาลกะ พระยสะ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระมหากัจจายนะ พระมหาโกฏฐิตะ พระมหากัปปินะ พระมหาจุนทะ พระอนุรุทธะ พระกังขาเรวตะ พระอานันทะ พระนันทกะ พระภคุ พระนันทะ พระกิมพิละ พระภัททิยะ พระราหุล พระสีวลี พระอุบาลี พระทัพพะ พระอุปเสนะ พระขทิรวนิยเรวตะ พระปุณณมันตานีบุตร พระปุณณสุนาปรันตะ พระโสณกุฏิกัณณะ พระโสณโกฬิวิสะ พระราธะ พระสุภูติ พระองคุลิมาล พระวักกลิ พระกาฬุทายี พระมหาอุทายี พระปิลินทวัจฉะ พระโสภิตะ พระกุมารกัสสปะ พระรัฏฐปาละ พระวังคีสะ พระสภิยะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 561
พระเสละ พระอุปวานะ พระเมฆิยะ พระสาคตะ พระนาคิตะ พระลกุณฏกภัททิยะ พระปิณโฑลภารทวาชะ พระมหาปันถกะ พระจูฬปันถกะ พระพากุละ พระกุณฑธานะ พระทารุจีริยะ พระยโสชะ พระอชิตะ พระติสสเมตเตยยะ พระปุณณกะ พระเมตตคู พระโธตกะ พระอุปสิวะ พระนันทะ พระเหมกะ พระโตเทยยะ พระกัปปะ พระชตุกัณณิ พระภัทราวุธะ พระอุทยะ พระโปสาละ พระโมฆราชะ พระปิงคิยะ ชื่อว่าเป็นพระอสีติมหาสาวก.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระเถระเหล่านั้นเท่านั้น จึงเรียกว่า มหาสาวก? ตอบว่า เพราะเป็นผู้มีอภินิหารมาก จริงอย่างนั้น แม้พระอัครสาวกทั้งสองก็จัดเข้าในพระมหาสาวกทั้งหลาย ด้วยว่าพระอัครสาวกเหล่านั้น แม้ดำรงอยู่ในตำแหน่งอันเลิศ เพราะบรรลุธรรมอันเลิศในพระสาวกทั้งหลาย โดยถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ ก็เรียกว่ามหาสาวกดังนี้บ้าง เพราะความเสมอกันโดยความเป็นผู้มีอภินิหารมาก. ส่วนพระมหาสาวกอื่นๆ เป็นผู้มีอภินิหารมากยิ่งกว่าปกติสาวกทั้งหลาย. จริงอย่างนั้น ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระอัครสาวกทั้งสองนั้นได้กระทำความปรารถนาไว้ เพราะเหตุนั้นแล จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญในอภิญญาและสมาบัติอย่างดียิ่ง กับทั้งเป็นผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา.
พระอรหันต์แม้ทั้งปวง ทำศีลวิสุทธิเป็นต้นให้สมบูรณ์ มีจิตตั้งลงเฉพาะในสติปัฏฐาน ๔ เจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริง ทำกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไปอย่างสิ้นเชิงตามลำดับมรรค ย่อมดำรงอยู่ในอรหัตผลโดยแท้ แม้ถึงอย่างนั้น พระอรหันต์เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นพระมหาสาวก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 562
เพราะเป็นสาวกผู้ใหญ่ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น เพราะเป็นผู้สำเร็จด้วยคุณวิเศษอันดียิ่งในสันดานของตน โดยความเป็นใหญ่ด้วยอภินิหาร และเป็นผู้ใหญ่ด้วยบุรพประโยค เหมือนภาวนาพิเศษอันเป็นส่วนเบื้องต้นของท่าน ผู้เป็นทิฏฐิปัตตะเป็นคุณวิเศษที่ปรารถนาได้แน่ เพราะเป็นผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา และของผู้เป็นอุภโตภาควิมุตต์ ก็เป็นคุณวิเศษที่ปรารถนาได้แน่ เพราะเป็นผู้หลุดพ้นด้วยปัญญาฉะนั้น.
กับบรรดาพระมหาสาวกเหล่านั้นแหละ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ดำรงอยู่ในความเลิศด้วยคุณทั้งปวงพร้อมด้วยความวิเศษ เพื่อบรรลุบารมีอันอุกฤษฎ์ในปัญญาและสมาธิตามลำดับ ด้วยการปฏิบัติชอบอันตั้งมั่นแล้ว ตลอดกาลนานหาระหว่างมิได้ โดยความเคารพ อันนำมาเฉพาะอภินิหารอันเกิดแต่เหตุนั้น อันเป็นเหตุแห่งความสำเร็จในกิจอื่นอันดียิ่ง ของสัมมาทิฏฐิและสัมมาสมาธิอันเป็นตัวธุระ โดยเป็นประธานในโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย แม้เมื่อความเป็นมหาสาวกจะมีอยู่ ก็เรียกว่าอัครสาวก เพราะเป็นผู้ตั้งอยู่ในความเป็นยอดแห่งสาวกทั้งปวงอันเป็นสุดแห่งสาวกบารมี เพราะเป็นผู้ใหญ่ด้วยอภินิหาร และเพราะเป็นผู้ใหญ่ด้วยบุรพประโยคความเพียรเครื่องประกอบในกาลก่อน.
ก็พระอริยสาวกเหล่าใด เปรียบไม่ได้เลย ดุจพระอัครสาวกและมหาสาวก โดยที่แท้มีเป็นหลายร้อย หลายพัน, พระอริยสาวกเหล่านั้น เป็น ปกติสาวก. แต่พระอริยสาวกที่ยกขึ้นสู่บาลีในที่นี้ พอนับจำนวนได้ เพราะกำหนดนับเอาด้วยคาถา แม้ถึงอย่างนั้น บรรดาพระมหาสาวกทั้งหลาย บางพวกก็ไม่ได้ยกขึ้นสู่บาลีในที่นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 563
พระอริยสาวกเหล่านั้น แม้มี ๓ เหล่าดังกล่าวมานี้ ก็มีเป็น ๓ เหล่า โดยประเภทอนิมิตตวิโมกข์เป็นต้น ทั้งมีเป็น ๓ เหล่าด้วยการบรรลุวิโมกข์ก็มี. จริงอยู่ วิโมกข์มี ๓ ดังนี้ คือสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์. ก็วิโมกข์ ๓ เหล่านั้น มีสุญญตาเป็นต้น พึงบรรลุด้วยอนุปัสสนา ๓ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น. ก็เบื้องต้น ย่อมมีการยึดเอาวิปัสสนาด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาอาการมีความไม่เที่ยงเป็นต้น.
ก็ในกาลใด เมื่อวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี พิจารณาสังขารทั้งหลายโดยอาการไม่เที่ยง การออกจากกิเลสด้วยมรรคย่อมมี ในกาลนั้นวิปัสสนายังไม่ได้ชื่อว่าอนิมิต เพราะเมื่อการถอนราคะนิมิตเป็นต้นแม้จะมีอยู่ แต่วิปัสสนานั้นยังไม่ละสังขารนิมิต จึงไม่อาจให้ชื่อว่าอนิมิตแก่มรรคของตน.
ท่านไม่ได้ยกอนิมิตตวิโมกข์ขึ้นไว้ในอภิธรรมก็จริง ถึงอย่างนั้นในพระสูตรย่อมมีได้ เพราะถอนนิมิตมีราคะเป็นต้นแล.
จริงอยู่ ท่านกล่าวความที่วิปัสสนาเป็นอนิมิตตวิโมกข์ และความที่ธรรมอันยอดเยี่ยมเป็นอนิมิตวิโมกข์ไว้ โดยนัยมีอาทิว่า
ท่านจงเจริญวิปัสสนาอันหานิมิตมิได้ และจงถอนอนุสัยคือมานะ แต่นั้นเพราะละมานะได้ ท่านจักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป ดังนี้.
ในกาลใด เมื่อวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี พิจารณาสังขารทั้งหลาย โดยเป็นทุกข์ การออกจากกิเลสด้วยมรรคย่อมมี ในกาลนั้นวิปัสสนาย่อมได้ชื่อว่าอัปปณิหิตะ เพราะถอนปณิธิคือที่ตั้งของราคะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 564
เป็นต้น เพราะเหตุนั้น จึงมีชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์ และมรรคในลำดับแห่งวิปัสสนาอันเป็นอัปปณิหิตวิโมกข์นั้น ก็เป็นอัปปณิหิตวิโมกขมรรค.
ก็ในกาลใด เมื่อวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี พิจารณาสังขารโดยอาการเป็นอนัตตา ย่อมมีการออกจากกิเลสด้วยมรรค ในกาลนั้นวิปัสสนาย่อมได้ชื่อว่าสุญญตะ เพราะถอนอัตตทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวตน เพราะเหตุนั้น จึงได้ชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ และมรรคในลำดับแห่งวิปัสสนาอันเป็นสุญญตะนั้น ก็ได้ชื่อว่าสุญญตวิโมกขมรรค บรรดาวิโมกข์ ๓ อันเป็นอรหัตมรรคนี้ พระเถระเหล่านี้ บางพวกหลุดพ้นด้วยอนิมิตตวิโมกข์, บางพวกหลุดพ้นด้วยอัปปณิหิตวิโมกข์, บางพวกหลุดพ้นด้วยสุญญตวิโมกข์ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มี ๓ พวกโดยประการแห่งอนิมิตตวิโมกข์เป็นต้น แม้เพราะการบรรลุวิโมกข์ก็มี ๓ พวก.
มี ๔ พวก โดยวิภาคแห่งปฏิปทา. จริงอยู่ ปฏิปทามี ๔ คือทุกขปฏิปทา ทันธาภิญญา ๑ ทุกขปฏิปทา ขิปปาภิญญา ๑ สุขปฏิปทา ทันธาภิญญา ๑ สุขปฏิปทา ขิปปาภิญญา ๑. ในปฏิปทา ๔ อย่างนั้น ในการยึดมั่นวิปัสสนาในจิตสันดาน อันมีรูปเป็นประธานเป็นต้น ผู้ใดมีจิตสันดานยึดมั่นวิปัสสนามีรูปเป็นประธาน กำหนดเอามหาภูตรูป ๔ แล้วกำหนดเอาอุปาทารูป กำหนดอรูป ก็เมื่อกำหนดรูปและอรูป ย่อมอาจเป็นผู้เหน็ดเหนื่อยกำหนดได้โดยยาก โดยลำบาก สำหรับท่านผู้นั้น ชื่อว่ามีปฏิปทา คือการปฏิบัติลำบาก. ส่วนสำหรับท่านผู้กำหนดรูปและอรูป ย่อมชื่อว่าตรัสรู้ได้ช้า เพราะมรรคปรากฏได้ช้าในการกำหนดอยู่กับวิปัสสนา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 565
ฝ่ายท่านผู้ใดกำหนดเอารูปและอรูปแล้ว เมื่อจะกำหนดนามและรูป ย่อมเป็นผู้เหน็ดเหนื่อยกำหนดเอาโดยยาก โดยลำบาก และเมื่อกำหนดนามและรูปได้แล้ว เมื่ออบรมบ่มวิปัสสนาอยู่ ย่อมอาจทำมรรคให้เกิดขึ้นได้โดยเวลาเนิ่นนาน แม้สำหรับผู้นั้น ก็ย่อมชื่อว่า ทุกขปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า.
อีกท่านหนึ่ง กำหนดลงตรงนามและรูป ก็กำหนดเอาปัจจัยทั้งหลาย เป็นผู้เหน็ดเหนื่อย กำหนดเอาได้โดยยาก โดยลำบาก. ก็ครั้นกำหนดเอาปัจจัยทั้งหลายได้แล้ว อบรมบ่มวิปัสสนาอยู่ ย่อมทำมรรคให้เกิดขึ้นโดยกาลช้านาน แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ย่อมชื่อว่า ทุกขปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า.
อีกท่านหนึ่ง แม้ปัจจัยทั้งหลายก็กำหนดได้แล้ว เมื่อจะรู้แจ้งลักษณะทั้งหลาย ย่อมรู้แจ้งได้โดยยาก โดยลำบาก และรู้แจ้งลักษณะแล้ว อบรมบ่มวิปัสสนาอยู่ ทำมรรคให้เกิดขึ้นโดยเวลาเนิ่นนาน แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ย่อมชื่อว่า ทุกขปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า.
อีกท่านหนึ่ง แม้ลักษณะทั้งหลายก็รู้แจ้งแล้ว เมื่อวิปัสสนาญาณแก่กล้าผ่องใสเป็นไปอยู่ เมื่อครอบงำความชอบใจในวิปัสสนาที่เกิดขึ้นลำบากอยู่ ย่อมรู้แจ้งได้โดยยาก โดยลำบาก และรู้แจ้งลักษณะแล้ว อบรมบ่มวิปัสสนาอยู่ ย่อมทำมรรคให้เกิดขึ้นโดยเวลาช้านาน แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ย่อมชื่อว่า ทุกขปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 566
บรรดาปฏิปทาตามที่กล่าวแล้วนั้นแหละ พึงทราบปฏิปทาที่ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว เพราะมรรคปรากฏได้เร็ว แต่ในเมื่อปฏิปทาเหล่านั้นสำเร็จได้โดยไม่ยาก พึงทราบปฏิปทาที่ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า เพราะมรรคปรากฏช้า และปฏิปทาที่ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว เพราะมรรคปรากฏเร็ว ตามลำดับ.
พึงทราบพระเถระ ๔ จำพวก โดยการบรรลุพระอรหัตมรรคด้วยอำนาจปฏิปทา ๔ ประการนี้. เพราะเว้นจากปฏิปทาทั้งหลายเสีย การบรรลุอริยมรรคจะมีไม่ได้. จริงอย่างนั้น ในพระอภิธรรม ท่านจึงจำแนกอริยมรรคพร้อมกับปฏิปทาเท่านั้น โดยนัยมีอาทิว่า สมัยใด พระโยคาวจรเจริญโลกุตรฌาน อันนำออกจากโลก เป็นเครื่องนำไปสู่พระนิพพาน ฯลฯ อันเป็นทุกขปฏิปทา ทันธาภิญญา ดังนี้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระอริยบุคคล ๔ จำพวก โดยจำแนกตามปฏิปทา ๔.
พระอริยบุคคลมี ๕ จำพวก โดยการจำแนกผู้ยิ่งด้วยอินทรีย์. พระอริยบุคคลเหล่านั้น แม้มีความเสมอกันโดยการตรัสรู้สัจจะ แต่พระเถระบางพวกเป็นผู้ยิ่งด้วยศรัทธา ดุจพระวักกลิเถระ, บางพวกเป็นผู้ยิ่งด้วยความเพียร ดุจพระมหาโสณโกฬิวิสเถระ, บางพวกเป็นผู้ยิ่งด้วยสติ ดุจพระโสภิตเถระ, บางพวกเป็นผู้ยิ่งด้วยสมาธิ ดุจพระจูฬปันถกเถระ, บางพวกเป็นผู้ยิ่งด้วยปัญญา ดุจพระอานันทเถระ.
จริงอย่างนั้น พระอานันทเถระ นั้น พระศาสดาทรงยกย่องไว้ในความเป็นผู้มีคติ และในความเป็นผู้มีความฉลาดในอรรถเป็นต้น. ก็วิภาคการจำแนกนี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจคุณวิเศษ ซึ่งมีอยู่ในกาลอันเป็นส่วน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 567
เบื้องต้น แต่ในขณะอรหัตมรรค ท่านประสงค์เอาอินทรีย์แม้ที่เหลือเป็นสภาพเดียวกันแล.
อนึ่ง มี ๕ จำพวก คือท่านผู้บรรลุบารมี คือคุณอันยอดเยี่ยม ท่านผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ท่านผู้มีอภิญญา ๖ ท่านผู้มีวิชชา ๓ และท่านผู้เป็นสุกขวิปัสสก.
จริงอยู่ บรรดาพระสาวกทั้งหลาย พระสาวกบางพวกบรรลุถึงที่สุด สาวกบารมี เหมือนท่านพระสารีบุตร และท่านพระมหาโมคคัลลานะ.
บางพวกบรรลุ ปฏิสัมภิทา ด้วยอำนาจปฏิสัมภิทา ๔ นี้ คืออัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ ๑ ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม ๑ นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในภาษา ๑ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในไหวพริบ ๑ บางพวกมีอภิญญา ๖ ด้วยอำนาจอภิญญาทั้งหลายมีอิทธิวิธญาณ ความรู้ในการแสดงฤทธิ์ได้เป็นต้น.
บางพวกมี วิชชา ๓ ด้ายอำนาจวิชชา ๓ มีบุพเพนิวาสญาณ ความรู้ระลึกชาติได้ เป็นต้น.
ส่วนพระเถระผู้ตั้งอยู่ในสมาธิ เพียงสักว่า ขณิกสมาธิ แล้วเริ่มตั้งวิปัสสนาบรรลุอรหัตมรรคนั้น ชื่อว่า สุกขวิปัสสก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ เพราะมีแต่วิปัสสนาล้วน ไม่มีการสืบต่อในภายในวิปัสสนาด้วยองค์ฌานอันเกิดแต่สมาธิในเบื้องต้น และในระหว่างๆ. ก็วิภาคนี้ท่านกล่าวโดยเพ่งภาวะทั่วๆ ไปแห่งพระสาวกทั้งหลาย.
พระเถระผู้มาในบาลีในที่นี้ ไม่มีสุกขวิปัสสกเลย. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 568
คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
พระเถระมี ๕ จำพวก ด้วยอำนาจท่านผู้บรรลุถึงบารมี เป็นต้น ด้วยประการอย่างนี้.
เมื่อว่าด้วยอำนาจวิมุตต์ มีอนิมิตตวิมุตต์เป็นต้น พระเถระมี ๖ พวก มีท่านผู้เป็นอนิมิตควิมุตต์ เป็นต้น.
พระเถระ ๒ พวก คือสัทธาธุระ ปัญญาธุระ. อนึ่ง มี ๒ พวก คืออัปปณิหิตวิมุตต์ และปัญญาวิมุตต์. ก็เมื่อว่าด้วยอนิมิตตวิมุตต์เป็นต้น พระเถระมี ๗ จำพวก ด้วยประเภทแห่งท่านผู้หลุดพ้นโดยปริยาย ด้วยประการอย่างนี้.
จริงอยู่ ท่านผู้เป็น อุภโตภาควิมุตต์ ๕ คือท่านผู้กระทำอรูปสมาบัติหนึ่งๆ ในอรูปสมาบัติ ๔ ให้เป็นบาทแล้วเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต เป็น ๔ และท่านผู้ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วบรรลุพระอรหัต ๑ และท่านผู้เป็นปัญญาวิมุตต์ ๒ คือสัทธาธุระและปัญญาธุระ รวมเป็น ๗ พวก โดยชนิดแห่งวิมุตติ ด้วยประการอย่างนี้.
มี ๘ พวก โดย วิภาคแห่งธุระและปฏิปทา. จริงอยู่ ท่านผู้ใดออกจากทุกข์ ด้วยทุกขปฏิปทา ทันธาภิญญา ท่านผู้นั้นเป็น ๒ อย่าง โดยสัทธาธุระและปัญญาธุระ, แม้ในปฏิปทาที่เหลือก็เหมือนกัน พระเถระมี ๘ พวก ด้วยการวิภาคโดยธุระและปฏิปทา อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.
มี ๙ พวก โดยชนิดแห่งวิมุตติ. มี ๙ พวกอย่างนี้ คืออุภโตภาค-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 569
วิมุตต์ ๕ ปัญญาวิมุตต์ ๒ พระอัครสาวกทั้งสองผู้บรรลุบารมีในปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติ.
มี ๑๐ พวกโดยวิมุตตินั่นแหละ. ท่านผู้เป็นปัญญาวิมุตต์ ๕ คือท่านผู้กระทำอรูปาวจรฌานหนึ่งๆ ในบรรดาอรูปาวจรฌาน ๔ ให้เป็นบาทแล้วบรรลุพระอรหัต เป็น ๔ และท่านผู้เป็นสุกขวิปัสสก ๑ กับท่านผู้เป็นอุภโตภาควิมุตต์ตามที่กล่าวมาแล้ว ๕ รวมเป็นพระเถระ ๑๐ พวก โดยชนิดแห่งวิมุตตินั่นแล ด้วยประการอย่างนี้.
พระเถระ ๑๐ พวกนั้น เมื่อแตกออกด้วยประเภทธุระตามที่กล่าวแล้ว ย่อมเป็น ๒๐ พวก.
เมื่อแตกออกโดยประเภทปฏิปทา ย่อมเป็น ๔๐ พวก เมื่อแตกออกอีกโดยประเภทปฏิปทาและโดยประเภทธุระ ก็เป็น ๘๐ พวก. ถ้าว่าพระเถระ ๔๐ พวกนั้น แตกออกโดยจำแนกเป็นสุญญตวิมุตต์เป็นต้น เป็น ๒๔๐ พวก ท่านทั้ง ๒๔๐ พวกนั้น เมื่อแตกออกไปโดยความเป็นผู้ยิ่งด้วยอินทรีย์ เป็น ๑,๒๐๐ พวก. บรรดาพระอริยสาวกผู้ดำรงอยู่ในมรรคและผล ซึ่งจำแนกออกไปหลายประเภท ด้วยอำนาจแห่งคุณของตนๆ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.
พระอริยสาวกเหล่าใดประกาศเรื่องราวแห่งข้อปฏิบัติเป็นต้นของตน และพระอริยสาวกเหล่าใดได้กล่าวคาถาด้วยอำนาจอุทานเป็นต้น มีอาทิว่า ฉนฺนา เม กุฏิกา กุฎีเรามุงบังแล้ว และพระอริยสาวกเหล่านั้น ท่านยกขึ้นสังคายนาในที่นี้ โดยมุขคือคาถา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 570
สีหานํว น ทนฺตานํฯ ฯเปฯ ผุสิตฺวา อจฺจุตํ ปทํ ดังนี้เป็นต้น. พึงทราบกถาเบ็ดเตล็ดในเรื่องนี้ ด้วยประการอย่างนี้.
จบอรรถกถาวังคีสเถรคาถาที่ ๑
จบปรมัตถทีปนี
อรรถกถาเถรคาถา มหานิบาต
พระอาจารย์ธัมมปาลเถระ ผู้อยู่ในพทรติตถมหาวิหารรจนา

