๓. อานันทเถรคาถา ว่าด้วยความเป็นผู้ทรงธรรม
[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 300
เถรคาถา ติงสนิบาต
๓. อานันทเถรคาถา
ว่าด้วยความเป็นผู้ทรงธรรม
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 53]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 300
๓. อานันทเถรคาถา
ว่าด้วยความเป็นผู้ทรงธรรม
[๓๙๗] บัณฑิต ไม่ควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนที่ชอบส่อเสียด มักโกรธ ตระหนี่ และผู้ปรารถนาให้ผู้อื่นพินาศ เพราะการสมาคมกับคนชั่ว เป็นความลามก แต่บัณฑิต ควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนผู้มีศรัทธา มีศีลน่ารัก มีปัญญา และเป็นคนได้สดับเล่าเรียนมามาก เพราะการสมาคมกับคนดี ย่อมมีแต่ความเจริญอย่างเดียว เชิญดูร่างกายอันมีกระดูก ๓๐๐ ท่อน ซึ่งมีเอ็นใหญ่น้อยผูกขึ้น เป็นโครงตั้งไว้ อันบุญกรรมตบแต่งให้วิจิตร มีแผลทั่วทุกแห่ง กระสับกระส่าย คนโง่เขลาพากันดำริเป็นอันมาก ไม่มีความยั่งยืนตั้งมั่น พระอานนทเถระผู้โคดมโคตร เป็นผู้ได้สดับมามาก มีถ้อยคำไพเราะ เป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ปลงภาระลงแล้ว บรรลุอรหัต สำเร็จการนอน พระอานนทเถระสิ้นอาสวะแล้ว ปราศจากกิเลสเครื่องเกาะเกี่ยวแล้ว ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องแล้ว ดับสนิท ถึงฝั่งแห่งชาติและชรา ทรงไว้แต่ร่างกายอันมีในที่สุด ธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด บุคคลนั้นคือ พระอานนทเถระผู้โคตมะ ชื่อว่าย่อมตั้งอยู่ในมรรคเป็นทางไปสู่นิพพาน พระอานนทเถระได้เรียนธรรมจากพระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 301
พุทธเจ้ามา ๘๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ได้เรียนมาจากสำนักภิกษุมีพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น ๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์ จึงรวมเป็นธรรมที่คล่องปากขึ้นใจ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ คนที่เป็นชายมีการศึกษาเล่าเรียนมาน้อย ย่อมแก่เปล่า เหมือนกับโคที่มีกำลังแต่เขาไม่ได้ใช้งานฉะนั้น เนื้อย่อมเจริญแก่เขา ปัญญาไม่เจริญแก่เขา ผู้ใดเล่าเรียนมามาก ดูหมิ่นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อยด้วยการสดับ แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติตามที่เล่าเรียนมา ย่อมปรากฏแก่เรา เหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไปฉะนั้น บุคคลควรเข้าไปนั่งใกล้ผู้ที่ศึกษามามาก แต่ไม่ควรทำสุตะที่ตนได้มาให้พินาศ เพราะสุตะที่ตนได้มานั้น เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้นจึงควรเป็นผู้ทรงธรรม บุคคลผู้รู้อักษรทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย รู้อรรถแห่งภาษิต ฉลาดในนิรุตติและบท ย่อมเล่าเรียนธรรม ให้เป็นการเล่าเรียนดี และพิจารณาเนื้อความ เป็นผู้กระทำความพอใจด้วยความอดทน พยายามพิจารณา ตั้งความเพียร ในเวลาพยายามมีจิตตั้งมั่นด้วยดีในภายใน บุคคลควรคบหาท่านผู้เป็นพหูสูตทรงธรรม มีปัญญา เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หวังการรู้แจ้งธรรมเช่นนั้นเถิด บุคคลผู้เป็นพหูสูตทรงธรรมแห่งพระพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นดวงตาของโลกทั่วไป ผู้ที่เป็นพหูสูตนั้น เป็นผู้อันมหาชนควรบูชา ภิกษุมีธรรมเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในธรรม ค้นคว้าธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 302
ระลึกถึงธรรม ย่อมไม่เสื่อมไปจากสัทธรรม เมื่อกายและชีวิตของตนเสื่อมไป ภิกษุผู้หนักในความตระหนี่กาย ติดอยู่ด้วยความสุขทางร่างกาย ไม่ขวนขวายบำเพ็ญเพียร ความผาสุกทางสมณะจักมีแต่ที่ไหน ทิศทั้งหมดไม่ปรากฏ ธรรมทั้งหลายไม่แจ่มแจ้ง ในเมื่อท่านธรรมเสนาบดีผู้เป็นกัลยาณมิตรนิพพานแล้ว โลกทั้งหมดนี้ปรากฏเหมือนความมืดมน กายคตาสติย่อมนำมาซึ่งประโยชน์โดยส่วนเดียวฉันใด กัลยาณมิตรเช่นนั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้มีสหายล่วงลับไปแล้ว มีพระศาสดานิพพานไปแล้วฉันนั้น มิตรเก่าพากันล่วงลับไปแล้ว จิตของเราไม่สมาคมด้วยมิตรใหม่ วันนี้เราจะเพ่งฌานอยู่ผู้เดียว เหมือนกับนกที่อยู่ในรังในฤดูฝนฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระอานนท์ด้วยพระคาถา ๑ พระคาถา ความว่า
เธออย่าห้ามประชาชนเป็นอันมาก ที่พากันมาแต่ต่างประเทศ ในเมื่อล่วงเวลาเฝ้า เพราะประชุมชนเหล่านั้นเป็นผู้มุ่งจะฟังธรรม จงเข้ามาหาเราได้ เวลานี้เป็นเวลาที่จะเห็นเรา.
พระอานนทเถระจึงกล่าวเป็นคาถาต่อไปว่า
พระศาสดาผู้มีจักษุ ทรงประทานโอกาสให้ประชุมชนที่พากันมาแต่ต่างประเทศ ในเมื่อล่วงเวลาเฝ้า ไม่ทรงห้าม เมื่อเรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ๒๕ ปี กามสัญญาไม่เกิดขึ้นเลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 303
เรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ๒๕ ปี โทสสัญญาไม่เกิดขึ้นเลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี เราได้อุปัฏฐากพระผู้มีภาคเจ้าด้วยเมตตากายกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เราอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเมตตาวจีกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เราอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเมตตามโนกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดำเนินไป เราก็ได้เดินตามไปเบื้องพระปฤษฎางค์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ ญาณเกิดขึ้นแก่เรา เป็นผู้มีกิจที่จะต้องทำ ยังเป็นพระเสขะยังไม่บรรลุอรหัต พระศาสดาพระองค์ใดเป็นผู้ทรงอนุเคราะห์เรา พระศาสดาพระองค์นั้น ได้เสด็จปรินิพพานไปเสียก่อนแล้ว เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ถือความเป็นผู้ประเสริฐโดยอาการทั้งปวง เสด็จปรินิพพานแล้ว ครั้งนั้น ได้เกิดมีความหวาดเสียวและได้เกิดขนพองสยองเกล้า.
พระสังคีติกาจารย์เมื่อจะสรรเสริญพระอานนทเถระ ได้รจนาคาถา ๓ คาถา ความว่า
พระอานนท์เถระเป็นพหูสูต ทรงธรรม เป็นผู้รักษาคลังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาพระคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นดวงตาของโลกทั่วไป ปรินิพพานไปเสียแล้ว พระอานนทเถระเป็นพหูสูต ทรงธรรม เป็นผู้รักษาคลังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 304
เป็นดวงตาของชาวโลกทั่วไป เป็นผู้กำจัดความมืดมนที่เป็นเหตุทำให้เป็นดังคนตาบอดได้แล้ว พระอานนทเถระเป็นผู้มีคติ มีสติ และธิติ เป็นผู้แสวงคุณ เป็นผู้ทรงจำพระสัทธรรมไว้ได้ เป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะ.
พระอานนท์เถระ ก่อนแต่นิพพานได้กล่าวคาถา ความว่า
เรามีความคุ้นเคยกับพระศาสดา เราทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพได้แล้ว.
จบอานันทเถรคาถาที่ ๓
รวมพระเถระ
พระเถระ ๓ รูปนี้ คือ พระปุสสเถระ ๑ พระสารีบุตรเถระ ๑ พระอานนทเถระ ๑ ท่านนิพนธ์คาถาไว้ในติงสนิบาตนั้น รวม ๑๐๕ คาถา ฉะนั้นแล.
จบติงสนิบาต
อรรถกถาอานันทเถรคาถา
คาถาของท่านพระอานนทเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปิสุเณน จ โกธเนน ดังนี้. เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
ท่านพระอานนทเถระแม้นี้ เป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดเป็นพี่ชายต่างมารดาแห่งพระศาสดา ในหังสวดีนคร, ท่านได้มีชื่อว่า สุมนะ ส่วนพระบิดาของท่าน ได้มีพระนามว่า พระเจ้าอานันทะ. เมื่อสุมนกุมาร ผู้เป็นพระราชโอรสของตน เจริญวัยแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 305
พระองค์ได้ทรงพระราชทานเนื้อที่ให้ครอบครองพระนคร ประมาณได้ ๑๒๐ โยชน์ แห่งกรุงหังสวดี. พระราชกุมารนั้นบางคราวก็เสด็จมาเฝ้าพระศาสดา และพระราชบิดา. ในกาลนั้น พระราชาทรงบำรุงพระศาสดา และพระภิกษุสงฆ์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ รูป ด้วยพระองค์เอง. ไม่ยอมให้คนเหล่าอื่นบำรุงบ้าง.
สมัยนั้น ปัจจันตชนบท ได้มีการจลาจลขึ้น. พระราชกุมาร ไม่ยอมกราบบังคมทูลให้พระราชาได้ทรงทราบว่า ปัจจันตชนบทเกิดมีการจลาจล พระองค์เท่านั้น จัดการปราบจลาจลนั้นเสียจนสงบ. พระราชาทรงทราบเหตุการณ์นั้นแล้ว ทรงเบิกบานพระทัยยิ่งนัก รับสั่งเรียกหาพระราชโอรสมาแล้วตรัสว่า ลูกเอ๋ย พ่อจะให้พรแก่เจ้า เจ้าจงรับพรนะ. พระราชกุมารกราบบังคมทูลว่า หม่อมฉัน ต้องการจะใช้ชีวิตทำการบำรุงพระศาสดา และภิกษุสงฆ์ให้ตลอด ๓ เดือน. พระราชาตรัสว่า พรนั้นเจ้าไม่อาจจะทำ, จงกล่าวขออย่างอื่นเถิด. พระราชกุมาร กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ธรรมดาพระมหากษัตริย์ทั้งหลายไม่ตรัสถ้อยคำเป็นสอง. ขอจงพระราชทานพรนั้นแก่หม่อมฉันเถิด, หม่อมฉันไม่ต้องการสิ่งอื่น. พระราชาตรัสว่า ถ้าพระศาสดา ทรงอนุญาต, ก็จงให้ทานตามสบายเถิด. พระราชกุมารนั้นเสด็จไปยังพระวิหาร เพื่อประสงค์ว่าเราจักรู้ความคิดของพระศาสดา. ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำภัตกิจเสร็จสิ้นแล้ว จึงเสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี, พระราชกุมารนั้นจึงเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้ว ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เรามาเพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า, ขอท่านจงชี้พระผู้มีพระภาคเจ้าแก่เราเถิด. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า พระเถระชื่อว่า สุมนะเป็นอุปัฏฐาก, จงไปยังสำนักของพระเถระนั้นเถอะ. พระราชกุมารนั้น เข้าไปหาพระเถระแล้ว ถวาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 306
บังคมแล้วตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงแสดงพระศาสดาแก่เราเถิด. ลำดับนั้น พระเถระเมื่อพระราชกุมารนั้นเห็นอยู่นั่นแหละ จึงดำลงดินไปแล้ว เข้าเฝ้าพระศาสดากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชบุตรจะมาเฝ้าพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้ปูลาดอาสนะไว้ข้างนอก. พระเถระ ทั้งที่พระกุมารนั้นเห็นอยู่นั่นแหละ รับพุทธอาสน์แล้ว ดำลงภายในพระคันธกุฎีแล้ว ปรากฏภายนอกบริเวณให้ปูลาดอาสนะไว้บริเวณพระคันธกุฎี. พระกุมารเห็นเหตุนั้นแล้วเกิดความคิดขึ้นว่า พระเถระนี้สำคัญยิ่งนัก.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จออกจากพระคันธกุฎีแล้ว ประทับนั่งบนอาสนะที่พระเถระปูลาดแล้ว. พระราชบุตรถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ทำปฏิสันถารแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระรูปนี้เห็นทีจะมีความคุ้นเคยในพระศาสนาของพระองค์. พระศาสดาตรัสว่า ใช่แล้วกุมาร เป็นผู้มีความคุ้นเคย. พระราชกุมารตรัสถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้ทำอย่างไรจึงมีความคุ้นเคย. พระศาสดาตรัสว่า กระทำบุญทั้งหลาย มีทานเป็นต้นไว้. พระราชกุมารตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์จงเป็นผู้มีความคุ้นเคยในพระพุทธศาสนา ในอนาคตกาลเหมือนพระเถระรูปนี้เถิด แล้วถวายภัตตามขอบเขตกำหนดตลอด ๗ วันแล้ว ในวันที่ ๗ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้วาระบำรุงพระองค์ตลอด ๓ เดือน จากสำนักพระบิดาของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงยับยั้งอยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือน เพื่อข้าพระองค์เถิด, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาว่า ประโยชน์ในการไปในที่นั้น จะมีหรือไม่หนอ ทรงเห็นว่ามี จึงตรัสว่า กุมาร พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมยินดียิ่ง ในเรือนว่างเปล่าแล. พระกุมารตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 307
ข้าพระองค์ทราบพระดำรัสแล้ว, ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้าพระองค์ทราบพระดำรัสแล้ว, ดังนี้แล้ว ให้พระพุทธเจ้ารับปฏิญญาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไปถึงแล้ว ก่อนอื่นจะให้คนสร้างวิหาร, เมื่อข้าพระองค์ส่งข่าวสาสน์แล้ว ขอพระองค์จงเสด็จมาพร้อมกับภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป ดังนี้แล้ว ไปเฝ้าพระราชบิดาแล้ว ถวายบังคมพระราชบิดา ด้วยพระดำรัสว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้ปฏิญญาแก่ข้าพระองค์แล้ว, เมื่อข้าพระองค์ส่งข่าวสาสน์ไปแล้ว พึงได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแน่ ดังนี้แล้วจึงออกไป เมื่อจะสร้างวิหารในเนื้อที่ทุกๆ โยชน์ เสด็จไปสู่หนทางไกลถึง ๑๒๐ โยชน์. ก็ครั้นเสด็จไปแล้ว พิจารณาถึงสถานที่สร้างวิหารในพระนครของพระองค์ เห็นอุทยานของโสภณกุฎุมพี จึงซื้อด้วยทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ แล้วสละทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ ให้สร้างวิหาร. ครั้นให้สร้างพระคันธกุฎีสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า และให้สร้างกุฎีที่เร้นและมณฑป เพื่อเป็นที่พักกลางคืนและกลางวันสำหรับหมู่ภิกษุที่เหลือในที่นั้นแล้ว ให้ตั้งกำแพงล้อมรอบ และซุ้มประตูแล้ว จึงส่งสาสน์ไปยังสำนักพระราชบิดาว่า การงานของข้าพระองค์เสร็จแล้ว, ขอพระองค์ จงส่งสาสน์ไปยังพระศาสดา.
พระราชาทรงนิมนต์ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า การงานของสุมนะสำเร็จแล้ว, บัดนี้ หวังการเสด็จไปของพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป แวดล้อมแล้ว ได้เสด็จไปประทับอยู่ในวิหารทุกๆ โยชน์. พระกุมารทรงทราบว่า พระศาสดาจะเสด็จมา จึงเสด็จไปต้อนรับในที่โยชน์หนึ่ง นำเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้นบูชา นิมนต์ให้เสด็จเข้าไปยังวิหารที่สร้างด้วยทรัพย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 308
๑๐๐,๐๐๐ ในอุทยานชื่อว่า โสภณะ ที่ซื้อด้วยทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ แล้วมอบถวายวิหารนั้น ด้วยพระดำรัสว่า:-
ข้าแต่พระมหามุนีเจ้า ขอพระองค์จงทรงรับอุทยานชื่อโสภณะ ที่ข้าพระองค์ซื้อด้วยทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ แล้วสร้างด้วยทรัพย์ ๑๐๐,๐๐๐ เถิด.
ในวันเข้าพรรษา พระกุมารนั้นยังมหาทานให้เป็นไปแล้ว มอบหมายหน้าที่การงานให้บุตรและภรรยา อีกทั้งพวกอำมาตย์ ด้วยพระดำรัสว่า พวกท่านพึงให้ทาน โดยทำนองนี้แหละ แล้วพระองค์เองก็อยู่ในที่ใกล้สถานที่อยู่ของพระสุมนเถระนั่นแล ทำการบำรุงพระศาสดาตลอด ๓ เดือน เมื่อใกล้ถึงวันปวารณา จึงเข้าไปสู่บ้านแล้ว ยังมหาทานให้เป็นไปตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ จึงจัดวางผ้าไตรจีวรทั้งหลาย ที่แทบพระบาทพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ รูปแล้ว ถวายบังคม ตั้งปณิธานว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ทำบุญมาตั้งแต่การให้ทานตามเขตกำหนดตลอด ๗ วัน ขอผลบุญอันนั้น อย่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ แก่สวรรค์สมบัติเป็นต้นเลย โดยที่แท้ขอให้ข้าพระองค์พึงได้เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่งในอนาคตกาล เหมือนพระสุมนเถระรูปนี้เถิด. แม้พระศาสดา ก็ทรงเห็นว่า ความปรารถนาของพระกุมารนั้นหาอันตรายมิได้ จึงตรัสพยากรณ์แล้วเสด็จหลีกไป.
แม้พระราชกุมารนั้น ทรงบำเพ็ญบุญมากมาย ตลอด ๑๐๐,๐๐๐ ปีในพุทธุปบาทกาลนั้นแล้ว แม้ที่ยิ่งไปกว่านั้น ก็ทรงสะสมบุญกรรมอันโอฬารในภพนั้นๆ แล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ ได้ถวายผ้าอุตตรสาฎกเพื่อเป็นถลกบาตรแก่พระเถระรูปหนึ่ง ผู้กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ แล้วได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 309
ทรงทำการบูชา. บังเกิดในสวรรค์อีกครั้งแล้ว จุติจากสวรรค์นั้น ไปเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสี ทรงพบพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ นิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น บริโภคแล้ว ให้ช่างสร้างบรรณศาลา ๘ หลัง ในมงคลอุทยานของตนแล้ว ให้ตบแต่งตั่งที่สำเร็จล้วนด้วยรัตนะ และที่รองเป็นแก้วมณี ๘ ที่ เพื่อเป็นที่นั่งของพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้ทำการบำรุงตลอด ๑๐,๐๐๐ ปี. สถานที่เหล่านั้น ยังปรากฏอยู่.
ก็เมื่อพระราชาทรงบำเพ็ญบุญเป็นอันมาก ในภพนั้นๆ ตลอดแสนกัป จึงได้บังเกิดในดุสิตบุรี พร้อมกับพระโพธิสัตว์ของพวกเรา จุติจากดุสิตนั้นแล้ว บังเกิดในวังของอมิโตทนะศากยวงศ์ ได้มีพระนามว่า อานนท์ เพราะท่านเกิดแล้ว ทำให้หมู่ญาติทั้งหมดได้รับความยินดีเพลิดเพลิน. ท่านเจริญวัยโดยลำดับแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกอภิเนษกรมณ์แล้วบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวรให้เป็นไป แล้วเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งแรก เสด็จออกจากกรุงนั้น (ท่านอานนท์) ออกไปพร้อมกับเจ้าภัททิยะเป็นต้น ออกไปเพื่อบวชเป็นบริวารของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น บวชแล้วในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อกาลไม่นานนัก ได้ฟังธรรมกถาในสำนักของท่านพระปุณณมันตาณีบุตรแล้วดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
ก็สมัยนั้น ตลอดเวลา ๒๐ ปี ในปฐมโพธิกาล ไม่มีอุปัฏฐากประจำสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า. บางคราว พระนาคสมาละ ก็รับบาตรและจีวร ตามเสด็จไป, บางคราว พระนาคิตะ, บางคราว พระอุปวานะ, บางคราว พระสุนักขัตตะ, บางคราว พระจุนทสมณุทเทส, บางคราว พระสาคตะ, บางคราว พระเมฆิยะ, โดยมาก ท่านเหล่านั้นมิได้ทำจิตของพระศาสดาให้ยินดีโปรดปรานเลย. ครั้นวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 310
มีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดไว้ ที่บริเวณพระคันธกุฎีแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเป็นคนแก่, ภิกษุบางพวก เมื่อเรากล่าวว่า เราจะไปทางนี้ บัดนี้ ก็กลับไปทางอื่นเสีย. ภิกษุบางพวก วางบาตรและจีวรของเราไว้ที่ภาคพื้น, พวกเธอจงรู้ภิกษุผู้จะอุปัฏฐากเราเป็นประจำ. เพราะได้ฟังพระดำรัสนั้น ธรรมสังเวชเกิดขึ้นแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย. ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกขึ้น ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอุปัฏฐากบำรุงพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสห้ามท่านพระสารีบุตร. พระมหาสาวกทั้งหมด เริ่มต้นแต่พระมหาโมคคัลลานะไป เว้นท่านพระอานนท์เสีย พากันลุกขึ้นกราบทูลโดยอุบายนั้นว่า ข้าพระองค์ จักอุปัฏฐาก, ข้าพระองค์ จักอุปัฏฐาก ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสห้ามพระสาวกแม้เหล่านั้นเสีย. ส่วนพระอานนท์นั้น ได้นั่งนิ่งแล้วทีเดียว. ลำดับนั้น พวกภิกษุกล่าวกะท่านพระอานนท์นั้นว่า ผู้มีอายุ แม้ท่านก็จงทูลขอตำแหน่งการอุปัฏฐากประจำพระศาสดาเถิด. พระอานนท์กล่าวว่า ถ้าทูลขอได้ตำแหน่งมาแล้วจะเป็นเช่นไร. ถ้าชอบใจ, พระศาสดา ก็จักตรัสเอง. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าอื่น จะพึงให้อานนท์อุตสาหะขึ้นไม่ได้, ตนเองเท่านั้น ทราบแล้ว จักอุปัฏฐากเรา, ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลาย พากันกล่าวว่า อานนท์ผู้มีอายุ เธอจงลุกขึ้น จงทูลขอตำแหน่งอุปัฏฐากกะพระศาสดาเถิด.
พระเถระลุกขึ้นแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ให้จีวรอันประณีตที่พระองค์ได้แล้วแก่ข้าพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 311
จักไม่ให้บิณฑบาตอันประณีต, จักไม่ให้เพื่ออยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกัน, รับนิมนต์แล้ว จักไม่ไป, ข้าพระองค์จักอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง. พระอานนท์ ได้เป็นผู้อุปัฏฐากประจำ รับพร ๘ ประการ คือ ข้อห้าม ๔ ประการเหล่านี้ เพื่อปลดเปลื้องคำติเตียนว่า เมื่อพระศาสดาได้รับคุณมีประมาณเท่านี้, ภาระอะไร ในการที่จะอุปัฏฐาก, พระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จักเสด็จไปยังที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับแล้ว, ถ้าเมื่อมีคนพากันมาจากที่ไกล ข้าพระองค์จักได้เพื่อเข้าเฝ้าในทันทีทีเดียว. เมื่อข้าพระองค์เกิดความสงสัยขึ้น จักได้เพื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทันทีทีเดียว, ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า จักทรงแสดงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วลับหลัง แก่ข้าพระองค์ซ้ำอีก ข้าพระองค์จักอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าทันที การทูลขอพร ๔ ประการเหล่านี้ เพื่อปลดเปลื้องคำติเตียนพระอานนท์ ย่อมไม่ได้การอนุเคราะห์ในสำนักของพระศาสดา แม้ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล. และเพื่อบำเพ็ญบารมีความเป็นธรรมภัณฑาคาริกให้บริบูรณ์ว่า พระอานนท์บรรลุผลแห่งบารมีที่บำเพ็ญมาตลอดแสนกัป ก็เพื่อประโยชน์แก่ตำแหน่งนั้นนั่นแหละแล้ว, ท่านตั้งแต่วันที่ได้ตำแหน่งอุปัฏฐากแล้ว เมื่อจะอุปัฏฐากพระทศพลด้วยกิจทั้งหลาย เป็นต้นอย่างนี้ว่า ด้วยน้ำ ๒ ชนิด, ด้วยไม้สีฟัน ๓ ชนิด, ด้วยการบริกรรมมือและเท้า, ด้วยการบริกรรมหลัง, ด้วยการปัดกวาดบริเวณพระคันธกุฎี ดังนี้ ก็ทราบว่า เวลานี้พระศาสดาควรจะได้สิ่งนี้, และควรจะทำสิ่งนี้ถวาย ดังนี้ เป็นผู้เฝ้าสำนักตลอดกลางวัน ในเวลากลางคืนก็ตามประทีปใหญ่ไว้ คอยรักษาเหตุการณ์บริเวณพระคันธกุฎี ๙ ครั้ง เมื่อพระศาสดาตรัสเรียก ก็รีบถวายคำตอบ เพื่อบรรเทาถีนมิทธนิวรณ์เสีย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 312
ลำดับนั้น พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยสงฆ์ในพระเชตวันแล้ว ทรงสรรเสริญท่านพระอานนท์ โดยอเนกปริยายแล้ว ทรงตั้งไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีสติ ผู้มีคติ ผู้มีธิติ และผู้อุปัฏฐาก. พระอานนท์ ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งเอตทัคคะในฐานะ ๕ ประการจากพระศาสดาอย่างนี้แล้ว ประกอบด้วยอัจฉริยอัพภูตธรรม ๔ ประการ เป็นผู้รักษาคลังพระธรรมของพระศาสดา พระมหาเถระรูปนี้ ถึงจะยังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ก็ตาม แต่เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ภายหลังถูกหมู่ภิกษุกระตุ้นให้อาจหาญแล้ว และถูกเทวดาทำให้เกิดสังเวชแล้ว โดยนัยดังที่กล่าวมาแล้ว จึงได้เกิดความอุตสาหะขึ้นว่า ก็กาลพรุ่งนี้แล้วซิหนอ พระมหาเถระทั้งหลาย จะทำการร้อยกรองพระธรรมวินัยกัน, ข้อที่เราเป็นพระเสขบุคคล เป็นผู้มีกิจที่จะต้องทำ จะเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อร้อยกรองพระธรรมวินัยร่วมกับพระเถระอเสขบุคคลทั้งหลาย ไม่สมควรแก่เราเลยหนอ ดังนี้ จึงเริ่มเจริญวิปัสสนา บำเพ็ญวิปัสสนาทั้งกลางวันและคืน ไม่ได้ความเพียรที่สม่ำเสมอในการเดินจงกรม จึงไปสู่วิหาร นั่งบนที่นอน ประสงค์จะนอนพักผ่อน จึงเอนกายลง. ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน เท้าทั้งสองข้างเพียงพ้นจากพื้น ในระหว่างนั้น จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่น เป็นผู้ได้อภิญญา ๖. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า (๑) :-
พระมหามุนีพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จออกจากประตูพระอารามแล้ว ทรงยังเมล็ดฝนอมฤตให้ตกอยู่ ยังมหาชนให้เย็นสบาย พระขีณาสพผู้เป็นนักปราชญ์เหล่านั้นประมาณตั้งแสน ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก
๑. ขุ. อุ. ๓๒/ข้อ ๑๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 313
แวดล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดุจพระฉายาตามพระองค์ฉะนั้น เวลานั้น เราอยู่บนคอช้าง ทรงไว้ซึ่งฉัตรขาวอันประเสริฐสุด ปีติย่อมเกิดแก่เราเพราะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีรูปงาม เราลงจากคอช้างแล้ว เข้าไปเฝ้าพระนราสภ ได้กั้นฉัตรแก้วของเราถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระมหาฤาษีพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงทราบความดำริของเราแล้ว ทรงหยุดกถานั้นไว้ แล้วได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดได้กั้นฉัตรอันประดับด้วยเครื่องอลังการทอง เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว สัตว์ผู้นี้ไปจากมนุษยโลกนี้ จักครอบครองดุสิต จักเสวยสมบัติมีนางอัปสรทั้งหลายแวดล้อม จักเสวยเทวราชสมบัติ ๓๔ ครั้ง จักเป็นอธิบดีแห่งชน ครอบครองแผ่นดิน ๘๐๐ ครั้ง จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๘ ครั้ง จักเสวยราชสมบัติในประเทศราชอันไพบูลย์ในแผ่นดิน ในแสนกัปพระศาสดาพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นี้จักเป็นโอรสแห่งพระญาติของพระพุทธเจ้าผู้เป็นธงชัยแห่งสกุลศากยะ จักเป็นพุทธอุปัฏฐาก มีชื่อว่า อานนท์ จักมีความเพียร ประกอบด้วยปัญญา ฉลาดในพาหุสัจจะ มีความประพฤติอ่อนน้อม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 314
ไม่กระด้าง ชำนาญในบาลีทั้งปวง พระอานนท์นั้นมีตนส่งไปแล้วเพื่อความเพียร สงบระงับไม่มีอุปธิ จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว จักไม่มีอาสวะนิพพาน มีช้างกุญชรอยู่ในป่า อายุ ๖๐ ปี ตกมันสามครั้ง เกิดในตระกูลช้างมาตังคะ มีงางอนงาม ควรเป็นราชพาหนะฉันใด แม้บัณฑิตทั้งหลายก็ฉันนั้น ประมาณได้หลายแสนมีฤทธิ์มากทั้งหมดนั้น ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ เป็นผู้ไม่มีกิเลส เราจักนมัสการทั้งยามต้น ในยามกลาง และในยามสุด เรามีจิตผ่องใส ปลื้มใจ บำรุงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เรามีความเพียร ประกอบด้วยปัญญา มีสติสัมปชัญญะ บรรลุโสดาปัตติผล ฉลาดในเสขภูมิ ในแสนกัปแต่กัปนี้ เราก่อสร้างกรรมใด เราบรรลุถึงภูมิแห่งกรรมนั้นแล้ว ศรัทธาตั้งมั่นแล้วมีผลมาก การมาในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดของเรา เป็นการมาดีหนอ... ฯลฯ...พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.
ก็ท่านพระอานนท์ เป็นผู้ได้อภิญญา ๖ เข้าไปสู่มณฑปสำหรับสังคายนา เมื่อจะสังคายนาพระธรรม จึงทำการแยกกล่าวคาถาภาษิตไว้แผนกหนึ่ง ด้วยมุ่งที่จะให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นๆ และมุ่งที่จะประกาศข้อปฏิบัติของตนเป็นต้น ในเวลาที่จะทำการสังคายนาขุททกนิกายตามลำดับ เมื่อจะยกขึ้นสู่สังคายนา ในเถรคาถา จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 315
บัณฑิต ไม่ควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนที่ชอบส่อเสียด มักโกรธ ตระหนี่ และผู้ปรารถนาให้ผู้อื่นพินาศ เพราะการสมาคมกับคนชั่ว เป็นความลามก แต่บัณฑิตควรทำตนให้เป็นมิตรสหายกับคนผู้มีศรัทธา มีศีลน่ารัก มีปัญญา และเป็นคนได้สดับเล่าเรียนมามาก เพราะการสมาคมกับคนดี ย่อมมีแต่ความเจริญอย่างเดียว เชิญดูร่างกายอันมีกระดูก ๓๐๐ ท่อน ซึ่งมีเอ็นใหญ่น้อยผูกขึ้นเป็นโครงตั้งไว้ อันบุญกรรมตบแต่งให้วิจิตร มีแผลทั่วทุกแห่ง กระสับกระส่าย คนโง่เขลาพากันดำริเป็นอันมาก ไม่มีความยั่งยืนตั้งมั่น พระอานนทเถระผู้โคตมโดยโคตร เป็นผู้ได้สดับมามาก มีถ้อยคำไพเราะ เป็นผู้อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ปลงภาระลงแล้ว บรรลุอรหัต สำเร็จการนอน พระอานนทเถระสิ้นอาสวะแล้ว ปราศจากกิเลสเครื่องเกาะเกี่ยวแล้ว ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องแล้ว ดับสนิท ถึงฝั่งแห่งชาติและชรา ทรงไว้แต่ร่างกายอันมีในที่สุด ธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระอาทิตย์ ตั้งอยู่แล้วในบุคคลใด บุคคลนั้น คือพระอานนทเถระผู้โคตมะ ชื่อว่าย่อมตั้งอยู่ในมรรค เป็นทางไปสู่นิพพาน พระอานนทเถระได้เรียนธรรมจากพระพุทธเจ้ามา ๘๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ได้เรียนมาจากสำนักภิกษุมีพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น ๒,๐๐๐ ธรรมขันธ์ จึงรวมเป็นธรรมที่คล่องปากขึ้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 316
ใจ ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ คนที่เป็นชายมีการศึกษาเล่าเรียนมาน้อย ย่อมแก่เปล่า เหมือนกับโคที่มีกำลังแต่เขาไม่ได้ใช้งานฉะนั้น เนื้อย่อมเจริญแก่เขา ปัญญาไม่เจริญแก่เขา ผู้ใดเล่าเรียนมามาก ดูหมิ่นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน้อยด้วยการสดับ แต่เขาไม่ปฏิบัติตามที่เล่าเรียนมา ย่อมปรากฏแก่เรา เหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไปฉะนั้น บุคคลควรเข้าไปนั่งใกล้ผู้ที่ศึกษามามาก แต่ไม่ควรทำสุตะที่ตนได้มาให้พินาศ เพราะสุตะที่ตนได้มานั้น เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้น จึงควรเป็นผู้ทรงธรรม บุคคลผู้รู้อักษรทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย รู้อรรถแห่งภาษิต ฉลาดในนิรุตติและบท ย่อมเล่าเรียนธรรมให้เป็นการเล่าเรียนดี และพิจารณาเนื้อความ เป็นผู้กระทำความพอใจด้วยความอดทน พยายามพิจารณา ตั้งความเพียร ในเวลาพยายามมีจิตตั้งมั่นด้วยดีในภายใน บุคคลควรคบหาท่านผู้เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีปัญญา เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หวังการรู้แจ้งธรรมเช่นนั้นเถิด บุคคลผู้เป็นพหูสูตทรงธรรม เป็นผู้รักษาคลังพระธรรมแห่งพระพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นดวงตาของโลกทั่วไป ผู้ที่เป็นพหูสูตนั้น เป็นผู้อันมหาชนควรบูชา ภิกษุมีธรรมเป็นพหูสูตยินดี ยินดีแล้วในธรรม ค้นคว้าธรรม ระลึกถึงธรรม ย่อมไม่เสื่อมไปจากสัทธรรม เมื่อกายและชีวิตของตนเสื่อมไป ภิกษุผู้หนักในความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 317
ตระหนี่กาย ติดอยู่ด้วยความสุขทางร่างกาย ไม่ขวนขวายบำเพ็ญเพียร ความผาสุกทางสมณะจักมีแต่ที่ไหน ทิศทั้งหมดไม่ปรากฏ ธรรมทั้งหลายไม่แจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้า ในเมื่อท่านธรรมเสนาบดีผู้เป็นกัลยาณมิตรนิพพานแล้ว โลกทั้งหมดนี้ปรากฏเหมือนความมืดมน กายคตาสติย่อมนำมาซึ่งประโยชน์โดยส่วนเดียวฉันใด กัลยาณมิตรเช่นนั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้มีสหายล่วงลับไปแล้ว มีพระศาสดานิพพานไปแล้วฉันนั้น มิตรเก่าพากันล่วงลับไปแล้ว จิตของเราไม่สมาคมด้วยมิตรใหม่ วันนี้เราจะเพ่งฌานอยู่ผู้เดียว เหมือนกับนกที่อยู่ในรังในฤดูฝนฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระอานนท์ด้วยพระคาถา ๑ พระคาถา ความว่า
เธออย่าห้ามประชาชนเป็นอันมาก ที่พากันมาแต่ต่างประเทศ ในเมื่อล่วงเวลาเฝ้า เพราะประชุมชนเหล่านั้นเป็นผู้มุ่งจะฟังธรรม จงเข้ามาหาเราได้ เวลานี้เป็นเวลาที่จะเห็นเรา.
พระอานนท์เถระจึงกล่าวเป็นคาถาต่อไปว่า
พระศาสดาผู้มีจักษุ ทรงประทานโอกาสให้ประชุมชนที่พากันมาแต่ต่างประเทศ ในเมื่อล่วงเวลาเฝ้า ไม่ทรงห้าม เมื่อเรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ๒๕ ปี กามสัญญาไม่เกิดขึ้นเลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี เมื่อเรายังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ ๒๕ ปี โทสสัญญาไม่เกิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 318
ขึ้นเลย เชิญดูความที่ธรรมเป็นธรรมดี เราได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเมตตากายกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เราอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเมตตาวจีกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เราอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเมตตามโนกรรม เหมือนพระฉายาติดตามพระองค์อยู่ ๒๕ ปี เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดำเนินไป เราก็ได้เดินตามไปเบื้องพระปฤษฎางค์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ ฌานเกิดขึ้นแก่เรา เราเป็นผู้มีกิจที่จะต้องทำ ยังเป็นพระเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัต พระศาสดาพระองค์ใดเป็นผู้ทรงอนุเคราะห์เรา พระศาสดาพระองค์นั้น ได้เสด็จปรินิพพานไปเสียก่อนแล้ว เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ถือความเป็นผู้ประเสริฐโดยอาการทั้งปวงเสด็จปรินิพพานแล้ว ครั้งนั้น ได้เกิดมีความหวาดเสียวและได้เกิดขนพองสยองเกล้า.
พระสังคีติกาจารย์เมื่อจะสรรเสริญพระอานนทเถระ ได้รจนาคาถา ๓ คาถา ความว่า
พระอานนทเถระเป็นพหูสูต ทรงธรรม เป็นผู้รักษาคลังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาพระคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นดวงตาของโลกทั่วไป ปรินิพพานไปเสียแล้ว พระอานนทเถระเป็นพหูสูต ทรงธรรม เป็นผู้รักษาคลังพระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 319
ใหญ่ เป็นดวงตาของชาวโลกทั่วไป เป็นผู้กำจัดความมืดมนที่เป็นเหตุทำให้เป็นดังคนตาบอดได้แล้ว พระอานนทเถระเป็นผู้มีคติ มีสติ และธิติ เป็นผู้แสวงคุณ เป็นผู้ทรงจำพระสัทธรรมไว้ได้ เป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะ.
พระอานนท์เถระ ก่อนแต่นิพพานได้กล่าวคาถา ความว่า
เรามีความคุ้นเคยกับพระศาสดา เราทำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพได้แล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น คาถา ๒ คาถาเริ่มต้นว่า ปิสุเณน จ ความว่า บัณฑิตเป็นพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ผู้ทำการคลุกคลีกันกับพวกภิกษุฝ่ายพระเทวทัตแล้ว กล่าวโดยมุ่งที่จะให้โอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปิสุเณน ได้แก่ ด้วยวาจาส่อเสียด. จริงอยู่ บุคคลผู้ประกอบด้วยวาจานั้น ท่านเรียกว่า ปิสุณะ เพราะเปรียบเหมือนผ้าสีเขียวประกอบด้วยส่วนสีเขียว. บทว่า โกธเนน แปลว่า มีความโกรธเป็นปกติ. ชื่อว่าผู้ตระหนี่ เพราะมีความตระหนี่อันมีลักษณะปกปิดสมบัติของตน.
บทว่า วิภูตนนฺทินา ความว่า ผู้ปรารถนาจะทำสมบัติที่ปรากฏชัดของปวงสัตว์ให้พินาศไป หรือผู้ปรารถนาจะให้สมบัติที่ปรากฏชัดนั้นแยกเป็นแผนกจากกัน, คำทั้งหมดนั้น ท่านกล่าวประสงค์ถึงพวกภิกษุฝ่ายพระเทวทัตเท่านั้น. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น ผู้ถูกความตระหนี่ครอบงำ มีแต่ความตระหนี่กล้าแข็งเป็นต้น พากันทำลายเหล่าชนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 320
ชอบเป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะแสดงวัตถุ ๕ ประการ เพราะตนทำพระศาสดาไว้ภายนอก ดำเนินการเพื่อความพินาศแก่มหาชนเป็นอันมาก.
บทว่า สขิตํ ความว่า ไม่ควรทำตนให้เป็นสหาย คือให้มีความคลุกคลีกัน, เพราะเหตุไร? เพราะการสมาคมกับคนชั่ว เป็นความลามก คือการสมาคมกับคนชั่ว คือคนบาป เป็นความเลวทรามต่ำช้า. จริงอยู่ คนที่เอาเยี่ยงอย่างคนพาลนั้น ก็มีแต่จะนำเอาลักษณะคนพาล มีความคิดถึงเรื่องที่คิดแล้วชั่วเป็นต้น เป็นประเภทมาให้, จะป่วยกล่าวไปไย ถึงคนที่ทำตามคำพูดของคนพาลเหล่านั้นเล่า. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยบางอย่างที่จะเกิดขึ้น, ภัยเหล่านั้นทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะคนพาล, มิใช่เกิดขึ้นเพราะบัณฑิตเลย ดังนี้เป็นต้น.
ก็เพื่อจะแสดงถึงบุคคล ที่บัณฑิตจะพึงทำความเกี่ยวข้องด้วย ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า สทฺเธน จ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺเธน ความว่า ผู้ประกอบพร้อมด้วยความเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม และด้วยความเชื่อในพระรัตนตรัย.
บทว่า เปสเลน ได้แก่ มีศีลน่ารัก คือสมบูรณ์ด้วยศีล.
บทว่า ปญฺวตา ความว่า มีความสมบูรณ์ด้วยปัญญา ด้วยอำนาจปัญญาเครื่องรู้แจ้งแทงตลอดซึ่งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป.
บทว่า พหุสฺสุเตน ความว่า ผู้ได้สดับเล่าเรียนมามาก เพราะบริบูรณ์ด้วยพาหุสัจจะจนถึงปริยัติและปฏิเวธ.
บทว่า ภทฺโท อธิบายว่า การเกี่ยวข้องกับคนดีเช่นนั้น เป็นความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 321
เจริญ เป็นความดี เป็นความงาม ย่อมนำมาซึ่งประโยชน์อันต่างด้วยประโยชน์ในโลกนี้เป็นต้น.
คาถา ๗ คาถา มีคำเริ่มต้นว่า ปสฺส จิตฺตกตํ ดังนี้ ความว่า เมื่อนางอุตตราอุบาสิกาเกิดกามสัญญาขึ้น เพราะได้เห็นรูปสมบัติของท่าน ท่านกล่าวคาถาไว้ก็เพื่อจะให้เกิดการตัดความพอใจในร่างกายได้. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพื่อจะให้โอวาทแก่เหล่าภิกษุผู้มีจิตฟุ้งซ่าน เพราะได้เห็นนางอัมพปาลีคณิกา ดังนี้ก็มี. คาถานั้นมีเนื้อความตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
คาถา ๒ คาถา มีคำเริ่มต้นว่า พหุสฺสุโต จิตฺตกถี พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว กล่าวไว้ด้วยอำนาจอุทาน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริจารโก คือเป็นผู้อุปัฏฐาก. คำว่า เสยฺยํ กปฺเปติ นี้ ท่านกล่าวไว้ เพราะพระอานนท์นอนในลำดับต่อจากการบรรลุพระอรหัต. จริงอยู่ พระเถระยังราตรีเป็นอันมากให้ผ่านพ้นไปด้วยการจงกรมแล้ว จึงเข้าไปสู่ห้อง เพื่อจะให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นแล้ว นั่งบนเตียงเพื่อจะนอน พอเท้าสองข้างพ้นจากพื้น แต่ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน, ในทันทีนั้น ท่านก็บรรลุพระอรหัต แล้วจึงนอน.
บทว่า ขีณาสโว ความว่า ท่านสิ้นอาสวะทั้ง ๔ ได้แล้ว ต่อแต่นั้นนั่นแหละ ท่านก็ปราศจากโยคะทั้ง ๔ ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องได้แล้ว เพราะล่วงพ้นจากเครื่องข้องคือราคะเป็นต้นได้, เป็นผู้ดับสนิท คือ เย็น เพราะสงบระงับความเร่าร้อนคือกิเลสได้สิ้นเชิง.
คาถาว่า ยสฺมึ ปติฏฺิตา ธมฺมา ท้าวมหาพรหมขีณาสพกล่าวไว้ เพราะมุ่งเจาะจงพระเถระ. จริงอยู่ เมื่อการทำสังคายนาพระธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 322
จวนใกล้เข้ามาแล้ว ภิกษุทั้งหลายจึงกล่าวว่า ภิกษุรูปหนึ่งย่อมฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมอบอวลดังนี้ เจาะจงพระเถระ. ลำดับนั้น เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้ว พระเถระจึงมายังประตูถ้ำสัตตบรรณคูหา เพื่อให้สงฆ์พร้อมเพรียงกัน ท้าวมหาพรหมชั้นสุทธาวาส เมื่อจะให้ภิกษุเหล่านั้นละอายด้วยการประกาศความเป็นพระขีณาสพของพระอานนท์ จึงกล่าวคาถาว่า ยสฺมึ ปติฏฺิตา ธมฺมา ดังนี้เป็นต้น, ความแห่งคาถานั้นว่า :- ธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้า คือของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้แก่ ปฏิเวธธรรม และปริยัติธรรม ที่พระองค์เท่านั้นบรรลุแล้ว และประกาศแล้ว ตั้งอยู่แล้วในบุรุษผู้วิเศษใด, บุรุษผู้วิเศษนี้นั้น คือพระอานนท์ผู้โคตมโคตร ผู้เป็นธรรมภัณฑาคาริก บัดนี้ตั้งอยู่แล้วในมรรคอันเป็นทางไปส่อนุปาทิเสสนิพพาน เพราะท่านได้บรรลุสอุปาทิเสสนิพพานแล้ว คือเป็นผู้มีส่วนแห่งนิพพานนั้นแน่นอน.
ครั้นวันหนึ่ง พราหมณ์ชื่อว่าโคปกโมคคัลลานะ เรียนถามพระเถระว่า ท่านเป็นผู้ปรากฏในพระพุทธศาสนาว่า เป็นพหูสูต, ธรรมทั้งหลายมีประมาณเท่าใดที่พระศาสดาได้ตรัสแล้วแก่ท่าน, ที่ท่านทรงจำไว้แล้ว? พระเถระเมื่อจะให้คำตอบแก่พราหมณ์นั้น จึงกล่าวคาถาว่า ทฺวาสีติ ดังนี้เป็นต้น. ในคำว่า ทฺวาสีติ นั้น มีโยชนาแก้ว่า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์. บทว่า พุทฺธโต คณฺหึ ความว่า ได้เล่าเรียนมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือได้เรียนมาจากสำนักของพระศาสดา ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์. บทว่า เทฺว สหสฺสานิ ภิกฺขุโต ความว่า ได้เล่าเรียนจากสำนักภิกษุ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คือได้เล่าเรียนจากสำนักภิกษุทั้งหลาย มีพระธรรมเสนาบดีเป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 323
บทว่า จตุราสีติสหสฺสานิ ได้แก่ รวมทั้ง ๒ สำนักนั้นได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์. บทว่า เย เม ธมฺมาปวตฺติโน ความว่า พระธรรมขันธ์มีประมาณตามที่ได้กล่าวไว้แล้วของข้าพเจ้า ช่ำชอง คล่องปาก ติดอยู่ที่ปลายลิ้น.
ในกาลครั้งหนึ่ง พระเถระบวชในพระศาสนาแล้ว เห็นคนคนหนึ่งผู้ไม่ประกอบในวิปัสสนาธุระและคันถธุระแล้ว เมื่อจะประกาศโทษในเพราะความไม่มีพาหุสัจจะ จึงกล่าวคาถาว่า อปฺปสฺสุตายํ ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปสฺสุตายํ ความว่า คนที่มีการศึกษาเล่าเรียนมาน้อย เพราะไม่มีการเล่าเรียนพระสูตร ๑ สูตร, ๒ สูตร, หรือ ๕๐ สูตร, อีกอย่างหนึ่ง เพราะไม่มีการเล่าเรียนพระสูตร ๑ สูตร, หรือ ๒ สูตร, โดยที่สุดแม้พระสูตร ๑ วรรค แต่เขาพากเพียรเรียนกัมมัฏฐาน ก็ชื่อว่าเป็นพหูสูตได้. บทว่า พลิพทฺโทว ชีรติ ความว่า เปรียบเหมือนโคที่มีกำลัง มีชีวิต เจริญเติบโตมิใช่เพื่อเป็นแม่โค หรือพ่อโค, ไม่เจริญเพื่อประโยชน์แก่หมู่ญาติที่เหลือ, ที่แท้ ย่อมแก่เปล่าไร้ประโยชน์ฉันใด แม้คนนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่ทำอุปัชฌายวัตร, อาจริยวัตร, และอาคันตุกวัตรเป็นต้น, ไม่ประกอบความเพียรบำพ็ญภาวนา, ก็มีแต่แก่เปล่าไร้ประโยชน์. บทว่า มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนฺติ ความว่า เปรียบเหมือนเมื่อโคที่มีกำลัง ถูกเจ้าของปล่อยไปในป่า ด้วยคิดว่า โคตัวนี้ไม่สามารถในการลากไถและนำภาระเป็นต้นไปได้ ดังนี้ มันจะเที่ยวกินและดื่มตามสบายใจ เนื้อย่อมเจริญแก่มัน ฉันใด, แม้คนคนนี้ ก็ฉันนั้นนั่นแหละ ทอดทิ้งจากวัตร มีอุปัชฌายวัตรเป็นต้น อาศัยพระสงฆ์ พอได้ปัจจัย ๔ แล้ว ทำกิจมีการถ่ายเป็นต้นแล้ว บำรุงเลี้ยงร่างกาย เนื้อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 324
ของเขาย่อมเจริญ, เป็นผู้มีสรีระอ้วนเที่ยวไป. บทว่า ปญฺา อธิบายว่า ส่วนปัญญาที่เป็นโลกิยะและโลกุตระของเขา แม้เพียงองคุลีหนึ่งก็ไม่เจริญขึ้น คือตัณหาและมานะ ๙ ประการ ย่อมเจริญแก่เขา เพราะอาศัยทวารทั้ง ๖ เหมือนกอไม้และเถาวัลย์เป็นต้น งอกงามในป่าฉะนั้น.
คาถาว่า พหุสฺสุโต ท่านกล่าวมุ่งถึงภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ดูหมิ่นภิกษุอื่น เพราะอาศัยว่าตนเป็นพหูสูต. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุเตน ได้แก่ เพราะเหตุแห่งสุตะ คือระบุว่าตนเป็นพหูสูต. บทว่า อติมญฺติ ความว่า ย่อมก้าวล่วงดูหมิ่น คือยกตนขึ้นข่มขู่ผู้อื่น. บทว่า ตเถว ความว่า เหมือนคนตาบอดถือดวงไฟไปในที่มืด เพราะการให้เเสงสว่าง จึงเป็นเหตุนำประโยชน์มาให้แก่คนเหล่าอื่นเท่านั้น หานำประโยชน์มาให้แก่ตนเองไม่ฉันใด บุคคลฟังปริยัติจนเป็นผู้คงแก่เรียน ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่เข้าถึงการฟัง ไม่บำเพ็ญประโยชน์ให้แก่ตน กลับเป็นคนบอด ด้วยการให้แสงสว่างแห่งญาณ จึงนำประโยชน์มาให้แก่คนเหล่าอื่นเท่านั้น ไม่นำประโยชน์มาให้แก่ตนเองเลย ดุจคนตาบอดถือดวงไฟ ย่อมปรากฏแก่เราฉะนั้น.
บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงอานิสงส์ในความเป็นผู้ได้สดับมามาก ท่านจึงกล่าวคาถาว่า พหุสฺสุตํ ดังนี้เป็นต้น, บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปาเสยฺย แปลว่า พึงเข้าไปนั่งใกล้. บทว่า สุตญฺจ น วินาสเย ความว่า เข้าไปหาท่านผู้เป็นพหูสูตแล้ว ไม่ยอมให้การสดับที่ได้แล้วพินาศไป เหือดแห้งไป แต่กลับให้เจริญด้วยการทรงจำ คุ้นเคย สอบถาม และมนสิการ. บทว่า ตํ มูลํ พฺรหฺมจริยสฺส ความว่า เพราะเข้าไปหาท่านผู้เป็นพหูสูต ได้สดับสูตรที่ฟังมาเป็นอันมากคือปริยัติธรรมนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 325
เป็นเบื้องต้น เป็นประธานแห่งมรรคพรหมจรรย์. เพราะฉะนั้น จึงสมควรเป็นผู้ทรงธรรม คือเป็นผู้ตั้งอยู่ในหัวข้อแห่งวิมุตตายตนะ ในการทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว ครั้งแรกพึงเป็นผู้ทรงปริยัติธรรม.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงเนื้อความที่บุคคลจะพึงให้สำเร็จด้วยความเป็นผู้ได้สดับฟังมากในปริยัติธรรม ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ปุพฺพาปรญฺญู ดังนี้. บัณฑิตพึงทราบวิเคราะห์ในคำนั้นว่า ชื่อว่าปุพพาปรัญญู เพราะอรรถว่า ย่อมรู้อักษรทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย. จริงอยู่ แม้เมื่อส่วนแห่งอักษรเบื้องต้นของคาถาหนึ่งยังไม่ปรากฏ หรือส่วนแห่งอักษรเบื้องต้นปรากฏอยู่ส่วนแห่งอักษรเบื้องปลายยังไม่ปรากฏก็ตาม เขารู้ว่า นี้พึงเป็นส่วนอักษรต้น แห่งส่วนอักษรเบื้องปลาย หรือว่า นี้พึงเป็นส่วนอักษรปลายแห่งส่วนอักษรเบื้องต้น ดังนี้ชื่อว่า ปุพพาปรัญญู. ชื่อว่า อัตถัญญู เพราะอรรถว่า ย่อมรู้จักชนิดแห่งประโยชน์มีประโยชน์ตนเป็นต้น คือประโยชน์แห่งพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว. บทว่า นิรุตฺติปทโกวิโท ความว่า เป็นผู้ฉลาดในปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ คือ ในนิรุตติปฏิสัมภิทา และแม้ในบทที่เหลือด้วย. บทว่า สุคฺคหิตญฺจ คณฺหาติ ความว่า เพราะความเป็นผู้ฉลาดนั้นแล ย่อมเล่าเรียนธรรมให้เป็นการเล่าเรียนดีทีเดียว ทั้งโดยอรรถ ทั้งโดยพยัญชนะ. บทว่า อตฺถญฺโจปปริกฺขติ ความว่า ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมตามที่ได้ฟังแล้ว ตามที่ได้ศึกษาเล่าเรียนแล้ว คือกำหนดไว้ในใจว่า ดังนี้เป็นศีล ดังนี้เป็นสมาธิ ดังนี้เป็นปัญญา เหล่านี้เป็นรูปธรรมและอรูปธรรม.
บทว่า ขนฺตฺยา ฉนฺทิกโต โหติ ความว่า เมื่อธรรมทั้งหลายที่ตาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 326
เพ่งด้วยใจเหล่านั้น อดทนต่อการเพ่งพินิจ ด้วยทนต่อการเห็นและการเพ่งพินิจมีอยู่ ย่อมเป็นผู้กระทำความพอใจ คือเกิดความพอใจ ในการโน้มน้าวไปในวิปัสสนา โดยมุ่งที่จะกำหนดรูปเป็นต้น. และเมื่อบำเพ็ญวิปัสสนาเป็นอย่างนั้นแล้ว พยายามพิจารณา คือทำความอุตสาหะ ด้วยการเห็นปัจจัยและนามรูปนั้นๆ ต่อแต่นั้นก็ยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ไตร่ตรอง พิจารณา เห็นนามรูปนั้นว่า ไม่เที่ยงบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นอนัตตาบ้าง. บทว่า สมเย โส ปทหติ, อชฺฌตฺตํ สุสมาหิโต ความว่า ท่านเมื่อพิจารณาเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็ตั้งความเพียร ด้วยการประคองจิตเป็นต้น ในสมัยที่ควรประคองจิตเป็นต้น, และเมื่อจะเริ่มตั้งความเพียร พึงเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดี ด้วยวิปัสสนาสมาธิ และมรรคสมาธิไว้ในภายใน คือในภายในอารมณ์. พึงละกิเลสทั้งหลายที่เป็นเหตุไม่ตั้งมั่นเสีย. อธิบายว่า เพราะคุณนี้นั้นแม้ทั้งหมด ย่อมมีแก่ผู้เข้าไปนั่งใกล้ท่านผู้เป็นพหูสูต ทรงธรรม มีปัญญา เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าฉะนั้น บุคคลปรารภอสังขตธรรม หวังความรู้ในธรรม คือรู้แจ้งในธรรม เพราะตนทำหน้าที่อันประเสริฐสุด มีการกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้น พึงคบ พึงเสพ คือพึงเข้าไปนั่งใกล้กัลยาณมิตร มีประการดังกล่าวแล้วเช่นนั้นเถิด.
พระเถระเมื่อจะแสดงว่าท่านผู้เป็นพหูสูตนั้น เป็นผู้ควรแก่การบูชา เพราะมีอุปการคุณมากมายอย่างนั้น จึงกล่าวคาถาว่า พหุสฺสุโต ดังนี้เป็นต้น. ความแห่งบาทคาถานั้นว่า :- ชื่อว่า พหุสสุตะ เพราะมีคำสอนของพระศาสดา เช่น สุตตะและเคยยะเป็นต้น ที่ได้สดับแล้วเป็นอันมาก, ชื่อว่า ธัมมธระ เพราะทรงจำเทศนาธรรมนั้นทั้งหมดได้ ไม่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 327
ให้สูญหายไป เหมือนน้ำมันเหลวของราชสีห์ ที่บุคคลใส่ไว้ในภาชนะทองคำ ฉะนั้น. ต่อแต่นั้น ก็ชื่อว่า โกสารักขะ เพราะรักษาคลังพระธรรม ธรรมรัตนะของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่, เพราะเป็นดวงตาของชาวโลก ด้วยการมองดูอย่างสม่ำเสมอ ฉะนั้น จึงเป็นดวงตาที่ชาวโลกทั้งหมดควรบูชา คือควรนับถือ, ท่านกล่าวคำว่า พหุสฺสุโต ซ้ำอีก ก็ด้วยอำนาจคำลงท้าย เพื่อแสดงถึงความเป็นพหูสูตว่า ชนเป็นอันมากควรบูชา.
พระเถระครั้นได้กัลยาณมิตรเห็นปานนั้นแล้ว เมื่อจะแสดงว่าความไม่เสื่อมย่อมมีแก่บุคคลผู้ทำตามเท่านั้น, หามีแก่บุคคลผู้ไม่ทำตามไม่ ดังนี้ จึงกล่าวคาถาว่า ธมฺมาราโม ดังนี้เป็นต้น. อธิบายว่า ความยินดีมีสมถะและวิปัสสนาเป็นธรรม เพราะอรรถว่า เป็นที่อยู่อาศัยในธรรมนั้น, ชื่อว่า ธัมมรตะ เพราะยินดี คือยินดียิ่งในธรรมนั้นนั่นเอง ชื่อว่า ค้นคว้าธรรม คือคำนึงถึงธรรม ได้แก่ กระทำไว้ในใจด้วยการคิดถึงธรรมนั้นนั่นแหละบ่อยๆ.
บทว่า อนุสฺสรํ ได้แก่ ระลึกถึงธรรมนั้นเท่านั้น.
บทว่า สทฺธมฺมา ความว่า ภิกษุเห็นปานนั้น ย่อมไม่เสื่อมจากโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประเภท และจากโลกุตรธรรม ๙ ประการ, ในกาลไหนๆ ความเสื่อมจากธรรมนั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น.
ครั้นวันหนึ่ง พระเถระเมื่อจะให้ภิกษุผู้ชื่อว่ามีราคะยังไม่ไปปราศเกียจคร้าน มีความเพียรต่ำทราม มีความฉลาด ให้เกิดความสังเวชในร่างกาย จึงกล่าวคาถาว่า กายมจฺเฉรครุโน ดังนี้เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 328
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กายมจฺเฉรครุโน ความว่า เที่ยวไป ไม่ยอมทำอะไรที่ควรทำทางกายแก่อาจารย์และอุปัชฌาย์ มัวแต่สำคัญกายว่าเป็นของเรา มากไปด้วยความยึดมั่นในร่างกาย.
บทว่า หิยฺยมาเน ความว่า เมื่อร่างกายและชีวิตของตนเสื่อมไปทุกๆ ขณะ.
บทว่า อนุฏฺเห ความว่า ไม่พึงทำความเพียรเป็นเหตุลุกขึ้น ด้วยอำนาจการบำเพ็ญคุณมีศีลเป็นต้น.
บทว่า สรีรสุขคิทฺธสฺส ความว่า ถึงความติดอยู่ (ในสรีระ) ด้วยการทำสรีระของตนให้ถึงความสุขนั่นแล.
บทว่า กุโต สมณผาสุตา ความว่า ความอยู่สุขสบายด้วยความเป็นสมณะของบุคคลเห็นปานนั้น จักมีแต่ที่ไหน, คือความอยู่ผาสุกย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้นเลย.
คาถาเริ่มต้นว่า น ปกฺขนฺติ ดังนี้ พระเถระทราบอย่างแจ่มชัดว่าท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรปรินิพพานแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ปกฺขนฺติ ทิสา สพฺพา ความว่า ทิศทั้งหมดมีทิศตะวันออกเป็นต้น ย่อมไม่ปรากฏ คือเป็นผู้หลงทิศ.
บทว่า ธมฺมา น ปฏิภนฺติ มํ ความว่า ธรรมที่ได้เล่าเรียนแล้ว แม้จะช่ำของด้วยดีในครั้งก่อน. แต่ในบัดนี้ แม้จะนำมาเทียบเคียงโดยเคารพ ก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพเจ้า.
บทว่า คเต กลฺยาณมิตฺตมฺหิ ความว่า เมื่อท่านพระธรรมเสนาบดีผู้เป็นกัลยาณมิตรของชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ถึงอนุปาทิเสสนิพพานแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 329
บทว่า อนฺธการํว ขายติ ความว่า โลกนี้แม้ทั้งหมด ย่อมปรากฏเหมือนมืดมน.
บทว่า อพฺภตีตสหายสฺส ความว่า ผู้มีสหายล่วงลับไปแล้ว คือ ปราศจากกัลยาณมิตร.
บทว่า อตีตคตสตฺถุโน ความว่า ท่านเป็นผู้มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จล่วงลับไปแล้ว คือเป็นผู้มีพระศาสดาปรินิพพานไปแล้ว.
บทว่า ยถา กายคตา สติ อธิบายว่า ชื่อว่า มิตรอื่นที่จะนำประโยชน์มาให้โดยส่วนเดียว แก่บุคคลผู้ไม่มีที่พึ่งเช่นนั้น ไม่มี เหมือนกายคตาสติภาวนา มีแต่จะนำประโยชน์มาให้โดยส่วนเดียวแก่บุคคลผู้บำเพ็ญนั้น, ภาวนาอย่างอื่นนำประโยชน์มาให้ ก็เฉพาะบุคคลที่มีที่พึ่งเท่านั้น.
บทว่า ปุราณา ได้แก่ มิตรเก่า ที่พระเถระกล่าวหมายเอากัลยาณมิตร มีพระสารีบุตรเป็นต้น.
บทว่า นเวหิ ได้แก่ ด้วยมิตรใหม่.
บทว่า น สเมติ เม ความว่า จิตของเราย่อมไม่สมาคม คือจิตของเรามิได้เกิดความยินดีกับพวกมิตรใหม่เลย.
บทว่า สฺวชฺช เอโกว ฌายามิ ความว่า วันนี้ เรานั้นเว้นจากท่านผู้แก่กว่าทั้งหลาย เป็นผู้เดียวเพ่งฌานอยู่ คือเป็นผู้ขวนขวายในฌานอยู่.
บทว่า วสฺสุเปโต ได้แก่ เหมือนนกที่เข้าอยู่ในรังในฤดูฝน, บาลีว่า วาสุเปโต ดังนี้บ้าง ความว่า เข้าไปอยู่.
คาถาว่า ทสฺสนาย อภิกกนฺเต ดังนี้ พระศาสดาได้ตรัสไว้. ความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 330
แห่งบาทคาถานั้นว่า:- อานนท์ เธออย่าห้ามประชาชนเป็นอันมากที่พากันมาจากประเทศต่างๆ ไม่ให้เข้าเฝ้าเรา ในเมื่อล่วงเวลาเฝ้าของเราเลย. เพราะอะไร? เพราะคนฟังธรรมเหล่านั้น (ต้องการ) จะเห็นเรา, ก็เฉพาะในเวลาเฝ้านี้เท่านั้น.
พระเถระได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาอื่นอีกว่า ทสฺสนาย อภิกฺกนฺเต ดังนี้เป็นต้น. ก็คาถาก่อนที่ท่านวางไว้ในที่นี้ ก็เพื่อความสัมพันธ์กันกับคาถานี้, ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ ท่านจึงแสดงความสำเร็จประโยชน์แห่งบทนั้นว่า ถ้าเราจักได้เพื่อให้ประชาชนที่พากันมาจากประเทศอื่น ได้เข้าเฝ้าในทันทีไซร้.
คาถา ๔ คาถาเริ่มต้นว่า ปณฺณวีสติ วสฺสานิ ดังนี้ พระเถระกล่าวเพื่อแสดงว่าตนเป็นอุปัฏฐากผู้เลิศ. จริงอยู่ เพราะการเริ่มบำเพ็ญกัมมัฏฐาน และเพราะการขวนขวายอุปัฏฐากพระศาสนา กามสัญญาเป็นต้น แม้ที่ยังมิได้ตัดขาดด้วยมรรค มิได้เกิดขึ้นแก่พระเถระเลย, และกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ก็ได้มีเมตตาเป็นหัวหน้า คล้อยไปตามเมตตาในพระศาสดาตลอดกาล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปณฺณวีสติ วสฺสานิ แปลว่า ตลอด ๒๕ ปี.
บทว่า เสขภูตสฺส เม สโต ความว่า เมื่อเรายังดำรงอยู่ในเสขภูมิ คือในโสดาปัตติผลอยู่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 331
บทว่า กามสญฺา ความว่า สัญญาที่ประกอบด้วยกาม ไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว, ก็ในคำนี้ พระเถระแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยตน ด้วยคำที่มุ่งถึงการไม่เกิดขึ้นแห่งกามสัญญาเป็นต้น, และแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งประโยค ด้วยคำเป็นต้นว่า เมตฺเตน กายกมฺเมน ดังนี้. พึงทราบเนื้อความในข้อนั้น ดังต่อไปนี้ :- เมตตากายกรรม พึงทราบด้วยการทำเครื่องใช้ในพระคันธกุฎีเป็นต้น และด้วยการทำวัตรและปฏิวัตร ถวายแด่พระศาสดา, เมตตาวจีกรรม พึงทราบด้วยกิจมีการบอกเวลาแสดงธรรมเป็นต้น, เมตตามโนกรรม พึงทราบด้วยการใส่ใจ น้อมนำมุ่งถึง ประโยชน์เกื้อกูลเฉพาะพระศาสดาในที่ลับ. คำว่า าณํ เม อุทปชฺชถ นี้ พระเถระกล่าวถึงการบรรลุเสขภูมิของตน.
คาถาว่า อหํ สกรณีโยมฺหิ นี้ เป็นคาถาที่เมื่อพระศาสดาใกล้จะปรินิพพาน พระอานนท์เข้าไปยังปะรำ เหนี่ยวคันทวยแล้วกล่าวมุ่งจะครอบงำความเศร้าโศก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกรณีโยมฺหิ ความว่า เราเป็นผู้มีกิจ มีการกำหนดรู้ทุกข์เป็นต้น ที่จะต้องทำ.
บทว่า อปฺปตฺตมานโส แปลว่า ยังไม่บรรลุพระอรหัต.
บทว่า สตฺถุ จ ปรินิพพานํ ได้แก่ พระศาสดาของเราได้เสด็จปรินิพพานไปเสียแล้ว.
บทว่า โย อมฺหํ อนุกมฺปโก ได้แก่ พระศาสดาพระองค์ใด เป็นผู้ทรงอนุเคราะห์เรา.
คาถาว่า ตทาสิ ยํ ภึสนกํ ดังนี้ เป็นคาถาที่พระเถระเห็นแผ่นดิน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 332
ไหว และความแผ่ไปแห่งเสียงกลองสวรรค์ เป็นต้น แล้วกล่าวไว้ด้วยเกิดความสังเวช.
คาถา ๓ คาถา มีคำเริ่มต้นว่า พหุสฺสุโต ดังนี้ พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายพากันสรรเสริญพระเถระ ตั้งไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คติมนฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบพร้อมด้วยญาณคติไม่มีใครเสมอ.
บทว่า สติมนฺโต ได้แก่ ประกอบพร้อมด้วยสติและเนปักกปัญญาเป็นอย่างยิ่ง.
บทว่า ธิติมนฺโต ได้แก่ ประกอบพร้อมด้วยปัญญาสัมปทา มีความสามารถกำหนดพยัญชนะและอรรถะโดยเฉพาะ. จริงอยู่ พระเถระรูปนี้กำหนดจำไว้บทเดียวเท่านั้น ก็ย่อมกำหนดถือเอา โดยทำนองที่พระศาสดาตรัสแล้วได้ตั้ง ๖๐,๐๐๐ บท, และบทที่ได้กำหนดแล้ว ย่อมไม่สูญหายตลอดกาลนาน เหมือนน้ำมันเหลวราชสีห์ที่บุคคลใส่ไว้ในภาชนะทองคำฉะนั้น, เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยปัญญา อันมีสติเป็นเบื้องหน้า ซึ่งสามารถกำหนดพยัญชนะไม่ให้วิปริต และด้วยสติอันมีปัญญาเป็นเบื้องหน้า ซึ่งสามารถกำหนดอรรถะ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเรา ฝ่ายพหูสูต ดังนี้เป็นต้น. และเหมือนอย่างที่พระธรรมเสนาบดีกล่าวไว้ว่า ท่านพระอานนท์ เป็นผู้ฉลาดในอรรถ ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า รตนากโร ได้แก่ เป็นบ่อเกิดแห่งพระรัตนะ คือพระสัทธรรม.

