พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. ตาลปุฏเถรคาถา

  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 382

เถรคาถา ปัญญาสนิบาติ

๑. ตาลปุฏเถรคาถา

ว่าด้วยจิตใต้สำนึก

พระตาลปุฏเถระ เมื่อให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

[๓๙๙] เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีตัณหา เป็นเพื่อนสอง ณ ภูเขาและซอกเขา. เมื่อไรหนอ เราจึงจักพิจารณาเห็นแจ้งภพทั้งปวง โดยความเป็นของไม่เที่ยง ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เป็นนักปราชญ์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อันเศร้าหมอง ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความหวัง เป็นผู้ฆ่าราคะ โทสะ และโมหะได้ แล้วเที่ยวไปตามป่าใหญ่อย่างสบาย ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เห็นแจ้งซึ่งร่างกายนี้ อันเป็นของไม่เที่ยง เป็นรังแห่งโรคคือความตาย ถูกความตายและความเสื่อมโทรมบีบคั้นแล้ว เป็นผู้ปราศจากภัย อาศัยอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ถือเอาซึ่งดาบอันคมกริบ คือ อริยมรรคอันสำเร็จด้วยปัญญา แล้วตัดเสียซึ่งลดาชาติ คือตัณหาอันก่อให้เกิดภัย นำมาซึ่งทุกข์ เป็นเหตุให้คิด

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 383

วนเวียนไปในอารมณ์ภายนอก ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ถือเอาซึ่งศาสตราอันสำเร็จด้วยปัญญา มีเดชานุภาพมากของฤาษี คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยสาวก แล้วหักรานเสียซึ่งกิเลสมารพร้อมทั้งเสนาโดยเร็วพลัน เหนือเถรอาสน์ มีลีลาดังราชสีห์ ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้มีความหนักแน่นในธรรม ผู้คงที่ มีปกติเห็นตามความเป็นจริง มีอินทรีย์อันชนะแล้ว จักเห็นว่าเราบำเพ็ญเพียร ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ ความเกียจคร้าน ความหิวกระหาย ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เสือกคลานทั้งหลายจึงจักไม่เบียดเบียนเราตามซอกเขา ข้อนั้นเป็นความประสงค์ของเรา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้มีจิตมั่นคง มีสติ ได้บรรลุอริยสัจ ๔ ที่เห็นได้แสนยาก อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงทราบแล้วด้วยปัญญา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักประกอบด้วยความสงบระงับ จากเครื่องเร่าร้อนใจในเพราะรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 384

และธรรมารมณ์ ที่เรายังไม่รู้เท่าถึง พิจารณาเห็นด้วยปัญญา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เมื่อเราถูกว่ากล่าวติเตียนด้วยถ้อยคำชั่วหยาบแล้ว จักไม่เดือดร้อนใจเพราะถ้อยคำชั่วหยาบนั้น อนึ่ง ถึงเขาจะสรรเสริญก็จักไม่ยินดีเพราะถ้อยคำเช่นนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักพิจารณาเห็นสภาพภายในกล่าวคือเบญจขันธ์ และรูปธรรมเหล่าอื่นที่ยังไม่รู้ทั่วถึง และสภาพภายนอก คือต้นไม้ หญ้า และลดาชาติ ว่าเป็นสภาพเสมอกัน ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ ฝนที่ตกในเวลาปัจจุสมัย จักตกรดเราผู้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผู้ปฏิบัติอยู่ในมรรคปฏิปทาที่นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นดำเนินไปแล้ว ด้วยน้ำใหม่อยู่ในป่า ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ฟังเสียงร่ำร้องแห่งนกยูง และทิชาชาติในป่าและซอกเขา ลุกขึ้นจากการนอนแล้วพิจารณาธรรมโดยความไม่เที่ยง เพื่อบรรลุอมตธรรม ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักข้ามพ้นแม่น้ำคงคา ยมุนา สรัสสดี ที่ไหลไปกระทั่งถึงบาดาล เป็นปากน้ำใหญ่

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 385

น่ากลัวนัก ไปได้ด้วยฤทธิ์โดยไม่ติดขัด ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักเว้นความเห็นว่านิมิตงามทั้งปวงเสียได้โดยเด็ดขาด ขวนขวายอยู่ในฌาน แล้วทำลายความพอใจในกามคุณทั้งหลายเสียได้ เหมือนช้างทำลายเสาตะลุงและโซ่เหล็กแล้ว เที่ยวไปในสงครามฉะนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักละความพอใจในกามคุณ ได้บรรลุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ แล้วเกิดความยินดีเปรียบเหมือนลูกหนี้ผู้ขัดสน เมื่อถูกเจ้าหนี้บีบคั้นแล้ว แสวงหาทรัพย์มาได้และชำระหนี้เสร็จแล้ว พึงดีใจฉะนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

ดูก่อนจิต ท่านได้อ้อนวอนเราเป็นเวลาหลายปีแล้ว ว่าท่านไม่สมควรอยู่ครองเรือนเลย บัดนี้เราก็ได้บวชสมประสงค์แล้ว เหตุไฉนท่านจึงละทิ้งสมถวิปัสสนา มัวแต่เกียจคร้านอยู่เล่า.

ดูก่อนจิต ท่านได้อ้อนวอนเรานานแล้วมิใช่หรือว่า ฝูงนกยูงมีขนปีกอันแพรวพราว และเสียงกึกก้องแห่งธารน้ำตกตามซอกเขา จักยังท่านผู้เพ่งฌานอยู่ในป่าให้เพลิดเพลิน เรายอมสละญาติและมิตรที่รักใคร่ในตระกูล

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 386

สลัดความยินดีในการเล่นและกามคุณในโลกได้หมดแล้ว ได้เข้าถึงป่าและบรรพชาเพศนี้แล้ว.

ดูก่อนจิต ส่วนท่านไม่ยินดีต่อเราผู้ดำเนินตามเสียเลย เมื่อเราพิจารณาเห็นว่าจิตนี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของผู้อื่น จะประโยชน์อะไรด้วยการร้องไห้ร่ำพิไร ในเวลาทำสงครามกับกิเลสมาร เพราะจิตทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติหวั่นไหว ดังนี้จึงได้ออกบวช แสวงหาทางอันไม่ตาย.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นจอมท้าวสักกเทวราช เป็นจอมสารถีฝึกนระ ตรัสสุภาษิตไว้ว่า จิตนี้กวัดแกว่งเช่นวานร ห้ามได้แสนยาก เพราะยังไม่ปราศจากความกำหนัด ปุถุชนทั้งหลายผู้ไม่รู้เท่าทัน พัวพันอยู่ในกามทั้งหลาย อันล้วนแต่เป็นของที่งดงาม มีรสอร่อย น่ารื่นรมย์ใจ เขาเหล่านั้นแสวงหาภพใหม่ กระทำแต่สิ่งที่ไร้ประโยชน์ ชื่อว่าประสงค์ทุกข์ ย่อมถูกจิตนำไปสู่นรกโดยแท้.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราไว้ว่า ท่านจงเป็นผู้แวดล้อมด้วยเสียงร่ำร้องแห่งนกยูง และนกกระเรียนอีกทั้งเสือเหลืองและเสือโคร่งอยู่ในป่า ท่านจงสละความห่วงใยในร่างกาย อย่ามีความอาลัยเลย.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงอุตส่าห์

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 387

เจริญฌาน อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสมาธิภาวนา จงบรรลุวิชชา ๓ ในพระพุทธศาสนา.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงเจริญอัฏฐังคิกมรรคเพื่อบรรลุนิพพาน อันเป็นทางนำสัตว์ออกจากโลก ให้ถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องชำระล้างกิเลสทั้งปวง.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นทุกข์ จงละเหตุอันก่อให้เกิดทุกข์ จงทำที่สุดแห่งทุกข์ในอัตภาพนี้เถิด.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาเบญจขันธ์โดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของว่างเปล่า หาตัวตนมิได้ เป็นของวิบัติ และว่าเป็นผู้ฆ่า จงดับมโนวิจารเสียโดยแยบคายเถิด.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงปลงผมและหนวดแล้ว ถือเอาเพศสมณะ มีรูปลักษณะอันแปลก ต้องถูกเขาสาปแช่ง ถือเอาบาตรเที่ยวภิกษาตามตระกูล จงประกอบตนอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดา ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เถิด.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงสำรวมระวังเมื่อเวลาเที่ยวไปบิณฑบาตตามระหว่างตรอก อย่ามี

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 388

ใจเกี่ยวข้องในตระกูลและกามารมณ์ทั้งหลาย เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ เว้นจากโทษฉะนั้น.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงยินดีในธุดงคคุณทั้ง ๕ คือถืออยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือการไม่นอนเป็นวัตร ตลอดกาลทุกเมื่อเถิด.

บุคคลผู้ต้องการผลไม้ ปลูกต้นไม้ไว้แล้ว เก็บผลไม่ได้ ก็ประสงค์จะโค่นต้นไม้นั้นเสียฉันใด. ดูก่อนจิต ท่านแนะนำเราผู้ใดให้หวั่นไหวในความไม่เที่ยง ท่านจงทำเราผู้นี้ให้เหมือนกับบุคคลผู้ปลูกต้นไม้ไว้ฉันนั้นเถิด.

ดูก่อนจิต ผู้หารูปมิได้ ไปได้ในที่ไกล เที่ยวไปแต่ผู้เดียว บัดนี้เราจักไม่ทำตามคำของท่านแล้ว เพราะว่ากามทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์ มีผลเผ็ดร้อน เป็นภัยใหญ่หลวง เราจักมีใจมุ่งนิพพานเท่านั้น เราไม่ได้ออกบวชเพราะหมดบุญ เพราะไม่มีความละอาย เพราะเหตุแห่งจิต เพราะเหตุแห่งการทำผิดต่อชาติบ้านเมือง หรือเพราะเหตุแห่งอาชีพ.

ดูก่อนจิต ท่านได้รับรองกับเราไว้ว่า จักอยู่ในอำนาจของเรามิใช่หรือ.

ดูก่อนจิต ท่านได้แนะนำเราไว้ในครั้งนั้นว่า ความ

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 389

เป็นผู้มักน้อย การละความลบหลู่คุณท่าน และความสงบระงับทุกข์ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ แต่บัดนี้ท่านกลับเป็นผู้มีความมักมากขึ้น เราไม่อาจกลับไปสู่ตัณหา ราคะ ความรัก ความชัง รูปอันสวยงาม สุขเวทนา และเบญจกามคุณ อันเป็นของชอบใจที่เราคายเสียแล้วอีก.

ดูก่อนจิต เราได้ปฏิบัติตามถ้อยคำของท่านในภพทั้งปวงแล้ว เราไม่ได้มีความขุ่นเคืองต่อท่านหลายชาติมาแล้ว เพราะความที่ท่านมีความกตัญญู จึงปรากฏมีอัตภาพนี้ขึ้นอีก ท่านทำให้เราต้องท่องเที่ยวไปในกองทุกข์มาช้านานแล้ว.

ดูก่อนจิต ท่านทำเราให้เป็นพราหมณ์ก็มี เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน บางคราวเราเป็นแพศย์ เป็นศูทร เป็นเทพเจ้าก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน เพราะเหตุแห่งท่าน มีท่านเป็นมูลเหตุ เราเป็นอสูร บางคราวเป็นสัตว์นรก บางคราวเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บางคราวเป็นเปรต ท่านได้ประทุษร้ายเรามาบ่อยๆ มิใช่หรือ บัดนี้ เราจักไม่ให้ท่านทำเหมือนกาลก่อนอีกละ แม้เพียงครู่เดียว ท่านได้ล่อลวงเราเหมือนกับคนบ้า ได้ทำความผิดให้แก่เรามาแล้วมิใช่หรือ.

จิตนี้แต่ก่อนเคยเที่ยวจาริกไปในอารมณ์ต่างๆ ตาม

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 390

ความประสงค์ ตามความใคร่ ตามความสบาย วันนี้เราจักข่มจิตนั้นไว้โดยอุบายอันชอบ ดังนายหัตถาจารย์ข่มช้างตัวตกมันไว้ด้วยขอฉะนั้น.

พระศาสดาของเราได้ทรงตั้งโลกนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นแก่นสาร ดูก่อนจิต ท่านจงพาเราบ่ายหน้าไปในศาสนาของพระชินสีห์ จงพาเราข้ามจากห้วงน้ำใหญ่ที่ข้ามได้แสนยาก.

ดูก่อนจิต เรือนคืออัตภาพของท่านนี้ ไม่เป็นเหมือนกาลก่อนเสียแล้ว เพราะจักไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านอีกต่อไป เราได้บวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาประโยชน์อันยิ่งใหญ่แล้ว สมณะทั้งหลายผู้ทรงความพินาศไม่เป็นเช่นเรา ภูเขา มหาสมุทร แม่น้ำคงคาเป็นต้น แผ่นดิน ทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และภพสาม ล้วนเป็นสภาพไม่เที่ยง มีแต่ถูกเบียดเบียนอยู่เสมอ.

ดูก่อนจิต ท่านจะไป ณ ที่ไหนเล่า จึงจะมีความสุขรื่นรมย์.

ดูก่อนจิต เบื้องหน้าแต่จิตของเราตั้งมั่นแล้ว ท่านจักทำอะไรแก่เราได้ เราไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านแล้ว.

บุคคลไม่ควรถูกต้องไถ้สองปาก คือร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีช่อง ๙ ช่องเป็นที่ไหลออก

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 391

น่าติเตียน ท่านผู้ไปสู่เรือนคือถ้ำที่เงื้อมภูเขาอันสวยงามตามธรรมชาติ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งสัตว์ป่า คือหมูและกวาง และในป่าที่ฝนตกใหม่ๆ จักได้ความรื่นรมย์ใจ ณ ที่นั้นฝูงนกยูงมีขนที่คอเขียว มีหงอนและปีกงาม ลำแพนหางมีแวววิจิตรนัก ส่งสำเนียงก้องกังวาลไพเราะจับใจ จักยังท่านผู้บำเพ็ญฌานอยู่ในป่าให้ร่าเริงได้ เมื่อฝนตกแล้วหญ้างอกยาวประมาณ ๔ นิ้ว ท้องฟ้างามแจ่มใสไม่มีเมฆปกคลุม เมื่อท่านทำตนให้เสมอด้วยไม้แล้ว นอนอยู่บนหญ้าระหว่างภูเขานั้น จะรู้สึกอ่อนนุ่มดังสำลี เราจักทำให้เหมือนผู้ใหญ่ จะยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ บุคคลผู้ไม่เกียจคร้าน ย่อมกระทำจิตของตนให้ควรแก่การงานฉันใด เราจักกระทำจิตฉันนั้น เหมือนบุคคลเลื่อนถุงใส่แมวไว้ฉะนั้น เราจักทำให้เหมือนผู้ใหญ่ จักยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ จักนำท่านไปสู่อำนาจของเราด้วยความเพียร เหมือนนายหัตถาจารย์ผู้ฉลาด นำช้างที่ซับมันไปสู่อำนาจของตนด้วยขอฉะนั้น เราย่อมสามารถที่จะดำเนินตามหนทางอันเกษมสุข ซึ่งเป็นทางอันบุคคลผู้ตามรักษาจิต ได้ดำเนินมาแล้วทุกสมัย ด้วยหทัยอันเที่ยงตรงที่ท่านฝึกฝนไว้ดีแล้ว มั่นคงแล้ว เปรียบเหมือนนายอัสสาจารย์ สามารถจะดำเนินไปตามภูมิสถานที่ปลอดภัย ด้วยม้าที่ฝึกดีแล้วฉะนั้น.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 392

เราจักผูกจิตไว้ในอารมณ์ คือกรรมฐานด้วยกำลังภาวนา เหมือนนายหัตถาจารย์มัดช้างไว้ที่เสาตะลุงด้วยเชือกอันมั่นคงฉะนั้น จิตนี่เราคุ้มครองดีแล้ว อบรมดีแล้วด้วยสติ จักเป็นจิตอันตัณหาเป็นต้น ไม่อาศัยในภพทั้งปวง ท่านจงตัดทางดำเนินที่ผิดเสียด้วยปัญญา ข่มใจให้ดำเนินไปในทางที่ถูกด้วยความเพียร ได้เห็นแจ้งทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป แล้วจักได้เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ผู้มักแสดงธรรมอันประเสริฐ.

ดูก่อนจิต ท่านได้นำเราให้เป็นไปตามอำนาจของความเข้าใจผิด ๔ ประการ เหมือนบุคคลจูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไปฉะนั้น ท่านควรคบหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวและเครื่องผูกเสียได้ เพียบพร้อมด้วยพระมหากรุณาเป็นจอมปราชญ์มิใช่หรือ มฤคชาติเข้าไปยังภูเขาอันน่ารื่นรมย์ ประกอบด้วยน้ำและดอกไม้ เที่ยวไปในป่าอันงดงามตามลำพังใจฉันใด ดูก่อนจิต ท่านก็จักรื่นรมย์อยู่ในภูเขาที่ไม่เกลื่อนกล่นด้วยผู้คนตามลำพังใจฉันนั้น เมื่อท่านไม่ยินดีอยู่ที่ภูเขา ท่านก็จักต้องเสื่อมโดยไม่ต้องสงสัย.

ดูก่อนจิต หญิงชายเหล่าใดประพฤติตามความพอใจตามอำนาจของท่าน แล้วเสวยความสุขใดอันอาศัยเบญจกามคุณ หญิงชายเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้โง่เขลา ตกอยู่ใน

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 393

อำนาจของมาร เป็นผู้เพลิดเพลินอยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ และชื่อว่าเป็นสาวกของท่าน.

จบตาลปุฏเถรคาถา

พระตาลปุฏเถระองค์เดียวเท่านั้น ได้ภาษิตคาถาไว้ในปัญญาสนิบาตนี้ รวมเป็นคาถา ๕๕ คาถา ฉะนี้แล.

ปัญญาสนิบาตจบบริบูรณ์

อรรถกถาปัญญาสนิบาต

อรรถกถาตาลปุฏเถรคาถาที่ ๑

ใน ปัญญาสนิบาต คาถาของ ท่านพระตาลปุฏเถระ มีคำเริ่มต้นว่า กทา นุหํ ปพฺพตกนฺทราสุ ดังนี้ เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

พระเถระแม้นี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในตระกูลแห่งนักฟ้อนแห่งหนึ่งในกรุงราชคฤห์ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา ถึงความสำเร็จในฐานะเป็นนักฟ้อนอันสมควรแก่ตระกูล ได้ปรากฏเป็นนักฟ้อนชื่อว่า นฏคามณิ ในชมพูทวีปทั้งสิ้น.

เขามีมาตุคาม ๕๐๐ เป็นบริวาร แสดงมหรสพในบ้าน นิคมและราชธานี ด้วยสมบัติแห่งการฟ้อนเป็นอันมาก ได้รับการบูชาและสักการะเป็นอันมากเที่ยวไป มายังกรุงราชคฤห์แสดงแก่ชาวพระนคร ได้ความนับถือ

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 394

และสักการะ เพราะความที่ตนถึงความแก่กล้าแห่งญาณ จึงไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับฟังคำของพวกนักฟ้อนผู้เป็นอาจารย์ และอาจารย์ผู้เป็นประธานผู้เป็นหัวหน้ากล่าวอยู่ว่า นักฟ้อนนั้นใด ทำให้ชนร่าเริงยินดี ด้วยการกล่าวคำจริงและเหลาะแหละในท่ามกลางมหรสพ ในท่ามกลางเวทีโรงละคร นักฟ้อนนั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทพทั้งหลายผู้ร่าเริง ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างไร?

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสห้ามเขาถึง ๓ ครั้งว่า อย่าถามข้อนั้นกะเราเลย ถูกเขาถามครั้งที่ ๔ พระองค์ถึงตรัสว่า คามณิ สัตว์เหล่านี้ แม้ตามปกติก็ถูกเครื่องผูกคือราคะผูกพันแล้ว ถูกเครื่องผูกคือโทสะ และโมหะผูกพันแล้ว, ท่านนำเข้าไปเปรียบเทียบให้เกิดความเลื่อมใส ในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ความขัดเคือง และอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง แม้โดยยิ่งแห่งสัตว์เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเกิดในนรก. แต่ถ้าเขามีความเห็นอย่างนี้ว่า นักฟ้อนนั้นใดย่อมยังชนให้ร่าเริงให้ยินดี ด้วยคำจริงและด้วยคำเหลาะแหละ ในท่ามกลางมหรสพในท่ามกลางเวทีโรงละคร เขาเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทพทั้งหลายผู้ร่าเริง เพราะเหตุนั้นเขาจึงมีความเห็นผิดเช่นนั้น, ก็ผู้มีความเห็นผิดพึงปรารถนาคติอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาคติทั้งสอง คือนรกหรือกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน. นายตาลปุฏคามณิได้ฟังดังนั้นแล้วก็ร้องไห้ จะป่วยกล่าวไปไยที่เราจะห้ามนายคามณิมิใช่หรือว่า อย่าได้ถามข้อนั้นกะเราเลย. นายคามณิกราบทูลว่า

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 395

ข้าแต่พระผู้องค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้ร้องไห้ถึงข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอภิสัมปรายภพของนักฟ้อนทั้งหลาย กะข้าพระองค์อย่างนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกอย่างหนึ่ง ข้าพระองค์ถูกนักฟ้อนทั้งหลายผู้เป็นอาจารย์และอาจารย์ผู้เป็นประธานในก่อนหลอกลวงว่า นักฟ้อนแสดงมหรสพของนักฟ้อนแก่มหาชนแล้วเข้าถึงสุคติ. เขาฟังธรรมในสำนักพระศาสดา ได้ศรัทธาได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว กระทำกรรมด้วยวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต. ก็ท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ก่อนแต่บรรลุพระอรหัต โดยอาการอันเป็นเหตุให้เกิดการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย ด้วยสามารถการข่มจิตของตน เพื่อจะแสดงจำแนกอาการนั้น โดยอาการเป็นอันมาก จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้อยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง ณ ภูเขาและซอกเขา เมื่อไรหนอ เราจึงจักพิจารณาเห็นแจ้งภพทั้งปวง โดยความเป็นของไม่เที่ยง ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้เป็นนักปราชญ์ นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อันเศร้าหมอง ไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความหวัง เป็นผู้ฆ่าราคะ โทสะ และโมหะ ได้แล้ว เที่ยวไปตามป่าใหญ่อย่างสบาย ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจะเห็นแจ้งซึ่งร่างกายนี้ อันเป็นของไม่เที่ยง เป็นรังแห่งโรค คือความตาย ถูกความตาย

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 396

และความเสื่อมโทรมบีบคั้นแล้ว เป็นผู้ปราศจากภัยอาศัยอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจักได้ถือเอาซึ่งดาบอันคมกริบ คือ อริยมรรคอันสำเร็จด้วยปัญญา แล้วตัดเสียซึ่งลดาชาติ คือตัณหาอันก่อให้เกิดภัย นำมาซึ่งทุกข์ เป็นเหตุให้คิดวนเวียนไปในอารมณ์ภายนอก ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ถือเอาซึ่งศาสตราอันสำเร็จด้วยปัญญา มีเดชานุภาพมากของฤาษี คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอริยสาวก แล้วหักรานเสียซึ่งกิเลสมารพร้อมทั้งเสนาโดยเร็วพลัน เหนือเถรอาสน์ มีลีลาศดังราชสีห์ ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้มีความหนักแน่นในธรรม ผู้คงที่ มีปกติเห็นตามความเป็นจริง มีอินทรีย์อันชนะแล้ว จักเห็นว่าเราบำเพ็ญเพียร ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ ความเกียจคร้าน ความหิวระหาย ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เสือกคลานทั้งหลายจึงจักไม่เบียดเบียนเรา ตามซอกเขา ข้อนั้นเป็นความประสงค์

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 397

ของเรา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักเป็นผู้มีจิตมั่นคง มีสติ ได้บรรลุอริยสัจ ๔ ที่เห็นได้แสนยาก อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงทราบแล้วด้วยปัญญา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักประกอบด้วยความสงบระงับ จากเครื่องเร่าร้อนใจในเพราะรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ที่เรายังไม่รู้เท่าถึง พิจารณาเห็นด้วยปัญญา ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เมื่อเราถูกว่ากล่าวติเตียนด้วยถ้อยคำชั่วหยาบแล้ว จักไม่เดือดร้อนใจเพราะถ้อยคำชั่วหยาบนั้น อนึ่ง ถึงเขาจะสรรเสริญก็จะไม่ยินดีเพราะถ้อยคำเช่นนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักพิจารณาเห็นสภาพภายในกล่าวคือเบญจขันธ์ และรูปธรรมเหล่าอื่นที่ไม่รู้ทั่วถึง และสภาพภายนอก คือต้นไม้ หญ้า และลดาชาติ ว่าเป็นสภาพเสมอกัน ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ ฝนที่ตกในเวลาปัจจุสมัย จักตกรดเราผู้นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ผู้ปฏิบัติอยู่ในมรรคปฏิปทา ที่นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นดำเนินไปแล้ว ด้วยน้ำ

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 398

ใหม่อยู่ในป่า ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักได้ฟังเสียงร่ำร้องแห่งนกยูงและทิชาชาติในป่าและซอกเขา ลุกขึ้นจากการนอนแล้วพิจารณาธรรมโดยความไม่เที่ยง เพื่อบรรลุอมตธรรม ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักข้ามพ้นแม่น้ำคงคา ยมุนา สรัสสดี ที่ไหลไปกระทั่งถึงบาดาล เป็นปากน้ำใหญ่น่ากลัวนัก ไปได้ด้วยฤทธิ์โดยไม่ติดขัด ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักเว้นความเห็นว่านิมิตงามทั้งปวงเสียโดยเด็ดขาด ขวนขวายอยู่ในฌาน แล้วทำลายความพอใจในกามคุณทั้งหลายเสียได้ เหมือนช้างทำลายเสาตะลุงและโซ่เหล็กแล้ว เที่ยวไปในสงครามฉะนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

เมื่อไรหนอ เราจึงจักละความพอใจในกามคุณ ได้บรรลุคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่แล้วเกิดความยินดี เปรียบเหมือนลูกหนี้ผู้ขัดสน เมื่อถูกเจ้าหนี้บีบคั้นแล้ว แสวงหาทรัพย์มาได้และชำระหนี้เสร็จแล้วพึงดีใจฉะนั้น ความตรึกเช่นนี้ของเราจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 399

ดูก่อนจิต ท่านได้อ้อนวอนเราเป็นเวลาหลายปีแล้ว ว่าท่านไม่สมควรอยู่ครองเรือนเลย บัดนี้เราได้บวชสมประสงค์แล้ว เหตุไฉนท่านจึงละทิ้งสมถวิปัสสนา มัวแต่เกียจคร้านอยู่เล่า.

ดูก่อนจิต ท่านได้อ้อนวอนเรามาแล้วมิใช่หรือว่า ฝูงนกยูงมีขนปีกอันแพรวพราว และเสียงกึกก้องแห่งธารน้ำตกตามซอกเขา จะยังท่านผู้เพ่งฌานอยู่ในป่าให้เพลิดเพลิน เรายอมสละญาติและมิตรที่รักใคร่ในตระกูล สลัดความยินดีในการเล่นและกามคุณในโลกได้หมดแล้ว ได้เข้าถึงป่าและบรรพชาเพศนี้แล้ว.

ดูก่อนจิต ส่วนท่านไม่ยินดีต่อเราผู้ดำเนินตามเสียเลย เมื่อเราพิจารณาเห็นว่าจิตนี้เป็นของเรา ไม่ใช่ของผู้อื่น จะประโยชน์อะไรด้วยการร้องไห้ร่ำพิไร ในเวลาทำสงครามกับกิเลสมาร เพราะจิตทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติหวั่นไหว ดังนี้จึงได้ออกบวช แสวงหาทางอันไม่ตาย.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นจอมท้าวสักกเทวราช เป็นจอมสารถีฝึกนระ ตรัสสุภาษิตไว้ว่า จิตนี้กวัดแกว่งเช่นวานร ห้ามได้แสนยาก เพราะยังไม่ปราศจากความกำหนัด ปุถุชนทั้งหลายผู้ไม่รู้เท่าทัน พัวพันอยู่ในกามทั้งหลาย อันล้วนแต่เป็นของงดงาม มีรสอร่อย น่ารื่นรมย์ใจ เขาเหล่านั้นเป็นผู้แสวง

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 400

หาภพใหม่ กระทำแต่สิ่งไร้ประโยชน์ ชื่อว่าประสงค์ทุกข์ ย่อมถูกจิตนำไปสู่นรกโดยแท้.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราไว้ว่า ท่านจงเป็นผู้แวดล้อมด้วยเสียงร่ำร้องแห่งนกยูง และนกกระเรียน อีกทั้งเสือเหลืองและเสือโคร่งอยู่ในป่า ท่านจงสละความห่วงใยในร่างกาย อย่ามีความอาลัยเลย.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงอุตส่าห์เจริญฌาน อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ และสมาธิภาวนา จงบรรลุวิชชา ๓ ในพระพุทธศาสนา.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงเจริญอัฏฐังคิกมรรคเพื่อบรรลุนิพพาน อันเป็นทางนำสัตว์ออกจากโลก ให้ถึงความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องชำระล้างกิเลสทั้งปวง.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยอุบายอันแยบคายว่าเป็นทุกข์ จงละเหตุอันก่อให้เกิดทุกข์ จงทำที่สุดแห่งทุกข์ในอัตภาพนี้เถิด.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงพิจารณาเบญจขันธ์โดยอุบายอันแยบคายว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของว่างเปล่าหาตัวตนมิได้ เป็นวิบัติ และว่าเป็นผู้ฆ่า จงดับมโนวิจารเสียโดยแยบคายเถิด.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 401

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงปลงผมและหนวดแล้ว ถือเอาเพศสมณะ มีรูปลักษณะอันแปลก ต้องถูกเขาสาปแช่ง ถือเอาบาตรเที่ยวภิกษาตามตระกูล จงประกอบตนอยู่ในคำสอนของพระบรมศาสดา ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เถิด.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงสำรวมระวังเมื่อเวลาเที่ยวไปบิณฑบาตตามระหว่างตรอก อย่ามีใจเกี่ยวข้องในตระกูลและกามารมณ์ทั้งหลาย เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ เว้นจากโทษฉะนั้น.

ดูก่อนจิต แต่ก่อนท่านเคยแนะนำเราว่า จงยินดีในธุดงคคุณทั้ง ๕ คือถืออยู่ในป่าเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือการไม่นอนเป็นวัตร ตลอดกาลทุกเมื่อเถิด.

บุคคลผู้ต้องการผลไม้ ปลูกต้นไม้ไว้แล้ว เก็บผลไม่ได้ ก็ประสงค์จะโค่นต้นไม้นั้นเสียฉันใด. ดูก่อนจิต ท่านแนะนำเราผู้ใดให้หวั่นไหวในความไม่เที่ยง ท่านจงทำเราผู้นี้ให้เหมือนบุคคลผู้ปลูกต้นไม้ไว้ฉันนั้นเถิด.

ดูก่อนจิต ผู้หารูปมิได้ ไปได้ในที่ไกล เที่ยวไปแต่ผู้เดียว บัดนี้เราจักไม่ทำตามคำของท่านแล้ว เพราะว่ากามทั้งหลายล้วนเป็นทุกข์ มีผลเผ็ดร้อน เป็นภัยใหญ่

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 402

หลวง เราจักมีใจมุ่งนิพพานเท่านั้น เราไม่ได้ออกบวชเพราะหมดบุญ เพราะไม่มีความละอาย เพราะเหตุแห่งจิต เพราะเหตุแห่งการทำผิดต่อชาติบ้านเมือง หรือเพราะเหตุแห่งอาชีพ.

ดูก่อนจิต ท่านได้รับรองกับเราไว้ว่า จักอยู่ในอำนาจของเรามิใช่หรือ.

ดูก่อนจิต ท่านได้แนะนำเราไว้ในครั้งนั้นว่า ความเป็นผู้มักน้อย การละความลบหลู่คุณท่าน และความสงบระงับทุกข์ สัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญ แต่บัดนี้ท่านกลับเป็นผู้มีความมักมากขึ้น เราไม่อาจกลับไปสู่ตัณหา ราคะ ความรัก ความชัง รูปอันสวยงาม สุขเวทนา และ เบญจกามคุณอันเป็นของชอบใจที่เราคายเสียแล้วอีก.

ดูก่อนจิต เราได้ปฏิบัติตามถ้อยคำของท่านในภพทั้งปวงแล้ว เราไม่ได้มีความขุ่นเคืองต่อท่านหลายชาติมาแล้ว เพราะความที่ท่านมีความกตัญญู จึงปรากฏมีอัตภาพนี้ขึ้นอีก ท่านทำให้เราต้องท่องเที่ยวไปในกองทุกข์มาช้านานแล้ว.

ดูก่อนจิต ท่านทำให้เราเป็นพราหมณ์ก็มี เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน บางคราวเราเป็นแพศย์ เป็นศูทร เป็นเทพเจ้าก็มี เพราะอำนาจแห่งท่าน เพราะเหตุแห่งท่าน มีท่านเป็นมูลเหตุ เราเป็น

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 403

อสูร บางคราวเป็นสัตว์นรก บางคราวเป็นสัตว์ดิรัจฉาน บางคราวเป็นเปรต ท่านได้ประทุษร้ายเรามาบ่อยๆ มิใช่หรือ บัดนี้ เราจักไม่ให้ท่านทำเหมือนกาลก่อนอีกละ แม้เพียงครู่เดียว ท่านได้ล่อลวงเราเหมือนกับคนบ้า ได้ทำความผิดให้แก่เรามาแล้วมิใช่หรือ.

จิตนี้แต่ก่อนเคยเที่ยวจาริกไปในอารมณ์ต่างๆ ตามความประสงค์ ตามความใคร่ ตามความสบาย วันนี้เราจักข่มจิตนั้นไว้โดยอุบายอันชอบ ดังนายหัตถาจารย์ข่มช้างตัวตกมันไว้ด้วยขอฉะนั้น.

พระศาสดาของเราได้ทรงตั้งโลกนี้ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่เป็นแก่นสาร ดูก่อนจิต ท่านจงพาเราบ่ายหน้าไปในศาสนาของพระชินสีห์ จงพาเราข้ามจากห้วงน้ำใหญ่ที่ข้ามได้แสนยาก.

ดูก่อนจิต เรือนคืออัตภาพของท่านนี้ ไม่เป็นเหมือนกาลก่อนเสียแล้ว เพราะจักไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านอีกต่อไป เราได้ออกบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้แสวงหาประโยชน์อันยิ่งใหญ่แล้ว สมณะทั้งหลายผู้ทรงความพินาศไม่เป็นเช่นเรา ภูเขา มหาสมุทร แม่น้ำคงคาเป็นต้น แผ่นดิน ทิศใหญ่สี่ ทิศน้อยสี่ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และภพสาม ล้วนเป็นสภาพไม่เที่ยง มีแต่ถูกเบียดเบียนอยู่เสมอ.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 404

ดูก่อนจิต ท่านจะไป ณ ที่ไหนเล่า จึงจะมีความสุขรื่นรมย์.

ดูก่อนจิต เบื้องหน้าแต่จิตของเราตั้งมั่นแล้ว ท่านจักทำอะไรแก่เราได้ เราไม่เป็นไปตามอำนาจของท่านแล้ว.

บุคคลไม่ควรถูกต้องไถ้สองปาก คือร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีช่อง ๙ ช่องเป็นที่ไหลออก น่าติเตียน ท่านผู้ไปสู่เรือนคือถ้ำ ที่เงื้อมภูเขาอันสวยงามตามธรรมชาติ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งสัตว์ป่า คือหมูและกวาง และในป่าที่ฝนตกใหม่ๆ จักได้ความรื่นรมย์ใจ ณ ที่นั้นฝูงนกยูงมีขนที่คอเขียว มีหงอนและปีกงาม ลำแพนหางมีแวววิจิตรนัก ส่งสำเนียงก้องกังวานไพเราะจับใจ จักยังท่านผู้บำเพ็ญฌานอยู่ในป่าให้ร่าเริงได้ เมื่อฝนตกแล้วหญ้างอกยาวประมาณ ๔ นิ้ว ท้องฟ้างามแจ่มใสไม่มีเมฆปกคลุม เมื่อท่านทำตนให้เสมอด้วยไม้ แล้วนอนอยู่บนหญ้าระหว่างภูเขานั้น จะรู้สึกอ่อนนุ่มดังสำลี เราจักกระทำให้เหมือนผู้ใหญ่ จะยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ บุคคลผู้ไม่เกียจคร้าน ย่อมกระทำจิตของตนให้สมควรแก่การงานฉันใด เราจักกระทำจิตฉันนั้น เหมือนบุคคลเลื่อนถุงใส่แมวไว้ฉะนั้น เราจักทำให้เหมือนผู้ใหญ่ จักยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ จักนำท่านไปสู่อำนาจของเราด้วยความเพียร เหมือนนายหัตถาจารย์ผู้ฉลาด

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 405

นำช้างที่ซับมันไปสู่อำนาจของตนด้วยขอฉะนั้น เราย่อมสามารถที่จะดำเนินตามหนทางอันเกษมสุข ซึ่งเป็นทางอันบุคคลผู้ตามรักษาจิต ได้ดำเนินมาแล้วทุกสมัย ด้วยหทัยอันเที่ยงตรง ที่ท่านฝึกฝนไว้ดีแล้ว มั่นคงแล้ว เปรียบเหมือนนายอัสสาจารย์ สามารถจะดำเนินไปตามภูมิสถานที่ปลอดภัย ด้วยม้าที่ฝึกดีแล้วฉะนั้น.

เราจักผูกจิตไว้ในอารมณ์ คือกรรมฐานด้วยกำลังภาวนา เหมือนนายหัตถาจารย์มัดช้างไว้ที่เสาตะลุงด้วยเชือกอันมั่นคงฉะนั้น จิตที่เราคุ้มครองดีแล้ว อบรมดีแล้วด้วยสติ จักเป็นจิตอันตัณหาเป็นต้นไม่อาศัยในภพทั้งปวง ท่านจงตัดทางดำเนินที่ผิดเสียด้วยปัญญา ข่มใจให้ดำเนินไปในทางที่ถูกด้วยความเพียร ได้เห็นแจ้งทั้งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป แล้วจักได้เป็นทายาทของพระพุทธเจ้า ผู้มักแสดงธรรมอันประเสริฐ.

ดูก่อนจิต ท่านได้นำเราให้เป็นไปตามอำนาจของความเข้าใจผิด ๔ ประการ เหมือนบุคคลจูงเด็กชาวบ้านวิ่งวนไปฉะนั้น ท่านควรคบหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตัดเครื่องเกาะเกี่ยวและเครื่องผูกเสียได้ เพียบพร้อมด้วยพระมหากรุณา เป็นจอมปราชญ์มิใช่หรือ มฤคชาติเข้าไปยังภูเขาอันน่ารื่นรมย์ ประกอบด้วยน้ำและดอกไม้ เที่ยวไปในป่าอันงดงามตามลำพังใจฉันใด ดูก่อนจิต

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 406

ท่านก็จักรื่นรมย์อยู่ในภูเขา ที่ไม่เกลื่อนกล่นด้วยผู้คนตามลำพังใจฉันนั้น เมื่อท่านไม่ยินดีอยู่ที่ภูเขานั้น ท่านก็จักต้องเสื่อมโดยไม่ต้องสงสัย.

ดูก่อนจิต หญิงชายเหล่าใดประพฤติตามความพอใจ ตามอำนาจของท่าน แล้วเสวยความสุขใดอันอาศัยเบญจกามคุณ หญิงชายเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้โง่เขลา ตกอยู่ในอำนาจของมาร เป็นผู้เพลิดเพลิน อยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ และชื่อว่าเป็นสาวกของท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กทา นุหํ ตัดเป็น กทา นุ อหํ เมื่อไรหนอเรา.

บทว่า ปพฺพตกนฺทราสุ ความว่า ณ ที่ภูเขาและซอกเขา หรือที่ซอกแห่งภูเขา.

บทว่า เอกากิโย แปลว่า ผู้ๆ เดียว. บทว่า อทฺทุติโย แปลว่า ไม่มีตัณหา. ก็ตัณหา ชื่อเป็นที่ ๒ ของบุรุษ. บทว่า วิหสฺสํ แปลว่า จักอยู่.

บทว่า อนิจฺจโต สพฺพภวํ วิปสฺสํ มีวาจาประกอบความว่า เราเมื่อพิจารณาเห็นภพแม้ทั้งหมด ต่างด้วยกามภพเป็นต้นว่า ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะมีแล้วกลับไม่มี ดังนี้ จักอยู่เมื่อไรหนอ. ก็คำนั้นมีอันแสดงเป็นนิทัศน์ พึงทราบว่า ท่านกล่าวลักษณะทั้งสองแม้นอกนี้ไว้แล้วแล. เพราะพระบาลีว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 407

บทว่า ตํ เม อิทํ ตํ นุ กทา ภวิสฺสติ ความว่า ความปริวิตกของเรานี้นั้น จักมีเมื่อไรหนอ, คือจักถึงที่สุดเมื่อไรหนอ?

ก็บทว่า ตํ ในบทว่า ตํ นุ นี้ เป็นเพียงนิบาต. ในที่นี้มีความสังเขปดังต่อไปนี้ว่า เมื่อไรหนอ เราตัดเครื่องผูกคือคฤหัสถ์ เหมือนช้างใหญ่ตัดเครื่องผูกเท้าช้าง ออกบวช พอกพูนกายวิเวก เป็นผู้โดดเดี่ยวไม่มีเพื่อนสอง ในซอกเขาทั้งหลาย ไม่อาลัยในอารมณ์ทั้งปวง พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวง โดยความเป็นของไม่เที่ยงจักอยู่.

บทว่า ภินฺนปฏนฺธโร ความว่า เป็นผู้ทรงผ้าที่ถูกทำลาย, ท่านกล่าวไว้โดยลง อาคม เพื่อสะดวกแก่คาถา. อธิบายว่า ทรงไว้ซึ่งแผ่นผ้าเป็นจีวรที่ตัดด้วยศาสตรา ทำลายสัมผัสและสีอันเลิศ.

บทว่า มุนิ ได้แก่ บรรพชิต.

บทว่า อมโม ความว่า ชื่อว่า ไม่ยึดถือสิ่งใดว่าเป็นของตัว เพราะไม่มีความยึดถือในตระกูลหรือคณะ ว่าเป็นของๆ ตัว. ชื่อว่าไม่มีความหวัง เพราะไม่มีความหวังในอารมณ์แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง.

บทว่า หนฺตฺวา สุขี ปวนคโต วิหสฺสํ ความว่า เราจักตัดกิเลสมีราคะเป็นต้นด้วยอริยมรรค อยู่เป็นสุข ด้วยสุขเกิดแต่มรรคและสุขอันเกิดแต่ผล ไปสู่ป่าใหญ่ จักอยู่เมื่อไรหนอ.

บทว่า วธโรคนีฬํ ความว่า เป็นรังแห่งมรณะ และเป็นรังแห่งโรค.

บทว่า กายํ อิมํ ได้แก่ ซึ่งกายกล่าวคือขันธ์ ๕ นี้. จริงอยู่ ขันธ์ทั้ง ๕ ท่านเรียกว่า กาย ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย กายนี้แล

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 408

คือนามรูปในภายนอก สำหรับบุรุษบุคคลผู้ถูกอวิชชาครอบงำ ผู้ถูกตัณหาติดตาม.

บทว่า มจฺจุชรายุปทฺทุตํ ความว่า ถูกมรณะและชราบีบคั้น. อธิบายว่า เราเมื่อพิจารณาเห็น ชื่อว่า เป็นผู้ปราศจากภัย เพราะละเหตุแห่งภัยเสียได้ จักมีเมื่อไรหนอ.

บทว่า ภยชนนึ ความว่า เป็นเหตุเกิดขึ้นแห่งภัยใหญ่ ๒๕ ชื่อว่า นำมาซึ่งทุกข์ เพราะนำมาซึ่งทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้น ที่เป็นไปทางกายและเป็นไปทางใจ.

บทว่า ตณฺหาลตํ พหุวิธานุวตฺตนึ ความว่า ตัณหาคือเครือเถาอันชื่อว่า เป็นไปตามมากหลาย เพราะเป็นไปตาม คือแล่นไปตามอารมณ์ หรือภพเป็นอันมาก.

บทว่า ปญฺามยํ มีวาจาประกอบความว่า จับพระขรรค์คือดาบอันสำเร็จด้วยมรรคปัญญาที่ลับดีแล้วด้วยหัตถ์ คือศรัทธาอันประคองไว้ด้วยวิริยะ แล้วตัด ตรึกไปว่า เมื่อไรหนอเราพึงอยู่ เมื่อไรหนอความตรึกนั้นจักสำเร็จ.

บทว่า อุคฺคเตชํ ความว่า มีเดชกล้า เพราะอาศัยอำนาจสมถะและวิปัสสนา.

บทว่า สตฺถํ อิสีนํ ความว่า เป็นศัสตราของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสาวกและฤาษีทั้งหลาย.

บทว่า มารํ สเสนํ สหสา ภญฺชิสฺสํ ความว่า เราจักหักมารมีอภิสังขารมารเป็นต้น พร้อมด้วยเสนาคือกิเลส ชื่อสเสนะ โดยพลัน คือโดยเร็วทีเดียว.

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 409

บทว่า สีหาสเน ได้แก่ บนอาสนะอันมั่นคง อธิบายว่า บนอปราชิตบัลลังก์.

บทว่า สพฺภิ สมาคเมสุ ทิฏฺโ ภเว มีวาจาประกอบความว่า เราได้เห็นในการสมาคมด้วยคนดีทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้ชื่อว่า หนักในธรรม เพราะประกอบด้วยความเคารพในธรรม ชื่อว่า ผู้คงที่ เพราะถึงลักษณะแห่งผู้คงที่ ชื่อว่า ผู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะมีความเห็นไม่วิปริต ชื่อว่า ผู้มีอินทรีย์อันชนะแล้ว เพราะมีอินทรีย์อันชนะบาปด้วยอริยมรรคนั่นแล, ว่าเมื่อไรหนอ เราจักมีความเพียร เพราะฉะนั้นความตรึกของเรานั้นจักสำเร็จเมื่อไร? โดยนัยนี้ พึงทราบบทโยชนาในที่ทั้งปวง เราจักพรรณนาเพียงอรรถเฉพาะบทเท่านั้น.

บทว่า ตนฺทิ แปลว่า ความเกียจคร้าน.

บทว่า ขุทา แปลว่า ความหิว.

บทว่า กีฏสิรีสปา ได้แก่ แมลงและสัตว์เลื้อยคลาน.

บทว่า น พาธยิสฺสนฺติ อธิบายว่า จักไม่เบียดเบียนเรา เพราะห้ามสุข ทุกข์ โสมนัส และโทมนัสเสียได้ด้วยฌาน.

บทว่า คิริพฺพเช ได้แก่ ในซอกเขา.

บทว่า อตฺถตฺถิยํ ความว่า มีความต้องการด้วยประโยชน์ กล่าวคือ ประโยชน์ตน.

บทว่า ยํ วิทิตํ มเหสินา ความว่า สัจจะ ๔ อันท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้วคือแทงตลอดแล้ว, เราผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้วด้วยมรรคสมาธิ เป็นผู้มีสติด้วยสัมมาสติ มาถึง คือจักแทง

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 410

ตลอด ได้แก่ จักบรรลุสัจจะ ๔ เหล่านั้นที่เห็นได้แสนยาก ด้วยกุศลสมภารอันเราสั่งสมมาด้วยปัญญาในอริยมรรค.

บทว่า รูเป ได้แก่ ในรูปอันจะรู้ได้ด้วยจักษุ.

บทว่า อมิเต ความว่า ไม่รู้แล้วด้วยญาณ อธิบายว่า กำหนดไม่ได้แล้ว คือกำหนดรู้ไม่ได้แล้ว.

บทว่า ผุสิเต แปลว่า พึงถูกต้อง. บทว่า ธมฺเม ได้แก่ ในธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อมิเต ได้แก่ ในรูปหาประมาณมิได้ คือ แตกต่างกันหลายประเภท ด้วยสามารถสีเขียวเป็นต้น, และสัททรูปเป็นต้น อันแตกต่างกันหลายประเภท ด้วยอำนาจเสียงกลองเป็นต้น ด้วยอำนาจรสที่รากเป็นต้น ด้วยสามารถความเป็นของหยาบและอ่อนเป็นต้น และด้วยอำนาจเป็นสุขและทุกข์เป็นต้น.

บทว่า อาทิตฺตโต เพราะเป็นธรรมชาติ อันไฟ ๑๑ กองติดทั่วแล้ว.

บทว่า สมเถหิ ยุตฺโต ได้แก่ ประกอบด้วยฌาน วิปัสสนา และมรรคสมาธิ.

บทว่า ปญฺาย ทจฺฉํ ความว่า จักเห็นด้วยปัญญาในมรรค อันประกอบด้วยวิปัสสนาปัญญา.

บทว่า ทุพฺพจเนน วุตฺโต ได้แก่ สืบต่อด้วยคำที่กล่าวชั่ว.

บทว่า ตโต นิมิตฺตํ ได้แก่ เพราะเหตุแห่งผรุสวาจา.

บทว่า วิมโน น เหสฺสํ ความว่า ไม่พึงเกิดโทมนัส.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 411

บทว่า อโถ แก้เป็น อถ แปลว่า อนึ่ง.

บทว่า กฏฺเ ได้แก่ ในท่อนไม้. บทว่า ติเณ ได้แก่ กองหญ้า.

บทว่า อิเม ได้แก่ ขันธ์ ๕ อันนับเนื่องในสันตติของเราเหล่านี้.

บทว่า อมิเต จ ธมฺเม ได้แก่ ในรูปธรรม อันกำหนดนับไม่ได้ด้วยอินทรีย์ขันธ์อื่น. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เป็นไปในภายในและเป็นไปในภายนอก ดังนี้.

บทว่า สมํ ตุเลยฺยํ ความว่า พิจารณาสิ่งทั้งปวงให้สม่ำเสมอทีเดียว ด้วยสามารถอนิจจลักษณะเป็นต้น และด้วยสามารถอุปมาด้วยสิ่งอันหาสาระมิได้เป็นต้น.

บทว่า อิสิปฺปยาตมฺหิ ปเถ วชนฺตํ ความว่า ไปอยู่ คือดำเนินไปอยู่ในทางสมถะและวิปัสสนา อันท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงชำระแล้วโดยชอบแล้ว. ในสมัยฝนตก ท่านแสดงถึงความปริวิตกถึงภาวะที่ตนอยู่ในกลางแจ้ง ว่าเมื่อไรหนอฝนจักตกลงในป่าทึบ ยังจีวรของตนให้เปียกด้วยน้ำ คือด้วยน้ำฝนตกใหม่.

บทว่า มยูรสฺส สิขณฺฑิโน วเน ทิชสฺส ได้แก่ ทิชชาติด้วยอำนาจเกิด ๒ ครั้ง คือเกิดจากท้องมารดา ๑ เกิดจากฟองไข่ ๑ ก็เมื่อไรเราจะได้ยินเสียงร้อง คือเสียงร้องของนกยูง โดยสมภพของนกยูง และโดยหางของนกยูงในป่า คือที่ซอกเขา แล้วกำหนดเวลาออกจากที่นอนแล้ว บรรลุอมตะ คือบรรลุพระนิพพาน.

บทว่า สญฺจินฺตเย ความว่า พึงกระทำไว้ในใจ คือพึงเห็นแจ้งภพที่จะกล่าวอยู่ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 412

บทว่า คงฺคํ ยมุนํ สรสฺสตึ มีวาจาประกอบ ความว่า เมื่อไรหนอความตรึกของเรานี้ พึงไหลไปยังแม่น้ำใหญ่เหล่านั้นไม่ติดขัด ด้วยฤทธิ์อันสำเร็จด้วยภาวนา.

บทว่า ปาตาลขิตฺตํ พฬวามุขญฺจ ความว่า พอละ คือถึงที่สุดแห่งการตกไป ฉะนั้นจึงชื่อว่าบาดาล ซัดไปสู่บาดาลนั้นนั่นแหละ, คือดำรงอยู่อย่างนั้นในเวลาตั้งแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ชื่อว่า ซัดให้ไหลไปยังบาดาลที่เหล่าใดเหล่าหนึ่งเป็นที่อยู่ของนาคเป็นต้น หรือที่ตั้งอยู่แล้วโดยว่างเปล่านั่นเอง ชื่อว่าที่ฝั่งแผ่นดินในมหาสมุทรมีร้อยโยชน์เป็นต้นเป็นประเภท.

บทว่า พฬวามุขํ ได้แก่ ปากน้ำวนใหญ่ในมหาสมุทร จริงอยู่ ในเวลาประตูมหานรกเปิด ท่อไฟใหญ่พุ่งออกจากประตูมหานรกนั้น เบื้องหน้าแต่นั้น ไหม้ส่วนภายใต้มหาสมุทรยาวและกว้างหลายร้อยโยชน์ เมื่อส่วนภายใต้มหาสมุทรถูกไฟไหม้ น้ำข้างบนก็วนเวียนโดยอาการเป็นบ่อตกลงในภายใต้ด้วยเสียงดัง ในที่นั้นมีสมัญญาว่าปากน้ำใหญ่ ดังนั้น แม้น้ำที่ไหลไปยังบาดาลและปากน้ำใหญ่ น่าหวาดเสียวน่าสะพึงกลัว เมื่อไรหนอ จะพึงไหลตกไปด้วยกำลังฤทธิ์ไม่ติดขัด ดังนั้น ความตรึกของเราจักพึงมีเมื่อไรหนอ เราพึงยังฤทธิ์อันสำเร็จด้วยภาวนาให้บังเกิด จักค้นพบรอยฤทธิ์อย่างนี้ได้เมื่อไรหนอ.

บทว่า นาโคว อสงฺคจารี ปทาลเย ความว่า ช้างตัวซับมันทำลายเสาอันมั่น กำจัดโซ่เหล็ก ทำลายเสาตะลุง เข้าไปสู่ป่า เป็นผู้ๆ เดียวไม่มีเพื่อนสอง เที่ยวไปตามความชอบใจของตนฉันใด เราก็ฉันนั้น เมื่อไรหนอ จะละทิ้งนิมิตที่ได้ยินมาทุกอย่าง คือเว้นเสียโดยไม่มีส่วนเหลือ ไม่เป็นไปในอำนาจแห่งกามฉันทะ ประกอบการขวนขวายในฌาน พึง

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 413

ทำลาย พึงตัด พึงละความพอใจในกามคุณ เพราะฉะนั้น ความตรึกของเรานั้นจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

บทว่า อิณฏฺโฏว ทลิทฺทโก นิธึ อาราธยิตฺวา ความว่า คนจนบางคนเป็นผู้มีการเลี้ยงชีพเป็นปกติ กู้หนี้ เมื่อไม่สามารถจะชำระหนี้ได้ มีคดีเพราะหนี้ คืออึดอัดใจเพราะหนี้ ถูกเจ้าทรัพย์บีบคั้น ครั้นยินดีคือประสบขุมทรัพย์ และชำระหนี้แล้ว พึงเป็นอยู่ ยินดีโดยความสุขฉันใด แม้เราก็ฉันนั้น เมื่อไรหนอ จะพึงละกามฉันทะอันเป็นเสมือนกับผู้ไม่มีหนี้ แล้วประสบความยินดีในพระศาสนาของท่านผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ คือพระศาสนาของพระพุทธเจ้า อันเป็นเสมือนขุมทรัพย์อันเต็มไปด้วยรัตนะ มีแก้วมณีและทองคำเป็นต้น เพราะเพียบพร้อมไปด้วยอริยทรัพย์ เพราะฉะนั้น ความตรึกของเรานั้นจักสำเร็จเมื่อไรหนอ.

ครั้นแสดงความเป็นไปแห่งวิตกของตน อันเป็นแล้วด้วยอำนาจเนกขัมมวิตกในกาลก่อน แต่การบรรพชาอย่างนี้แล้ว บัดนี้ ครั้นบวชแล้ว เมื่อจะแสดงอาการอันเป็นเหตุให้สอนตนแล้วจึงบรรลุ จึงได้กล่าวคาถามีอาทิว่า พหูนิ วสฺสานิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหูนิ วสฺสานิ ตยามฺหิ ยาจิโต อคารวาเสน อลํ นุ เต อิทํ ความว่า ดูก่อนจิตผู้เจริญ เราถูกท่านอ้อนวอนมาหลายปีแล้วมิใช่หรือว่า พอละ คือถึงที่สุดแล้วสำหรับท่าน ด้วยการอยู่ในท่ามกลางเรือน ด้วยการตามผูกพันทุกข์ต่างๆ อยู่หลายปี.

บทว่า ตํ ทานิ มํ ปพฺพชิตํ สมานํ ความว่า ดูก่อนจิต ท่านไม่ประกอบเรานั้น ผู้เป็นบรรพชิต ด้วยความอุตสาหะเช่นนั้น ด้วยเหตุอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ทิ้งสมถะและวิปัสสนา ประกอบในความเกียจคร้านอันเลว.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 414

บทว่า นนุ อหํ จิตฺต ตยามฺหิ ยาจิโต อธิบายว่า ดูก่อนจิตผู้เจริญ เราเป็นผู้อันท่านอ้อนวอน คือยังจะขอร้องมิใช่หรือ? ถ้าท่านขอร้อง เพราะเหตุไร? ท่านจึงไม่ปฏิบัติให้สมควรแก่ความขอร้องนั้น.

ท่านแสดงถึงอาการขอร้อง โดยนัยมีอาทิว่า คิริพฺพเช ดังนี้, อธิบายว่า วิหค มีขนปีกอันแพรวพราว คือมีขนหางและปีกอันวิจิตร อธิบายว่า นกยูง.

บทว่า มหินฺทโฆสตฺถนิตาภิคชฺชิโน ความว่า มีการแผดเสียงเป็นปกติด้วยดี ด้วยเหตุที่เสียงอันกึกก้องจากสายน้ำ.

ด้วยบทว่า เต ตํ รเมสฺสนฺติ วนมฺหิ ฌายินํ ท่านแสดงว่า เราถูกท่านอ้อนวอนมิใช่หรือว่า นกยูงเหล่านั้น จักให้เรานั้นผู้ขวนขวายในฌานในป่าเกิดความยินดี.

บทว่า กุลมฺหิ ความว่า ในการเวียนมาแห่งตระกูล.

บทว่า อิมมชฺฌุปาคโต ความว่า วันนี้ ท่านมาใกล้ที่ป่า หรือบรรพชานี้.

บทว่า อโถปิ ตฺวํ จิตฺต น มยฺห ตุสฺสสิ ความว่า ท่านจักไม่ยินดีกะเราแม้ผู้ประพฤติตามตั้งอยู่เสียเลย.

บทว่า มเมว เอตํ น หิ ตฺวํ ปเรสํ อธิบายว่า ดูก่อนจิต เพราะท่านพิจารณาเห็นว่าจิตนี้เป็นของเราเท่านั้นไม่ใช่ของคนเหล่าอื่น. แต่ในเวลาสงบท่านทำจิตนี้ให้เป็นเหมือนของคนเหล่าอื่น ด้วยการสงบภาวนาเพื่อลบกิเลสมารทั้งหลาย เพราะกระทำอธิบายดังว่ามานี้ ท่านจะประโยชน์อะไรด้วยกับการร้องไห้อยู่เล่า บัดนี้ เราจักไม่ให้ท่านประพฤติโดยประการอื่น.

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 415

บทว่า สพฺพํ อิทํ จลมิตํ เปกฺขมาโน อธิบายว่า เพราะเหตุที่เมื่อเราตรวจดูด้วยปัญญาจักษุว่า จิตนี้ เป็นอื่นทั้งหมดมีสังขารเป็นไปในภูมิ ๓ กวัดแกว่ง ไม่ตั้งมั่น อยากได้ แสวงหาการออกจากเรือน และจากกามทั้งหลาย คืออมตบท คือพระนิพพาน ฉะนั้น จึงไม่ไปตามจิต กระทำการแสวงหาพระนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น.

มีวาจาประกอบความว่า จิตห้ามได้แสนยาก เพราะไม่ปราศจากราคะ เป็นเช่นกับลิง ด้วยอำนาจการฝึก เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวแต่คำที่ควรด้วยดี กล่าวคำเป็นแต่สุภาษิต เป็นนายสารถีฝึกนระ ผู้อันเขาสักการะอย่างยิ่งใหญ่ สูงสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้า.

บทว่า อวิทฺทสุ ยตฺถ สิตา ปุถุชฺชนา ความว่า อันธปุถุชนเหล่านั้น ผูกติดอยู่ คือเนื่องเฉพาะในวัตถุกามและกิเลสกามอย่างใดอย่างหนึ่งแสวงหาภพใหม่ด้วยกามราคะนั้น ปรารถนาทุกข์โดยส่วนเดียวเท่านั้น และเมื่อปรารถนา จึงถูกจิตนำไป คือถูกทอดทิ้งในนรก เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้เป็นไปในอำนาจแห่งจิต กระทำกรรมอันเป็นทางแห่งนรก เป็นผู้ทอดทิ้งจากหิตสุข คือถูกนำไปในนรกโดยจิตของตนนั้นเอง ไม่นำไปโดยประการอื่น เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงความที่จิตเท่านั้นที่ควรข่ม.

เมื่อรู้เพื่อจะข่มจิตนั่นแลแม้อีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า มยูรโกญฺจาภิรุตมฺหิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มยูรโกญฺจาภิรุตมฺหิ ความว่า อันนกยูงและนกกระไนร้อง.

บทว่า ทีปีหิ พยคฺเฆหิ ปุรกฺขโต วสํ ความว่า เป็นผู้แวดล้อม คือห้อมล้อมด้วยสัตว์ดิรัจฉานเห็นปานนั้น เพราะเป็นผู้อยู่ด้วยเมตตา-

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 416

กรรมฐานเป็นอารมณ์อยู่ในป่า ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวการเจริญความว่างเปล่า.

บทว่า กาเย อเปกฺขํ ชห ความว่า จงละไม่อาลัยในกายโดยประการทั้งปวง, เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงที่บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น.

บทว่า มา วิราธย ความว่า อย่ายังขณะที่ ๙ อันได้แสนยากนี้ให้ล้มเหลว.

บทว่า อิติสฺสุ มํ จิตฺต ปุเร นิยุญฺชสิ ความว่า ดูก่อนจิต ท่านประกอบเราไว้ในสัมมาปฏิบัติก่อนแต่บวช ด้วยประการฉะนี้แล.

บทว่า ภาเวหิ ความว่า จงให้เกิดและให้เจริญ.

บทว่า ฌานิ ได้แก่ ฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น.

บทว่า อินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์เป็นต้น.

บทว่า พลานิ ได้แก่ พละ ๕ เหล่านั้นนั่นแล.

บทว่า โพชฺฌงฺคสมาธิภาวนา ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ และสมาธิภาวนา ๔.

บทว่า ติสฺโส จ วิชฺชา ได้แก่ วิชชา ๓ มีปุพเพนิวาสญาณ เป็นต้น, ท่านตั้งอยู่ในพระพุทธศาสนา คือในโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงถูกต้อง คือจงบรรลุ.

บทว่า นิยฺยานิกํ ได้แก่ นำออกจากวัฏทุกข์.

บทว่า สพฺพทุกฺขกฺขโยคธํ ได้แก่ หยั่งลงในอมตะ คือมีพระนิพพานเป็นที่พึ่ง ได้แก่ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์.

บทว่า สพฺพกิเลสโสธนํ ความว่า ชำระมลทิน คือกิเลสไม่ให้มีส่วนเหลือ.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 417

บทว่า ขนฺเธ ได้แก่ อุปาทานขันธ์.

บทว่า ปฏิปสฺส โยนิโส ความว่า จงเห็นด้วยอุบายโดยชอบด้วยวิปัสสนาญาณ โดยประการต่างๆ มีอาทิอย่างนี้ว่า โดยเป็นโรค โดยเป็นดุจฝี โดยเป็นดุจลูกศร โดยเป็นความคับแค้น โดยเป็นอาพาธ.

บทว่า ตํ ชห ความว่า จงละ คือจงถอนตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้น.

บทว่า อิเธว ได้แก่ ในอัตภาพนี้เท่านั้น.

บทว่า อนิจฺจํ เป็นต้น ความว่า ท่านจงเห็นว่าไม่เที่ยง เพราะมีที่สุด เพราะไม่ล่วงความเป็นของไม่เที่ยงไปได้ เพราะเป็นไปชั่วกาลเท่านั้น และปฏิเสธต่อความเที่ยง. บทว่า ทุกฺขํ ความว่า จงเห็นว่าเป็นทุกข์ เพราะถูกความเกิดขึ้นและดับไปบีบคั้น เพราะมีภัยเกิดขึ้นเฉพาะหน้า เพราะทนได้ยาก เพราะปฏิเสธความสุข.

บทว่า สุญฺํ ความว่า ชื่อว่า ว่างเปล่า เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ เพราะไม่มีเจ้าของ เพราะไม่มีสาระ และเพราะปฏิเสธอัตตา เพราะเหตุนั้นนั่นแล จึงชื่อว่าเป็นอนัตตา. มีวาจาประกอบความว่า จงพิจารณาเห็นโดยแยบคายว่า เป็นทุกข์และเป็นผู้ฆ่า เพราะเป็นอันจะพึงถูกติเตียน แลเป็นความเจ็บป่วยหาความเจริญมิได้.

บทว่า มโนวิจาเร อุปรุนฺธ เจตโส ความว่า จงปิดกั้น คือจงห้าม ได้แก่ จงดับความสำคัญทางมโนวิจารทางใจ ๑๘ อย่าง มีการพิจารณาถึงโสมนัสเป็นต้นอันอาศัยเรือน.

บทว่า มุณฺโฑ ความว่า เข้าถึงซึ่งความเป็นคนโล้น คือเป็นผู้ปลงผมและหนวด.

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 418

บทว่า วิรูโป ความว่า เป็นผู้ผิดรูป คือเข้าถึงความเป็นผู้มีรูปต่างกัน เพราะเป็นคนโล้นนั้น เพราะมีขนรกรุงรัง เพราะมีผ้ากาสายะถูกทำลาย.

บทว่า อภิสาปมาคโต ความว่า เข้าถึงการถูกสาปแช่งอย่างยิ่ง อันพระอริยเจ้าทั้งหลายควรกระทำว่า ผู้มีก้อนข้าวมีบาตรอยู่ในมือเที่ยวไป. สมจริงดังคำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านเป็นผู้มีก้อนข้าวมีบาตรในมือเที่ยวไปในโลก นี้เป็นผู้ถูกสาปแช่ง ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ท่านเป็นเหมือนมีกระเบื้องในมือ เที่ยวขอในตระกูล.

บทว่า ยุญฺชสฺสุ สตฺถุวจเน ความว่า จงกระทำการประกอบ คือ จงประกอบเนืองๆ ในโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

บทว่า สุสํวุตตฺโต ความว่า ผู้สำรวมโดยชอบแล้ว ด้วยกาย วาจาและจิตด้วยดี.

บทว่า วิสิขนฺตเร จรํ ความว่า เที่ยวไปอยู่ในตรอกพิเศษเพื่อภิกขาจาร.

บทว่า จนฺโท ยถา โทสินปุณฺณมาสิยา มีวาจาประกอบความว่า จงเที่ยวไปเหมือนพระจันทร์เพ็ญปราศจากโทษ ใหม่อยู่เป็นนิจในตระกูลน่าเลื่อมใส.

บทว่า สทา ธุเต รโต ความว่า ยินดียิ่งในธุดงคคุณตลอดกาลทั้งสิ้น.

บทว่า ตถูปมํ จิตฺตมิทํ กโรสิ ความว่า บุรุษบางคนปรารถนาผลไม้ ปลูกต้นไม้มีผล พอได้ผลจากต้นไม้นั้น ก็ปรารถนาจะตัดต้นไม้

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 419

นั้นแต่รากฉันใด ดูก่อนจิต ท่านจงกระทำข้อนี้ให้เหมือนกับบุรุษนั้น คือให้มีส่วนเปรียบกับต้นไม้นั้นฉันนั้น.

บทว่า ยํ มํ อนิจฺจมฺหิ จเล นิยุญฺชสิ ความว่า ท่านประกอบเราใดไว้ในบรรพชา แล้วประกอบผลแห่งการบรรพชา ที่เป็นไปตลอดกาลนาน ในความไม่เที่ยงในความหวั่นไหว ในปากทางแห่งสงสาร คือให้เป็นไปด้วยอำนาจการประกอบไว้.

ชื่อว่า อรูป เพราะไม่มีรูป. จริงอยู่ สัณฐานเช่นนั้น หรือประเภทแห่งสีมีสีเขียวเป็นต้น ย่อมไม่มีแก่จิต เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าไม่มีรูป.

ชื่อว่า ทูรงฺคม เที่ยวไปในที่ไกลเพราะเป็นไปในที่ไกล. แม้ถ้าว่าชื่อว่าการไปของจิต โดยส่วนแห่งทิศมีทิศตะวันออกเป็นต้น แม้เพียงใยแมลงมุม ย่อมไม่มีแก่จิตนั้น แต่ย่อมรับอารมณ์ที่มีอยู่ในที่ไกล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทูรงฺคม เที่ยวไปในที่ไกล.

ท่านเป็นผู้ๆ เดียวเท่านั้น ชื่อว่า เอกจารี ผู้ๆ เดียวเที่ยวไป เพราะเป็นไปด้วยอำนาจเป็นผู้ผู้เดียวเท่านั้นเที่ยวไป. โดยที่สุดจิตทั้ง ๒ - ๓ ดวง ชื่อว่าสามารถเพื่อจะเกิดขึ้นพร้อมกันย่อมไม่มี แต่จิตดวงเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้นในสันดานเดียวกัน เมื่อจิตนั้นดับแล้วย่อมเกิดขึ้นดวงเดียวเท่านั้นแม้อีก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าดวงเดียวเที่ยวไป.

บทว่า น เต กริสฺสํ วจนํ อิทานิหํ ความว่า แม้ถ้าเป็นไปในอำนาจของท่านในกาลก่อนไซร้ ก็บัดนี้ เราจักไม่เป็นไปในอำนาจแห่งจิต จำเดิมแต่กาลที่เราได้โอวาทของพระศาสดาแล้ว. หากมีคำถามสอดเข้ามาว่า เพราะเหตุไร? เฉลยว่า เพราะกามทั้งหลายเป็นทุกข์ มีภัยมาก ชื่อว่ากามเหล่านี้เป็นทุกข์ทั้งในอดีต มีผลดุจหนามแม้ในอนาคต

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 420

ชื่อว่ามีภัยใหญ่หลวง. เพราะติดตามด้วยภัยใหญ่ ต่างด้วยมีการติเตียนตนเป็นต้น เราจักมีใจมุ่งสู่พระนิพพานเท่านั้นเที่ยวไป เพราะฉะนั้น เราจึงมีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพานเท่านั้นอยู่.

เมื่อจะแสดงความที่เรามีใจมุ่งสู่พระนิพพานนั้นเท่านั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เราไม่ได้ออกบวชเพราะหมดบุญ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาหํ อลกฺขยา มีวาจาประกอบความว่า เราไม่ได้ออกจากเรือนเพราะหมดบุญ คือเพราะหมดสิริ.

บทว่า อหิริกฺกตาย ความว่า เพราะไม่มีความละอาย เหมือนกระทำการเยาะเย้ยตามที่มีโทษ.

บทว่า จิตฺตเหตุ ความว่า บางคราวเป็นนิครนถ์ บางคราวเป็นปริพาชกเป็นต้น เป็นผู้เป็นไปในอำนาจแห่งจิต เหมือนบุรุษมีจิตไม่ตั้งมั่นฉะนั้น.

บทว่า ทูรกนฺตนา ความว่า เพราะได้รับเมตตาจากพระราชาเป็นต้นแล้ว มีจิตคิดประทุษร้ายในพระราชาเป็นต้นนั้น.

บทว่า อาชีวเหตุ ความว่า เพราะเหตุแห่งอาชีพ เราเป็นผู้มีอาชีวะเป็นปกติ ไม่ได้ออกบวชเพราะภัยจากอาชีวะ.

ด้วยบทว่า กโต จ เต จิตฺต ปฏิสฺสโว มยา นี้ ท่านแสดงว่า ดูก่อนจิต ท่านได้กระทำการรับรองไว้กับเราแล้วมิใช่หรือว่า เราจะอยู่ในอำนาจของท่านจำเดิมแต่กาลบวชแล้ว.

บทว่า อปฺปิจฺฉตา สปฺปุริเสหิ วณฺณิตา ความว่า ชื่อว่า ความเป็นผู้มักน้อยในปัจจัยทั้งหลายโดยประการทั้งปวง บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญว่า เป็นความดี อนึ่งการละความลบหลู่

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 421

คือการละความลบหลู่คุณของคนเหล่าอื่น การเข้าไปสงบคือการเข้าไปสงบทุกข์ทั้งปวง ได้แก่การให้บรรลุพระนิพพานอันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว. อธิบายว่า ดูก่อนจิต ท่านได้แนะนำเราไว้ในครั้งนั้นดังกล่าวมาแล้วคือ ดูก่อนจิต ท่านได้แนะนำเราไว้ในครั้งนั้นว่า สหาย ท่านพึงปฏิบัติในคุณเหล่านั้น บัดนี้ท่านจะเดินตามข้อที่เคยประพฤติมา คือบัดนี้ท่านจะละเราปฏิบัติความมักมากเป็นต้น ที่ตนเคยประพฤติมา, นี้อย่างไรกัน?

ท่านหมายเอาเรื่องใดจึงกล่าวว่า ท่านจะดำเนินตามข้อที่เคยประพฤติมา. เพื่อแสดงเรื่องนั้นจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ตณฺหา อวิชฺชา จ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตณฺหา ได้แก่ ตัณหาในปัจจัยทั้งหลาย. บทว่า อวิชฺชา ได้แก่ อวิชชา มีการปกปิดโทษเป็นต้นในเรื่องนั้นนั่นแล.

บทว่า ปิยาปิยํ ความว่า ความที่สัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก กล่าวคือความรักในบุตรและภรรยาเป็นต้น และความที่สัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก กล่าวคือความไม่ยินดีในเสนาสนะอันสงัด คือในกุศลธรรมอันยิ่ง มีความยินดีและยินร้ายในสองอย่างนั้น.

บทว่า สุภานิ รูปานิ ได้แก่ รูปงามทั้งภายในและภายนอก.

บทว่า สุขา เวทนา ได้แก่ สุขเวทนาอาศัยอิฏฐารมณ์เกิดขึ้น.

บทว่า มนาปิยา กามคุณา ได้แก่ ส่วนแห่งกามคุณอันน่ารื่นรมย์ใจ ที่เหลือดังกล่าวแล้ว.

บทว่า วนฺตา ความว่า ชื่อว่า อันเราคายแล้ว เพราะละด้วยการข่มไว้ ทิ้ง และสละฉันทราคะ อันอาศัยอารมณ์จากที่ไม่มีรูป.

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 422

ด้วยบทว่า วนฺเต อหํ อาวมิตุํ น อุสฺสเห ท่านกล่าวว่า เราไม่สามารถจะจับต้องกามคุณเหล่านั้นที่เราละเสียแล้วอีกด้วยอาการอย่างนี้ คือเป็นธรรมชาติอันสละเสียแล้วนั่นแล.

บทว่า สพฺพตฺถ ได้แก่ ในภพทั้งปวง ในกำเนิดทั้งปวง ในคติทั้งปวง และในวิญญาณฐิติทั้งปวง.

บทว่า วโจ กตํ มยา ความว่า ดูก่อนจิตผู้เจริญ เราได้ทำตามคำของท่านแล้ว.

เมื่อจะทำอธิบาย บทว่า พหูสุ ชาตีสุ น เมสิ โกปิโต ความว่า ก็เมื่อเราไม่ได้โกรธเคืองท่านในชาติเป็นอันมาก. เราเองมิได้ดูหมิ่นท่าน.

อนึ่ง ความเกิดในภายในแม้เกิดในตน เมื่อท่านกระทำเราให้ท่องเที่ยวไปในทุกข์สิ้นกาลนาน เพราะท่านเป็นผู้ไม่กตัญญู เพราะฉะนั้น เราจึงเที่ยวเร่ร่อนไปในสังสารทุกข์ตลอดกาลนาน อันหาเบื้องต้นและที่สุดรู้ไม่ได้ที่ตนบังเกิด.

บัดนี้ เมื่อจะแสดงความที่กล่าวแล้วโดยสังเขปว่า ท่านกระทำให้เราท่องเที่ยวไปในทุกข์ ตลอดกาลนาน และโดยพิสดารด้วยประเภทแห่งการอุบัติ และโดยประเภทแห่งคติ จึงกล่าวว่า ตวญฺเว ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราชทสิ ตัดเป็น ราชา อสิ ท อักษรทำการเชื่อมบท. มีวาจาประกอบความว่า เราเป็นแพศย์และศูทรนั้นก็เนื่องในกาลบางคราว. เพราะเหตุแห่งท่านนั่นเอง.

บทว่า เทวตฺตนํ วาปิ มีวาจาประกอบความว่า ดูก่อนจิต ท่านเท่านั้นทำให้เราเป็นเทวดา.

บทว่า วาหสา แปลว่า เพราะความเป็นเหตุ.

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 423

บทว่า ตเวว เหตุ ความว่า เพราะเหตุแห่งท่านนั้นเอง.

บทว่า ตฺวํมูลกํ แปลว่า มีท่านเป็นนิมิต.

บทว่า นนุ ทุพฺภิสฺสสิ มํ ปุนปฺปุนํ ความว่า ท่านประทุษร้ายบ่อยๆ มิใช่หรือ? ดูก่อนจิต เมื่อก่อนคือในอนันตชาติ ท่านเป็นมิตรเทียม คือเป็นข้าศึก ประทุษร้ายเราบ่อยๆ ฉันใด บัดนี้ เห็นจักประทุษร้ายฉันนั้น อธิบายว่า เราจักไม่ให้ท่านเที่ยวไปเหมือนในกาลก่อน.

บทว่า มุหุํ มุหุํ จารณิกํว ทสฺสยํ ความว่า ใจดังจะให้เรา เที่ยวไปเนืองๆ ลวงบุรุษให้เที่ยวไป ให้ภพนั้นๆ บ่อยๆ เหมือนควบคุมการเที่ยวไปให้สำเร็จ.

บทว่า อุมฺมตฺตเกเนว มยา ปโลภสิ ความว่า ท่านเล่นกับเราเหมือนกับคนบ้า แสดงอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความประเล้าประโลมนั้น แล้วจึงประเล้าประโลม.

บทว่า กิญฺจาปิ เต จิตฺต วิราธิตํ มยา อธิบายว่า ดูก่อนจิตผู้เจริญ อะไรที่เราทำความผิดพลาดให้แก่ท่าน ท่านจงบอกเรื่องนั้น.

บทว่า อิทํ ปุเร จิตฺตํ ความว่า ธรรมดาว่าจิตนี้ เมื่อก่อนแต่นี้ย่อมปรารถนาด้วยอาการอย่างใด มีความยินดีเป็นต้นในอารมณ์มีรูปเป็นต้น และความใคร่ของจิตนั้น ย่อมเกิดในอารมณ์ใด และความใคร่ เมื่อเที่ยวไปโดยประการที่ความสุขย่อมมีแก่จิตผู้เที่ยวไปตามอำนาจตามความปรารถนา ก็เที่ยวจาริกไปตามความสุขตลอดกาลนาน วันนี้เราจักข่มจิตนั้น ด้วยโยนิโสมนสิการ เหมือนควาญช้างผู้ฉลาด กล่าวคือนายหัตถาจารย์ใช้ขอข่มช้างตัวซับมันผู้แตกปลอกฉะนั้น คือเราจะไม่ให้มันก้าวไปได้.

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 424

บทว่า สตฺถา จ เม โลกมิมํ อธิฏฺหิ ความว่า พระศาสดาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงอธิษฐานด้วยพระญาณถึงขันธโลกโดยไม่มีส่วนเหลือฉะนี้, อธิษฐานกระไร? อธิษฐานโดยความไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้วกลับไม่มี โดยความไม่ยั่งยืน เพราะไม่มีความยั่งยืน คือถาวรแม้อย่างใด โดยความไม่มีสาระ เพราะไม่มีสุขเป็นสาระเป็นต้น.

บทว่า ปกฺขนฺท มํ จิตฺต ชินสฺส สาสเน ความว่า ดูก่อนจิต เพราะเหตุนั้น ท่านจึงยังเราให้แล่นไป คือให้เข้าไปในศาสนาของพระชินะผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อปฏิบัติตามความเป็นจริง. บาลีว่า ปกฺขนฺทิมํ ดังนี้ก็มี ท่านจงแล่นไปสู่โลกในศาสนาของพระชินะเจ้าด้วยญาณ จงให้ข้ามตามความเป็นจริงและแม้แล่นไป คือเมื่อให้แล่นไปให้เป็นไปด้วยมรรคอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนาญาณ จงให้เราข้ามจากโอฆะใหญ่คือสงสารที่ข้ามได้แสนยาก.

บทว่า น เต อิทํ จิตฺต ยถา ปุราณกํ ความว่า ดูก่อนจิตผู้เจริญ เรือนคืออัตภาพนี้ ย่อมไม่มีแก่ท่าน เหมือนมีในกาลก่อน เพราะเหตุไร? เพราะเราจักไม่เป็นไปในอำนาจของท่านต่อไป อธิบายว่า บัดนี้เราไม่ควรเพื่อจะเป็นไปในอำนาจของท่าน เพราะเหตุที่เราออกบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ และจำเดิมแต่กาลที่เราบวชแล้ว ชื่อว่า สมณะทั้งหลายผู้เช่นกับเราย่อมไม่มี เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความพินาศ เป็นสมณะโดยส่วนเดียวเท่านั้น.

บทว่า นคา ได้แก่ ภูเขาทั้งปวง มีภูเขาสิเนรุและภูเขาหิมวันต์เป็นต้น.

บทว่า สมุทฺทา ได้แก่ สมุทรทั้งปวง มีสมุทรที่ตั้งในทิศตะวันออกเป็นต้น และสมุทรเย็นเป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 425

บทว่า สริตา ได้แก่ แม่น้ำทั้งปวงมีแม่น้ำคงคาเป็นต้น.

บทว่า วสุนฺธรา แปลว่า แผ่นดิน.

บทว่า ทิสา จตสฺโส ได้แก่ ทิศทั้ง ๔ อันต่างด้วยทิศตะวันออกเป็นต้น.

บทว่า วิทิสา ได้แก่ ทิศน้อยทั้ง ๔ มีทิศที่อยู่ระหว่างทิศตะวันออกและทิศทักษิณเป็นต้น

บทว่า อโธ ความว่า ภายใต้จนถึงกองลมที่รองรับน้ำ.

บทว่า ทิวา ได้แก่ เทวโลก. ก็ด้วย ทิวา ศัพท์ ในบทว่า ทิวา นี้ ท่านกล่าวหมายเอาสัตว์และสังขารที่อยู่ในที่นั้น.

บทว่า สพฺเพ อนิจฺจา ติภวา อุปทฺทุตา อธิบายว่า ภพทั้ง ๓ มีกามภพเป็นต้นทั้งหมดเป็นของไม่เที่ยง ถูกทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้น และกิเลสมีราคะเป็นต้น ทำให้วุ่นวายและเบียดเบียน, ชื่อว่า สถานที่อันปลอดภัยอะไรๆ ในที่นี้ย่อมไม่มี ดูก่อนจิต เพราะไม่มีความปลอดภัยนั้น ท่านไปในที่ไหนจักรื่นรมย์เป็นสุข เพราะฉะนั้น ท่านจงแสวงหาที่สลัดออกจากชาติทุกข์เป็นต้นนั้นในที่นี้.

บทว่า ธิติปฺปรํ ความว่า ดูก่อนจิต เบื้องหน้าแต่จิตของเราตั้งมั่นแล้ว ท่านจักทำอะไรแก่เราผู้ตั้งอยู่ในความมั่นคง ท่านไม่สามารถจักทำให้เราหวั่นไหวแม้น้อยหนึ่ง จากอารมณ์อันเป็นทุกข์นั้นได้.

ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดูก่อนจิต เราไม่ควรเพื่อจะเป็นไปในอำนาจของท่าน. บัดนี้เมื่อจะแสดงความนั้นให้ปรากฏชัด ท่านจึงกล่าวว่า บุคคลไม่ควรถูกต้องไถ้สองปาก คือร่างกายอันเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีช่อง ๙ แห่งเป็นที่ไหลออก น่าติเตียน.

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 426

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภสฺตํ ได้แก่ ถุงหนัง. บทว่า อุภโตมุขํ ได้แก่ ปากสองข้างแห่งไถ้.

บทว่า น ชาตุ ฉุเป ความว่า บุคคลไม่พึงถูกต้องแม้ด้วยเท้าโดยส่วนเดียว. อนึ่ง บทว่า ธิรตฺถุ ปุรํ นวโสตสนฺทนึ ความว่า ซึ่งร่างกายอันเต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ เป็นที่ไหลออกแห่งของอันไม่สะอาด จากช่องคือจากปากแผลทั้ง ๙ น่าติเตียนเวจกุฏินั้น คือน่าครหาเวจกุฏินั้น.

ครั้นโอวาทจิตด้วยอำนาจข่มด้วยคาถา ๒๘ คาถาอย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะให้ร่าเริง ด้วยการบอกสถานที่อันวิเวกเป็นต้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า วราหเอเณยฺยวิคาฬฺหเสวิเต ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วราหเอเณยฺยวิคาฬฺหเสวิเต อันหมูและเนื้อทรายหยั่งลงเสพแล้ว.

บทว่า ปพฺภารกุฏฺเฏ ได้แก่ ที่เงื้อมเขาและบนยอดเขา.

บทว่า ปกเตว สุนฺทเร ความว่า อันสวยงามตามธรรมชาติ พึงได้รื่นรมย์ใจไม่อิ่ม, อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า ปกติ วสุนฺธเร ในแผ่นดินตามธรรมชาติ, อธิบายว่า ในภูมิประเทศตามปกติ.

บทว่า นวมฺพุนา ปาวุสสิตฺตกานเน ความว่า ในป่าที่ฝนตกใหม่ๆ.

บทว่า ตหึ คุหาเคหคโต รมิสฺสสิ ความว่า ท่านเข้าไปสู่เรือนคือถ้ำ ณ เชิงบรรพตนั้น จักรื่นรมย์ใจอย่างยิ่งด้วยความยินดีในภาวนา.

บทว่า เต ตํ รเมสฺสนฺติ ความว่า สัตว์เหล่านั้นมีนกยูงเป็นต้น ให้เกิดความสำคัญในป่า จักรื่นรมย์ป่านั้น.

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 427

บทว่า วุฏฺมฺหิ เทเว ความว่า เมื่อฝนตกใหม่ๆ.

บทว่า จตุรงฺคุเล ติเณ ความว่า เมื่อฝนตกและหญ้างอกงาม ยาวประมาณ ๔ นิ้ว เช่นกับผ้ากัมพลมีสีแดงจัดในที่นั้นๆ.

บทว่า สํปุปฺผิเต เมฆนิภมฺหิ กานเน ความว่า หมู่ไม้คล้ายกับเมฆฝนบานสะพรั่งทีเดียว.

บทว่า นคนฺตเร ได้แก่ ในระหว่างภูเขา.

บทว่า วิฏปิสโม สยิสฺสํ ความว่า เป็นผู้เช่นกับต้นไม้ไม่มีอะไรปกคลุมนอนอยู่.

บทว่า ตํ เม มุทู เหหิติ ตูลสนฺนิภํ ความว่า เครื่องลาดหญ้านั้นอ่อนนุ่ม มีสัมผัสสบาย งดงามเหมือนปุยนุ่น จักเป็นที่นอนของเรา.

บทว่า ตถา ตุ กสฺสามิ ยถาปิ อิสฺสโร ความว่า บุรุษผู้เป็นใหญ่บางคน ให้ทาสเป็นต้นผู้ทำตามคำของตน ให้เป็นไปในอำนาจฉันใด ดูก่อนจิต แม้เราก็ฉันนั้น จักกระทำจิตนั้นให้เหมือนอย่างนั้น จะให้อยู่ในอำนาจของเราเท่านั้น. อย่างไร? คือสิ่งใดที่เราได้ แม้สิ่งนั้นจงควรแก่เรา อธิบายว่า ในปัจจัย ๔ เราได้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถึงสิ่งนั้นก็จงควร คือจงสำเร็จแก่เรา. ด้วยคำนั้นท่านจึงแสดงว่า

สัตว์บางพวกในโลกนี้ ย่อมเป็นไปในอำนาจแห่งจิต เพราะเหตุให้เกิดตัณหา แต่เราเว้นการเกิดตัณหาให้ห่างไกล ทำจิตให้เหมือนทาส ให้เป็นไปในอำนาจแห่งตน.

บทว่า น ตาหํ กสฺสามิ ยถา อตนฺทิโต พิฬารภสฺตํว ยถา สุมทฺทิตํ ความว่า ดูก่อนจิต ความเกียจคร้านย่อมจับต้องจิตอีก เพราะเหตุเว้นการเกิดตัณหา ใครๆ แม้อื่นผู้ไม่เกียจคร้าน ย่อมทำจิตของตนให้ควรแก่การ

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 428

งาน คือให้เหมาะแก่การงานด้วยภาวนา โดยการประกอบสัมมัปธานฉันใด ดูก่อนจิต แม้เราก็ฉันนั้น กระทำจิตนั้นให้ควรแก่การงาน คือ ให้เหมาะแก่การงาน ได้แก่ให้เป็นไปในอำนาจแห่งตน. เปรียบเหมือนอะไร? เหมือนบุคคลเลื่อนถุงใส่แมวฉะนั้น. ศัพท์ว่า เป็นเพียงนิบาต. ถุงใส่แมวที่บุคคลเลื่อนดีแล้ว ย่อมควรแก่การงาน คือแก่การงานและเป็นอันคุ้มครองได้โดยสะดวกฉันใด เราจักกระทำจิตให้เป็นฉันนั้น.

บทว่า วิริเยน ตํ มยฺห วสฺสานยิสฺสํ ความว่า ดูก่อนจิตผู้เจริญ เราจักยังกำลังแห่งภาวนาให้เกิดด้วยความเพียรของตน แล้วจักนำเธอมาสู่อำนาจของเราด้วยความเพียรนั้น.

บทว่า คชํว มตฺตํ กุสลงฺกุสคฺคโห ความว่า เหมือนนายหัตถาจารย์ผู้ฉลาดเฉียบแหลม นำช้างตัวซับมันมาสู่อำนาจของตน ด้วยกำลังแห่งการศึกษาของตน อธิบายว่าเหมือนกันนั่นเเหละ.

ศัพท์ว่า หิ ในบทว่า ตยา สุทนฺเตน อวฏฺิเตน หิ เป็นเพียงนิบาต ความว่า ดูก่อนจิต ท่านผู้ฝึกด้วยดีด้วยสมถะและวิปัสสนาภาวนา ชื่อว่าตั้งมั่นแล้ว เพราะดำเนินตามวิปัสสนาวิถี โดยชอบแท้เพราะเหตุนั้นแล.

บทว่า หเยน โยคฺคาจริโยว อุชฺชุนา ความว่า นายอัสสาจารย์ผู้ประกอบด้วยวิชาฝึกม้าที่ให้ตรงไม่โกง เพราะตนฝึกดีแล้วสามารถเพื่อดำเนินไปจากที่ไม่ปลอดภัยสู่ที่อันปลอดภัยฉันใด เราก็สามารถเพื่อดำเนินไปสู่ที่ปลอดภัยฉันนั้น อธิบายว่า ชื่อว่าที่ปลอดภัย เพราะไม่มีกิเลสอันกระทำความไม่ปลอดภัย.

บทว่า จิตฺตานุรกฺขีหิ ความว่า เราอาจ คือสามารถเพื่อดำเนินตาม คือเพื่อบรรลุอริยมรรค อันบัณฑิตทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 429

เสพแล้วตลอดกาลทั้งสิ้น ด้วยศีลเป็นเครื่องตามรักษาจิตของตน.

บทว่า อารมฺมเณ ตํ พลสา นิพนฺธิสํ นาคํว ถมฺภมฺหิ ทฬฺหาย รชฺชุยา ความว่า ดูก่อนจิต เราจะผูกจิตไว้ในอารมณ์กรรมฐานด้วยกำลังภาวนา เหมือนนายหัตถาจารย์มัดช้างใหญ่ไว้ที่เสาตะลุง ด้วยเชือกอันมั่นคงฉะนั้น.

บทว่า ตํ เม สุคุตฺตํ สติยา สุภาวิตํ ความว่า ดูก่อนจิต ท่านนั้นเป็นผู้อันสติของเราคุ้มครองดีแล้ว และอบรมดีแล้ว.

บทว่า อนิสฺสิตํ สพฺพภเวสุ เหหิสิ ความว่า ท่านจักเป็นผู้อันความประพฤติที่นอนเนื่องในสันดานมีตัณหาเป็นต้น ในภพทั้งหมดมีกามภพเป็นต้นไม่อาศัยแล้ว ด้วยกำลังอริยมรรคภาวนา.

บทว่า ปญฺาย เฉตฺวา วิปถามุสารินํ ความว่า ท่านจงตัดทางดำเนินที่ผิด คือที่เกิดแห่งอายตนะ คือจงตัดทางเป็นที่ไหลออกแห่งกิเลส คือทางดิ้นรนแห่งกิเลส อันเป็นเหตุให้เดินทางผิดตามความเป็นจริง แล้วทำการป้องกันด้วยอำนาจตัดกระแสตัณหา ด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาอันเป็นที่เข้าไปอาศัยอินทรียสังวร.

บทว่า โยเคน นิคฺคยฺห ความว่า ข่มใจแล้วด้วยการทำลายด้วยความสามารถคือด้วยความเพียรกล่าวคือวิปัสสนาภาวนา. บทว่า ปเถ นิเวสิยา ความว่า ส่งใจคือให้ตั้งอยู่ในวิปัสสนาวิถี อนึ่ง ในกาลใดวิปัสสนาอันตนพยายามให้เกิดขึ้น ย่อมสืบต่อด้วยมรรค เมื่อนั้นท่านจักเห็นความเสื่อมและความเจริญ แห่งความเกิดขึ้นแห่งอายตนะ โดยความไม่หลงโดยประการทั้งปวง ด้วยการแสดงไขว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา จักเป็น

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 430

ทายาทคือเป็นโอรสของผู้มีวาทะอันเลิศในโลกพร้อมด้วยเทวโลก คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

บทว่า จตุพฺพิปลฺลาสวสํ อธิฏฺิตํ ความว่า ได้นำเราให้ตั้งมั่น คือให้เป็นไปตามอำนาจของความเข้าใจผิด ๔ ประการนี้ คือในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่มิใช่ตนว่าเป็นตน ดังนี้.

บทว่า คามณฺฑลํว ปริเนสิ จิตตฺ มํ ความว่า ดูก่อนจิตผู้เจริญ ท่านฉุดคร่าเราไปเหมือมเด็กชาวบ้าน คือฉุดคร่าให้หมุนไปจากที่โน้นและที่นี้.

บทว่า นนุ สํโยชนพนฺธนจฺฉิทํ ความว่า ท่านคบหาพระมหามุนี คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยกรุณา ผู้ตัดเครื่องผูก ๑๐ อย่าง กล่าวคือสังโยชน์แน่ ย่อมสรรเสริญพระศาสดาด้วยการประกอบด้วยความสรรเสริญว่า ท่านเว้นผู้มีอานุภาพมากเห็นปานนี้ แต่แสวงหาท่านผู้มีตบะเห็นตามความชอบใจ.

บทว่า มิโค ยถา ความว่า เหมือนมฤคชาติพอใจมีอำนาจเอง ย่อมยินดีด้วยความใคร่ ในที่ไม่อากูล อันวิจิตรตระการด้วยดี ด้วยต้นไม้กอไม้และเถาวัลย์เป็นต้น.

บทว่า รมฺมํ คิรึ ปาวุสอพฺภมาลินึ ความว่า เราได้ภูเขาอันน่ารื่นรมย์ใจ เพราะสงัดจากหมู่ชนและเป็นที่รื่นรมย์ใจ ชื่อว่ามีพวงมาลัยดุจกลุ่มเมฆ เพราะประกอบด้วยดอกไม้ทั้งบนบกและในน้ำ โดยรอบในฤดูฝนอย่างนี้ จักยินดีภูเขานั้น ดูก่อนจิต ท่านจักเสื่อมโดยส่วนเดียว อธิบายว่า จักตั้งอยู่ด้วยความวอดวายในสงสาร.

 
  ข้อความที่ 50  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 431

ด้วยบทว่า เย ตุยฺห ฉนฺเทน วเสน วตฺติโน ท่านกล่าวหมายเอาปุถุชนทั้งปวง โดยความเป็นผู้เสมอกับจิต.

คำนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ดูก่อนจิตผู้เจริญ นระและนารีทั้งหลายตั้งอยู่ด้วยความพอใจ คือด้วยอำนาจความชอบใจของท่าน ย่อมเสวย จักประสบความสุขอันอาศัยเรือนใด คนเหล่านั้น เป็นคนโง่ อันธพาล เป็นไปในอำนาจแห่งมาร คือมีปกติเป็นไปในอำนาจแห่งกิเลสมารเป็นต้น เพลิดเพลินในภพเพราะเพลิดเพลินในกามภพเท่านั้น สาวกของท่านกระทำตามคำพร่ำสอน ส่วนพวกเราเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่เป็นไปในอำนาจของท่าน.

เมื่อก่อนพระเถระจำแนกโยนิโสมนสิการ อันเป็นไปด้วยอำนาจการข่มจิตโดยประการต่างๆ แสดงธรรมด้วยอำนาจให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในที่ใกล้. ก็ในที่นี้คำใดที่ท่านไม่ได้จำแนกไว้โดยอรรถในระหว่างๆ คำนั้นมีอรรถง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังแล.

จบอรรถกถาตาลปุฏเถรคาถาที่ ๑

จบปรมัตถทีปนี

อรรถกถาเถรคาถา ปัญญาสนิบาต