๑๐. ปาราสริยเถรคาถา ว่าด้วยความประพฤติของภิกษุเมื่อก่อนอย่างหนึ่งขณะนี้อย่างหนึ่ง
[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 180
เถรคาถา วีสตินิบาต
๑๐. ปาราสริยเถรคาถา
ว่าด้วยความประพฤติของภิกษุเมื่อก่อนอย่างหนึ่งขณะนี้อย่างหนึ่ง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 53]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 180
๑๐. ปาราสริยเถรคาถา
ว่าด้วยความประพฤติของภิกษุเมื่อก่อนอย่างหนึ่งขณะนี้อย่างหนึ่ง
[๓๙๔] พระปาราสริยเถระผู้เป็นสมณะ ผู้มีจิตแน่วแน่เป็นอารมณ์เดียว ชอบสงัด เจริญฌาน นั่งอยู่ในป่าใหญ่มีดอกไม้บานสะพรั่ง ได้มีความคิดว่า เมื่อพระผู้เป็นอุดมบุรุษเป็นนาถะของโลก ยังทรงพระชนม์อยู่ ความประพฤติของภิกษุทั้งหลายเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว เดี๋ยวนี้ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง คือภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นุ่งห่มผ้าเป็นปริมณฑล ก็เพียงเพื่อจะป้องกันความหนาวและลม และปกปิดความละอายเท่านั้น. ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน ขบฉันอาหารประณีตก็ตาม เศร้าหมองก็ตาม น้อยก็ตาม มากก็ตาม ก็เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น ไม่ติดไม่พัวพันเลย. ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน (แม้จะถูกความเจ็บไข้ครอบงำ) ไม่ขวนขวายหาเภสัชปัจจัยอันเป็นบริขารแห่งชีวิต เหมือนการขวนขวายหาความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นขวนขวายพอกพูนวิเวก มุ่งแต่เรื่องวิเวก อยู่ในป่า โคนไม้ ซอกเขาและถ้ำเท่านั้น ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อนเป็นผู้อ่อนน้อม มีศรัทธาตั้งมั่น เลี้ยงง่าย อ่อนโยน มีน้ำใจไม่กระด้าง ไม่ถูกกิเลสรั่วรด ปากไม่ร้าย เปลี่ยนแปลงตามความคิดอันเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 181
ประโยชน์ของตนแลผู้อื่น เพราะเหตุนั้น ภิกษุแต่ปางก่อนเป็นผู้มีข้อปฏิบัติในการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับ การบริโภคปัจจัย การซ่องเสพโคจร และมีอิริยาบถละมุนละไม ก่อให้เกิดความเลื่อมใส เหมือนสายน้ำมันไหลออกไม่ขาดสายฉะนั้น บัดนี้ ท่านเหล่านั้น สิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว มักเจริญฌานเป็นอันมาก ประกอบแล้วด้วยฌานใหญ่ เป็นพระเถระผู้มั่นคงพากันนิพพานไปเสียหมดแล้ว บัดนี้ ท่านเช่นนั้นเหลืออยู่น้อยเต็มที. เพราะความสิ้นไปแห่งกุศลธรรมและปัญญา คำสั่งสอนของพระชินเจ้า อันประกอบแล้วด้วยอาการอันประเสริฐทุกอย่าง จะสิ้นไปในเวลาที่ธรรมทั้งหลายอันลามก และกิเลสทั้งหลายเป็นไปอยู่. ภิกษุเหล่าใดปรารถนาความเพียรเพื่อความสงัด ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีพระสัทธรรมที่เหลือเป็นข้อปฏิบัติ กิเลสเหล่านี้เจริญงอกงามขึ้น ย่อมครอบงำคนเป็นอันมากไว้ในอำนาจ ดังจะเล่นกับพวกคนพาล เหมือนปิศาจเข้าสิงทำคนให้เป็นบ้า เพ้อคลั่งอยู่ฉะนั้น นรชนเหล่านั้นถูกกิเลสครอบงำ ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ ตามส่วนแห่งอารมณ์นั้นๆ ในกิเลสวัตถุ ดุจในการโฆษณาที่มีสงครามฉะนั้น. พากันละทิ้งพระสัทธรรม ทำการทะเลาะซึ่งกันและกัน ยึดถือตามความเห็นของตน สำคัญสิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ นรชนทั้งหลายที่ละทิ้งทรัพย์สมบัติ บุตรและภรรยา ออกบวชแล้ว พากันทำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 182
กรรมที่ไม่ควรทำ แม้เพราะเหตุแห่งภิกษาหารเพียงทัพพีเดียว ภิกษุทั้งหลายฉันภัตตาหารเต็มอิ่มแล้ว ถึงเวลานอนก็นอนหงาย ตื่นแล้วก็กล่าวแต่ถ้อยคำที่พระศาสดาทรงติเตียน ภิกษุผู้มีจิตไม่สงบในภายใน พากันเรียนทำแต่ศิลปะที่ไม่ควรทำ มีการประดับร่มเป็นต้น ย่อมไม่หวังประโยชน์ในทางบำเพ็ญสมณธรรมเสียเลย ภิกษุทั้งหลายผู้มุ่งแต่สิ่งของดีๆ ให้มาก จึงนำเอาดินเหนียวบ้าง น้ำมันบ้าง จุรณเจิมบ้าง น้ำบ้าง ที่นั่งที่นอนบ้าง อาหารบ้าง ไม้สีฟันบ้าง ผลมะขวิดบ้าง ดอกไม้บ้าง ของควรเคี้ยวบ้าง บิณฑบาตบ้าง ผลมะขามป้อมบ้าง ไปให้แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายพากันประกอบเภสัชเหมือนพวกหมอรักษาโรค ทำกิจน้อยใหญ่อย่างคฤหัสถ์ ตบแต่งร่างกายเหมือนหญิงแพศยา ประพฤติตนเหมือนกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่. บริโภคอามิสด้วยอุบายเป็นอันมาก คือทำให้คนหลงเชื่อ หลอกลวง เป็นพยานโกงตามโรงศาล ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ อย่างนักเลง. เที่ยวแส่หาในการอ้างเลศ การพูดเลียบเคียง การพูดปริกัป มีการเลี้ยงชีพเป็นเหตุ ใช้อุบายรวบรวมทรัพย์ไว้เป็นอันมาก. ย่อมยังบริษัทให้บำรุงตนเพราะเหตุแห่งการงาน แต่มิให้บำรุงโดยธรรม เที่ยวแสดงธรรมตามถิ่นต่างๆ เพราะเหตุแห่งลาภ มิใช่เพราะมุ่งประโยชน์ ภิกษุเหล่านั้นทะเลาะวิวาทกันเพราะเหตุแห่งลาภสงฆ์ เป็นผู้เหินห่าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 183
จากอริยสงฆ์ เลี้ยงชีวิตด้วยการอาศัยลาภของผู้อื่น ไม่มีหิริ ไม่ละอาย จริงอย่างนั้น ภิกษุบางพวกไม่ประพฤติตามสมณธรรมเสียเลย เป็นเพียงคนโล้น คลุมร่างไว้ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้น ปรารถนาแต่การสรรเสริญถ่ายเดียว มุ่งหวังแต่ลาภและสักการะ เมื่อธรรมเป็นเครื่องทำลายมีประการต่างๆ เป็นไปอยู่อย่างนี้ การบรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ หรือการตามรักษาธรรมที่ได้บรรลุแล้ว ไม่ใช่ทำได้ง่าย เหมือนเมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ มุนีพึงตั้งสติเที่ยวไปในบ้าน เหมือนกับบุรุษผู้ไม่ได้สวมรองเท้า ตั้งสติเที่ยวไปในถิ่นที่มีหนามฉะนั้น พระโยคีเมื่อตามระลึกถึงวิปัสสนาที่ปรารภแล้วในกาลก่อน ไม่ทอดทิ้งวัตรสำหรับภาวนาวิธีเหล่านั้นเสีย ถึงเวลานี้จะเป็นเวลาสุดท้ายภายหลัง ก็พึงบรรลุอมตบทได้ พระปาราสริยเถระผู้เป็นสมณะมีอินทรีย์อันอบรมแล้ว เป็นพราหมณ์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว ครั้นกล่าววิธีปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ปรินิพพานในสาลวัน.
จบปาราสริยเถรคาถา
รวมพระเถระ
ในวีสตินิบาตนี้ พระเถระ ๑๐ รูปนี้ คือ พระอธิมุตตเถระ ๑ พระปาราสริยเถระ ๑ พระเตลุกานิเถระ ๑ พระรัฐปาลเถระ ๑ พระมาลุงกยปุตตเถระ ๑ พระเสลเถระ ๑ พระภัททิยกาลิโคธาปุตตเถระ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 184
พระองคุลิมาลเถระ ๑ พระอนุรุทธเถระ ๑ พระปาราสริยเถระ ๑ ประกาศคาถาไว้ดีเรียบร้อยแล้ว รวมคาถาไว้ ๒๔๕ คาถา.
จบวีสตินิบาต
อรรถกถาปาราสริยเถรคาถาที่ ๑๐ (๑)
คาถาของ พระปาราสริยเถระ มีคำเริ่มต้นว่า สมณสฺส อหุ จินฺตา ดังนี้. เรื่องของพระเถระนี้ มาแล้วในหนหลังทีเดียว และเมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ ในเวลาที่ตนยังเป็นปุถุชนอยู่ ท่านได้กล่าวคาถานั้น โดยประกาศความคิดในการข่มอินทรีย์ทั้งหลายอันมีใจเป็นที่ ๖. แต่ในกาลต่อมา เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว และเมื่อการปรินิพพานของตนปรากฏขึ้น จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยอำนาจการประกาศข้อปฏิบัติธรรมเบื้องสูง แก่ภิกษุทั้งหลายในกาลนั้น และในกาลต่อไป. ในข้อนั้น พระสังคีติกาจารย์ ได้ตั้งคาถานี้ไว้ว่า
พระปาราสริยเถระผู้เป็นสมณะ ผู้มีจิตแน่วแน่มีอารมณ์เป็นอันเดียว ชอบสงัด มีปกติเพ่งฌาน นั่งอยู่ในป่าใหญ่มีดอกไม้บานสะพรั่ง ได้มีความคิดว่า ฯลฯ ดังนี้.
เนื้อความแห่งคำเป็นคาถานั้น มีนัยดังกล่าวในหนหลังนั่นแล.
ส่วนเนื้อความที่เกี่ยวเนื่องกันมีดังต่อไปนี้ :- เมื่อพระศาสดา พระอัครสาวก พระมหาเถระบางพวก ได้ปรินิพพานไปแล้ว เมื่อภิกษุทั้งหลายผู้ว่าง่ายผู้ใคร่ต่อการศึกษา หาได้ยาก และภิกษุทั้งหลายผู้ว่ายาก มากไปด้วยการปฏิบัติผิดเกิดขึ้นในพระธรรมวินัย ซึ่งมีพระศาสดาล่วงไป
๑. อรรถกถาปาราปริถเถรคาถา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 185
แล้ว พระปาราสริยเถระ ผู้ชื่อว่าสมณะ เพราะสงบบาปได้แล้ว ผู้มีปกติเพ่งฌาน มีจิตแน่วแน่ มีอารมณ์เดียว นั่งอยู่ในป่าไม้สาละใหญ่ อันมีดอกบานสะพรั่ง ได้มีความคิดคือการพิจารณาเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ. นอกนี้พระเถระนั่นแหละได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ความว่า
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ ผู้เป็นที่พึ่งของชาวโลก ยังทรงพระชนม์อยู่ ความประพฤติของภิกษุทั้งหลายเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว เดี๋ยวนี้ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง. คือภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน เป็นผู้สันโดษด้วยปัจจัยตามมีตามได้ นุ่งห่มผ้าเป็นปริมณฑล เพียงป้องกันความหนาวและลม และปกปิดความละอายเท่านั้น. ขบฉันอาหารประณีตก็ตาม เศร้าหมองก็ตาม น้อยก็ตาม มากก็ตาม ก็เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น ไม่ติด ไม่พัวพันเลย. แม้จะถูกความป่วยไข้ครอบงำ ก็ไม่ขวนขวายหาปัจจัยเภสัชบริขารเพื่อชีวิต เหมือนขวนขวายหาความสิ้นอาสวะ ท่านเหล่านั้นขวนขวายพอกพูนแต่วิเวก มุ่งแต่ความวิเวก อยู่ในป่า โคนไม้ ซอกเขา และถ้ำเท่านั้น. ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อน เป็นผู้อ่อนน้อม มีศรัทธาตั้งมั่น เลี้ยงง่าย อ่อนโยน มีน้ำใจไม่กระด้าง ไม่ถูกกิเลสรั่วรด ปากไม่ร้าย เปลี่ยนแปลงตามความคิดอันเป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่น เพราะเหตุนั้น ภิกษุแต่ปางก่อน เป็นผู้มีข้อปฏิบัติในการก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับ การบริโภคปัจจัย การซ่อง-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 186
เสพโคจร และมีอิริยาบถละมุนละไม ก่อให้เกิดความเลื่อมใส เหมือนสายธารน้ำมันไหลออกไม่ขาดสายฉะนั้น. บัดนี้ ท่านเหล่านั้นสิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว เจริญฌานเป็นอันมาก ประกอบด้วยฌานใหญ่ เป็นพระเถระผู้มั่นคงพากันนิพพานไปเสียหมดแล้ว บัดนี้ ท่านผู้เช่นนั้นเหลืออยู่น้อยเต็มที. เพราะความสิ้นไปแห่งกุศลธรรมและปัญญา คำสั่งสอนของพระชินเจ้าอันประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทุกอย่าง จะเสื่อมสูญไปในเวลาที่ธรรมอันลามกและกิเลสทั้งหลายเป็นไปอยู่. ภิกษุเหล่าใดปรารถนาความเพียรเพื่อความสงัด ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีพระสัทธรรมที่เหลือเป็นข้อปฏิบัติ. กิเลสเหล่านั้นเจริญงอกงามขึ้น ย่อมครอบงำคนเป็นอันมากไว้ในอำนาจ ดังจะเล่นกับพวกคนพาล เหมือนปิศาจเข้าสิงทำคนให้เป็นบ้าเพ้อคลั่งอยู่ฉะนั้น. นรชนเหล่านั้นถูกกิเลสครอบงำ ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ ตามส่วนแห่งอารมณ์นั้นๆ ในกิเลสวัตถุทั้งหลาย ดุจในการโฆษณาที่มีสงครามฉะนั้น. พากันละทิ้งพระสัทธรรม ทำการทะเลาะกันแลกัน ยึดถือตามความเห็นของตน สำคัญว่าสิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ. นรชนทั้งหลายที่ละทิ้งทรัพย์สมบัติ บุตรภรรยา ออกบวชแล้ว พากันทำกรรมที่ไม่ควรทำ แม้เพราะเหตุแห่งภิกษาหารเพียงทัพพีเดียว ภิกษุทั้งหลายฉันภัตตาหารเต็มอิ่มแล้ว ถึงเวลานอนก็นอนหงาย ตื่นแล้วก็กล่าวแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 187
ถ้อยคำที่พระศาสดาทรงติเตียน ภิกษุผู้มีจิตไม่สงบในภายใน พากันเรียนทำแต่ศิลปะที่ไม่ควรทำ มีการประดับร่มเป็นต้น ย่อมไม่หวังประโยชน์ในทางบำเพ็ญสมณธรรม. ภิกษุทั้งหลายผู้มุ่งแต่สิ่งของดีๆ ให้มาก จึงนำเอาดินเหนียวบ้าง น้ำมันบ้าง จุรณเจิมบ้าง น้ำบ้าง ที่นั่งบ้าง อาหารบ้าง ไม้สีฟันบ้าง ผลมะขวิดบ้าง ดอกไม้บ้าง ของเคี้ยวบ้าง บิณฑบาตบ้าง ผลมะขามป้อมบ้าง ไปให้แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายพากันประกอบเภสัช เหมือนพวกหมอรักษาโรค ทำกิจน้อยใหญ่อย่างคฤหัสถ์ ตกแต่งร่างกายเหมือนหญิงแพศยา ประพฤติตนเหมือนกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่ บริโภคอามิสด้วยอุบายเป็นอันมาก คือทำให้คนหลงเชื่อ หลอกลวง เป็นพยานโกงตามโรงศาล ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ อย่างนักเลง. เที่ยวแส่หา (ปัจจัย) ในการอ้างเลศ การเลียบเคียง การปริกัป มีการเลี้ยงชีพเป็นเหตุ ใช้อุบายรวบรวมทรัพย์ไว้เป็นอันมาก ย่อมยังบริษัทให้บำเรอตนเพราะเหตุแห่งการงาน แต่มิให้บำรุงโดยธรรม เที่ยวแสดงธรรมตามถิ่นต่างๆ เพราะเหตุแห่งลาภ มิใช่มุ่งประโยชน์. ภิกษุเหล่านั้นทะเลาะวิวาทกันเพราะเหตุแห่งลาภสงฆ์ เป็นผู้เหินห่างจากอริยสงฆ์ เลี้ยงชีวิตด้วยการอาศัยลาภของผู้อื่น ไม่มีหิริ ไม่ละอาย. จริงอย่างนั้น ภิกษุบางพวกไม่ประพฤติตามสมณธรรมเสียเลย เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 188
เพียงคนโล้น คลุมร่างไว้ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้น ปรารถนาแต่ความสรรเสริญถ่ายเดียว มุ่งหวังต่อลาภสักการะ. เมื่อธรรมเป็นเครื่องทำลายมีประการต่างๆ เป็นไปอยู่อย่างนี้ การบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ หรือการตามรักษาธรรมที่ได้บรรลุแล้ว ไม่ใช่ทำได้ง่าย เหมือนเมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่. มุนีพึงตั้งสติเที่ยวไปในบ้าน เหมือนบุรุษผู้ไม่ได้สวมรองเท้าตั้งสติเที่ยวไปในถิ่นที่มีหนามฉะนั้น. พระโยคีเมื่อตามระลึกถึงวิปัสสนาที่ปรารภนาแล้วในกาลก่อน ไม่ทอดทิ้งวัตรสำหรับภาวนาวิธีเหล่านั้น ถึงเวลานี้จะเป็นเวลาสุดท้ายภายหลัง ก็จะพึงบรรลุอมตบทได้. พระปาราสริยเถระผู้เป็นสมณะ มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว เป็นพราหมณ์ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว ครั้นกล่าววิธีปฏิบัติอย่างนี้ ปรินิพพานในป่าสาลวัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิริยํ อาสิ ภิกฺขูนํ ความว่า เมื่อพระโลกนาถ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ ยังทรงดำรงอยู่ คือยังทรงพระชนม์อยู่ ภิกษุทั้งหลายได้มีอิริยะคือความประพฤติโดยอย่างอื่น คือโดยประการอื่นจากการปฏิบัติในบัดเดี๋ยวนี้ เพราะยังปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอน.
บทว่า อญฺถา ทานิ ทิสฺสติ มีอธิบายว่า แต่บัดนี้ ความประพฤติของภิกษุทั้งหลายปรากฏโดยประการอื่นจากนั้น เพราะไม่ปฏิบัติตามความเป็นจริง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 189
บัดนี้ เพื่อจะแสดงอาการที่ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติ อย่างเมื่อพระศาสดาทรงประพฤติอยู่ก่อนนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เพียงป้องกันความหนาวและลม ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มตฺตฏฺิยํ ความว่า การป้องกันหนาวและลมนั้นเป็นประมาณ คือเป็นประโยชน์. ภิกษุทั้งหลายใช้สอยจีวรกระทำให้เป็นเพียงป้องกันความหนาวและลมเท่านั้น คือเพียงปกปิดอวัยวะที่ให้เกิดความละอายเท่านั้น. อย่างไร? คือเป็นผู้สันโดษปัจจัยตามมีตามได้ คือถึงความสันโดษในปัจจัยตามมีตามได้ คือตามที่ได้ จะเลวหรือประณีตก็ตาม.
บทว่า ปณีตํ ได้แก่ ดียิ่ง คือระคนด้วยเนยใสเป็นต้น, ชื่อว่าเศร้าหมอง เพราะไม่มีความประณีตนั้น.
บทว่า อปฺปํ ได้แก่ เพียง ๔ - ๕ คำเท่านั้น.
บทว่า พหุํ ยาปนตฺถํ อภุญฺชึสุ ได้แก่ แม้เมื่อจะฉันอาหารมากอันประณีต ก็ฉันอาหารเพียงยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น. กว่านั้นไปก็ไม่ยินดี คือไม่ถึงกับยินดี. ไม่สยบ คือไม่พัวพันบริโภค เหมือนเจ้าของเกวียนใช้น้ำมันหยอดเพลา และเหมือนคนมีบาดแผลใช้ยาทาแผลฉะนั้น.
บทว่า ชีวิตานํ ปริกฺขาเร เภสชฺเช อถ ปจฺจเย ได้แก่ ปัจจัย คือคิลานปัจจัย กล่าวคือเภสัชอันเป็นบริขารเพื่อให้ชีวิตดำเนินไป.
บทว่า ยถา เต ความว่า ภิกษุทั้งหลายแต่ปางก่อนนั้น เป็นผู้ขวนขวาย คือเป็นผู้ประกอบในความสิ้นอาสวะฉันใด ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นก็ฉันนั้น แม้ถูกโรคครอบงำ ก็ไม่เป็นผู้ขวนขวายมากเกินไปในคิลานปัจจัย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 190
บทว่า ตปฺปรายณา ได้แก่ มุ่งในวิเวก น้อมไปในวิเวก. พระเถระเมื่อแสดงสันโดษในปัจจัย ๔ และความยินดียิ่งในภาวนาด้วยคาถา ๔ คาถาอย่างนี้แล้ว จึงแสดงอริยวังสปฏิปทาของภิกษุเหล่านั้น.
บทว่า นีจา ได้แก่ เป็นผู้มีความประพฤติต่ำ โดยไม่กระทำการยกตนข่มผู้อื่นว่า เราถือบังสุกุลเป็นวัตร คือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร อธิบายว่า เป็นผู้มีปกติประพฤติถ่อมตน.
บทว่า นิวฏฺา ได้แก่ มีศรัทธาตั้งมั่นในพระศาสนา.
บทว่า สุภรา ได้แก่ เป็นผู้เลี้ยงง่าย โดยความเป็นผู้มักน้อยเป็นต้น.
บทว่า มุทู ได้แก่ เป็นผู้อ่อนโยนในการประพฤติวัตร และในพรหมจรรย์ทั้งสิ้น คือเป็นผู้ควรในการประกอบให้วิเศษดุจทองคำที่หล่อหลอมไว้ดีแล้วฉะนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มุทู ได้แก่ เป็นผู้ไม่สยิ้วหน้า คือเป็นผู้เงยหน้า มีหน้าเบิกบานประพฤติปฏิสันถาร ท่านอธิบายว่า เป็นผู้นำความสุขมาให้ ดุจท่าดีฉะนั้น.
บทว่า อถทฺธมานสา ได้แก่ ผู้มีจิตไม่แข็ง, ด้วยบทนั้น ท่านกล่าวถึงความเป็นผู้ว่าง่าย.
บทว่า อพฺยเสก ได้แก่ ผู้เว้นจากการถูกกิเลสรั่วรด เพราะไม่มีความอยู่ปราศจากสติ อธิบายว่า ผู้ไม่ถูกตัณหา ทิฏฐิ และมานะ ทำให้นุงนังในระหว่างๆ.
บทว่า อมุขรา แปลว่า ไม่เป็นคนปากกล้า, อีกอย่างหนึ่ง ความว่าไม่เป็นคนปากแข็ง คือเว้นจากความคะนองทางวาจา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 191
บทว่า อตฺถจินฺตาวสานุคา ได้แก่ เป็นผู้คล้อยตามอำนาจความคิดอันเป็นประโยชน์ คือเป็นไปในอำนาจความคิดที่มีประโยชน์ ได้แก่เป็นผู้ปริวรรตตามความคิดที่เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่นเท่านั้น.
บทว่า ตโต แปลว่า เพราะเหตุนั้น คือเหตุมีการประพฤติต่ำเป็นต้น.
บทว่า ปาสาทิกํ ได้แก่ อันยังให้เกิดความเลื่อมใส คือนำความเลื่อมใสมาให้แก่ผู้ที่ได้เห็นและได้ยินการปฏิบัติ.
บทว่า คตํ ได้แก่ การไป มีการก้าวไป ถอยกลับและการเลี้ยวไปเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า คตํ ได้แก่ ความเป็นไปทางกายและวาจา.
บทว่า ภุตฺตํ ได้แก่ การบริโภคปัจจัย ๔.
บทว่า นิเสวิตํ ได้แก่ การซ่องเสพโคจร.
บทว่า สินิทฺธา เตลธาราว ความว่า สายธารน้ำมันที่คนฉลาดเทราดไม่หวนกลับ ไหลไม่ขาดสาย เป็นสายธารติดกันกลมกลืนน่าดูน่าชื่นชมใจ ฉันใด อิริยาบถของภิกษุเหล่านั้นผู้สมบูรณ์ด้วยมารยาท ย่อมเป็นอิริยาบถไม่ขาดช่วง ละมุนละม่อม สละสลวยน่าดู น่าเลื่อมใส ฉันนั้น.
บทว่า มหาฌายี ความว่า ชื่อว่าผู้เพ่งฌานใหญ่ เพราะมีปกติเพ่งด้วยฌานทั้งหลายอันยิ่งใหญ่ หรือเพ่งพระนิพพานใหญ่. เพราะเหตุนั้นแหละ จึงเป็นผู้มีประโยชน์เกื้อกูลใหญ่ อธิบายว่า เป็นผู้ประกอบด้วยประโยชน์เกื้อกูลมาก.
บทว่า เต เถรา ความว่า บัดนี้ พระเถระทั้งหลายผู้มุ่งการปฏิบัติ มีประการดังกล่าวแล้วนั้น พากันปรินิพพานเสียแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 192
บทว่า ปริตฺตา ทานิ ตาทิสา ความว่า บัดนี้ คือในกาลสุดท้ายภายหลัง พระเถระทั้งหลายผู้เช่นนั้น คือผู้เห็นปานนั้นมีน้อย ท่านกล่าวอธิบายว่า มีเล็กน้อยทีเดียว.
บทว่า กุสลานญฺจ ธมฺมานํ ได้แก่ ธรรมอันไม่มีโทษอันเป็นเครื่องอุดหนุนแก่วิโมกข์ อันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพาน.
บทว่า ปญฺาย จ ได้แก่ และแห่งปัญญาเห็นปานนั้น.
บทว่า ปริกฺขยา ได้แก่ เพราะไม่มี คือเพราะไม่เกิดขึ้น. จริงอยู่ ในที่นี้ แม้ปัญญาก็พึงเป็นธรรมไม่มีโทษโดยแท้ แต่ถึงกระนั้น เพื่อจะแสดงว่าปัญญามีอุปการะมาก จึงถือเอาปัญญานั้นเป็นคนละส่วน เหมือนคำว่า ปุญฺาณสมฺภารา เป็นธรรมอุดหนุนบุญและญาณฉะนั้น.
บทว่า สพฺพาการวรูเปตํ ความว่า คำสอนของพระผู้มีพระภาคชินเจ้า อันประกอบด้วยอาการอันประเสริฐทั้งหมด คือด้วยความวิเศษแต่ละประการ จะเสื่อมคือพินาศไป.
ด้วยบทว่า ปาปกานญฺจ ธมฺมานํ กิเลสานญฺจ โย อุตุ เอาคำที่เหลือมาเชื่อมความว่า ฤดูคือกาลแห่งบาปธรรมมีกายทุจริตเป็นต้น และแห่งกิเลสมีโลภะเป็นต้นนี้นั้น ย่อมเป็นไป.
บทว่า อุปฏฺิตา วิเวกาย เย จ สทฺธมฺมเสสกา ความว่า ก็ในกาลเห็นปานนี้ ภิกษุเหล่าใด เข้าไปตั้ง คือปรารภความเพียรเพื่อต้องการกายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก และภิกษุเหล่านั้นย่อมเป็นผู้มีพระสัทธรรมที่เหลือเป็นข้อปฏิบัติ. ก็ในข้อนี้ มีอธิบายดังนี้:-
ภิกษุทั้งหลายแม้เป็นผู้มีศีล และอาจาระอันบริสุทธิ์ก็มีอยู่ แต่บัดนี้ภิกษุบางพวกยังบุรพกิจมีอาทิอย่างนี้ให้ถึงพร้อม คือทำอิริยาบถให้ดำรง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 193
อยู่ด้วยดี บำเพ็ญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ตัดปลิโพธใหญ่ ตัดปลิโพธเล็กๆ น้อยๆ จำเริญภาวนาเนืองๆ อยู่ ภิกษุเหล่านั้นยังมีพระสัทธรรมที่เหลือเป็นข้อปฏิบัติ ย่อมไม่อาจทำข้อปฏิบัติให้ถึงที่สุดได้.
บทว่า เต กิเลสา ปวฑฺฒนฺตา ความว่า ก็ในกาลนั้น กิเลสเหล่าใดถึงความสิ้นไปจากบุตรอันเกิดแต่พระอุระของพระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้กิเลสเหล่านั้นได้โอกาส จึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในหมู่ภิกษุ.
บทว่า อาวิสนฺติ พหุํ ชนํ ความว่า ครอบงำชนผู้บอดเขลา ผู้งดเว้นกัลยาณมิตร ผู้มากไปด้วยการใส่ใจอันไม่แยบคาย กระทำไม่ให้มีอำนาจอยู่ คือเข้าไปถึงสันดาน. ก็ภิกษุเหล่านั้นผู้เป็นแล้วอย่างนั้น เหมือนจะเล่นกับคนพาล ดังคนถูกปีศาจเข้าสิงทำให้เป็นบ้า เพ้อคลั่งอยู่ฉะนั้น คือว่า คนผู้มีปกติชอบเล่นครอบงำคนบ้าผู้เว้นจากสักการะรากษส ทำคนบ้าเหล่านั้นให้ถึงความวิบัติ จึงเล่นกับคนบ้าเหล่านั้น ชื่อฉันใด กิเลสทั้งหลายเหล่านั้นก็ฉันนั้น ครอบงำพวกภิกษุอันธพาลผู้เว้นจากความเคารพในพระพุทธเจ้า ยังความฉิบหายชนิดที่เป็นไปในปัจจุบันเป็นต้น ให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุเหล่านั้น เหมือนดังจะเล่นกับภิกษุเหล่านั้น อธิบายว่าทำเป็นเหมือนเล่น.
บทว่า เตน เตน ได้แก่ โดยส่วนของอารมณ์นั้นๆ.
บทว่า วิธาวิตา แปลว่า แล่นไปผิดรูป คือปฏิบัติโดยไม่สมควร.
บทว่า กิเลสวตฺถูสุ ความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นก่อน เป็นกิเลส, กิเลสนั่นแหละเป็นกิเลสวัตถุ เพราะเป็นเหตุแห่งกิเลสทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายหลัง. ในกิเลสและกิเลสวัตถุเหล่านั้นที่ร่วมกัน.
บทว่า สสงฺคาเมว โฆสิเต ความว่า การโปรยทรัพย์มีเงินทอง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 194
แก้วมณี และแก้วมุกดาเป็นต้นแล้ว แล้วโฆษณาให้อยากได้อย่างนี้ว่า เงินและทองเป็นต้นใดๆ อยู่ในมือของคนใดๆ เงินและทองเป็นต้นนั้นๆ จงเป็นของคนนั้นๆ เถิด ดังนี้ ชื่อว่าการโฆษณาที่มีการสงคราม. ในข้อนั้น มีอธิบายดังนี้ :-
ภิกษุปุถุชนผู้เป็นคนพาลทั้งหลายนั้น ถูกกิเลสนั้นๆ ครอบงำ แล่นไป คือถึงการอยู่ตามส่วนแห่งอารมณ์นั้นๆ ในกิเลสและกิเลสวัตถุทั้งหลาย เหมือนในสถานที่มีสงคราม อันมารผู้มีกิเลสเป็นเสนาบดีโฆษณาว่า กิเลสตัวใดๆ จับสัตว์ใดๆ ครอบงำได้ สัตว์นั้นๆ จงเป็นของกิเลสตัวนั้นๆ.
เพื่อเลี่ยงคำถามที่ว่า ภิกษุเหล่านั้นแล่นไปอย่างนี้ ย่อมกระทำอะไร? จึงเฉลยว่า พากันละทิ้งพระสัทธรรม ทำการทะเลาะกันแลกัน.
คำนั้นมีอธิบายว่า ละทิ้งปฏิบัติสัทธรรมเสียแล้วทะเลาะ คือทำการทะเลาะกันแลกัน เพราะมีเกสรคืออามิสเป็นเหตุ.
บทว่า ทิฏฺิคตานิ ความว่า เป็นไปตาม คือไปตามทิฏฐิ คือการยึดถือผิดมีอาทิอย่างนี้ว่า มีเพียงวิญญาณเท่านั้น รูปธรรมไม่มี และว่าชื่อว่าบุคคลโดยปรมัตถ์ไม่มีฉันใด แม้สภาวธรรมทั้งหลายก็ฉันนั้น ว่าโดยปรมัตถ์ย่อมไม่มี มีเพียงโวหารคือชื่อเท่านั้น ย่อมสำคัญว่า นี้ประเสริฐ คือสิ่งนี้เท่านั้นประเสริฐ อย่างอื่นผิด.
บทว่า นิคฺคตา แปลว่า ออกจากเรือน.
บทว่า กฏจฺฉุภิกฺขเหตูปิ แปลว่า แม้มีภิกษาหารเพียงทัพพีเดียวเป็นเหตุ. ภิกษุทั้งหลายย่อมซ่องเสพ คือกระทำสิ่งที่มิใช่กิจ คือกรรมที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 195
บรรพชิตไม่กระทำแก่คฤหัสถ์ผู้ให้ภิกษาหารนั้น ด้วยอำนาจการระคนอันไม่สมควร.
บทว่า อุทราวเทหกํ ภุตฺวา ความว่า ไม่คิดถึงคำที่กล่าวว่า เป็นผู้มีท้องพร่อง มีอาหารพอประมาณ กลับบริโภคจนเต็มท้อง.
บทว่า สยนฺตุตฺตานเสยฺยกา ความว่า ไม่ระลึกถึงวิธีที่กล่าวไว้ว่า สำเร็จสีหไสยา การนอนอย่างราชสีห์ โดยข้างเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ กลับเป็นผู้นอนหงาย.
ด้วยบทว่า ยา กถา สตฺถุ ครหิตา นี้ ท่านกล่าวหมายเอาเดียรัจฉานกถา มีกถาว่าด้วยพระราชาเป็นต้น.
บทว่า สพฺพการุกสิปฺปานิ ได้แก่ หัตถศิลปทั้งหลายมีการทำพัดใบตาล สำหรับพัดเวลาฉันภัตเป็นต้น อันนักศิลปมีพวกแพศย์เป็นต้นจะพึงกระทำ.
บทว่า จิตฺตึ กตฺวาน แปลว่า กระทำโดยความเคารพ คือโดยมีความเอื้อเฟื้อ.
บทว่า อวูปสนฺตา อชฺฌตฺตํ ความว่า ชื่อว่าผู้ไม่สงบในภายใน เพราะไม่มีความสงบระงับกิเลส และเพราะไม่มีความตั้งใจมั่นแม้เพียงชั่วขณะรีดนม อธิบายว่า มีจิตไม่สงบระงับ.
บทว่า สามญฺตฺโถ ได้แก่ สมณธรรม.
บทว่า อติอจฺฉติ ได้แก่ นั่งแยกกัน โดยไม่ถูกต้องแม้แต่เอกเทศส่วนหนึ่ง เพราะเป็นผู้ขวนขวายกิจเกี่ยวกับอาชีพแก่คฤหัสถ์เหล่านั้น ท่านอธิบายไว้ว่า ไม่ติดชิดกัน.
บทว่า มตฺติกํ ได้แก่ ดินตามปกติ หรือดิน ๕ สี ที่ควรแก่การประกอบกิจของคฤหัสถ์ทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 196
บทว่า เตลจุณฺณญฺจ ได้แก่ น้ำมันและจุรณ ตามปกติ หรือที่ปรุงแต่ง.
บทว่า อุทกาสนโภชนํ ได้แก่ น้ำ อาสนะ และโภชนะ.
บทว่า อากงฺขนฺตา พหุตฺตรํ ความว่า ผู้หวังบิณฑบาตเป็นต้นที่ดีๆ มากมาย จึงมอบให้แก่พวกคฤหัสถ์ ด้วยความประสงค์ว่า เมื่อพวกเราให้ดินเหนียวเป็นต้น มนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้มีการคบหากันเป็นหลักเป็นฐาน จักให้จตุปัจจัยที่ดีๆ มาก.
ชื่อว่าไม้ชำระฟัน เพราะเป็นเครื่องชำระฟัน คือทำฟันให้บริสุทธิ์ ได้แก่ไม้สีฟัน.
บทว่า กปิตฺถํ แปลว่า ผลมะขวิด.
บทว่า ปุปฺผํ ได้แก่ ดอกไม้มีดอกมะลิ และดอกจำปาเป็นต้น.
บทว่า ขาทนียานิ ได้แก่ ของเคี้ยวพิเศษทั้ง ๑๘ ชนิด.
บทว่า ปิณฺฑปาเต จ สมฺปนฺเน ได้แก่ ข้าวสุกพิเศษที่ประกอบด้วยกับข้าวเป็นต้น.
ก็ด้วยศัพท์ว่า อมฺเพ อามลกานิ จ ท่านสงเคราะห์เอาผลมะงั่ว ผลตาล และผลมะพร้าวเป็นต้นที่มิได้กล่าวไว้ด้วย จ ศัพท์ ในทุกๆ บทมีวาจาประกอบความว่า หวังของดีๆ มาก จึงน้อมเข้าไปให้แก่คฤหัสถ์.
บทว่า เภสชฺเชสุ ยถา เวชฺชา อธิบายว่า พวกภิกษุปฏิบัติเหมือนหมอทั้งหลาย ผู้ทำการประกอบเภสัชแก่พวกคฤหัสถ์.
บทว่า กิจฺจากิจฺเจ ยถา คิหี ความว่า กระทำกิจน้อยใหญ่แก่พวกคฤหัสถ์ เหมือนคฤหัสถ์ทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 197
บทว่า คณิกาว วิภูสายํ ได้แก่ เครื่องประดับร่างกายของตน เหมือนพวกหญิงผู้อาศัยรูปเลี้ยงชีพ.
บทว่า อิสฺสเร ขตฺติยา ยถา ความว่า ประพฤติเป็นเจ้าแห่งตระกูลในความเป็นใหญ่ คือในการแผ่ความเป็นใหญ่ เหมือนกษัตริย์ทั้งหลาย.
บทว่า เนกติกา ได้แก่ ประกอบในการโกง, คือยินดีในการประกอบของเทียม โดยกระทำสิ่งที่ไม่ใช่แก้วมณีแท้ ให้เป็นแก้วมณี สิ่งที่ไม่ใช่ทองแท้ ให้เป็นทอง.
บทว่า วญฺจนิกา ได้แก่ ยึดเอาผิด ด้วยการนับโกงเป็นต้น.
บทว่า กูฏสกฺขี ได้แก่ เป็นพยานไม่จริง.
บทว่า อปาฏุกา ได้แก่ เป็นนักเลง อธิบายว่า เป็นผู้มีความประพฤติไม่สำรวม.
บทว่า พหูหิ ปริกปฺเปหิ ได้แก่ ด้วยชนิดแห่งมิจฉาชีพเป็นอันมากตามที่กล่าวแล้ว และอื่นๆ.
บทว่า เลสกปฺเป ได้แก่ มีกัปปิยะเป็นเลศ คือสมควรแก่กัปปิยะ.
บทว่า ปริยาเย ได้แก่ ในการประกอบการเลียบเคียงในปัจจัยทั้งหลาย.
บทว่า ปริกปฺเป ได้แก่ ในการกำหนดมีกำไรเป็นต้น, ในทุกบทเป็นสัตตมีวิภัตติ ใช้ในอรรถว่าวิสัยคืออารมณ์.
บทว่า อนุธาวิตา ได้แก่ แส่ไป คือแล่นไปด้วยบาปธรรมทั้งหลาย มีความมักใหญ่เป็นต้น. มีการเลี้ยงชีวิตเป็นอรรถ คือมีการเลี้ยงชีวิตเป็นประโยชน์ ได้แก่มีอาชีพเป็นเหตุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 198
บทว่า อุปาเยน ได้แก่ ด้วยอุบายมีปริกถาเป็นต้น คือด้วยนัยอันจะยังปัจจัยให้เกิดขึ้น.
บทว่า สงฺกฑฺฒนฺติ แปลว่า รวบรวม.
บทว่า อุปฏฺาเปนฺติ ปริสํ ความว่า ยังบริษัทให้บำรุงตน คือ สงเคราะห์บริษัท โดยประการที่บริษัทจะบำรุงตน.
บทว่า กมฺมโต ได้แก่ เพราะเหตุการงาน. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้นให้บริษัทบำรุง เพราะมีการขวนขวายอันจะพึงทำแก่ตนเป็นเหตุ.
บทว่า โน จ ธมฺมโต ความว่า แต่ไม่ให้บำรุงเพราะเหตุแห่งธรรม อธิบายว่า ไม่สงเคราะห์ด้วยการสงเคราะห์บริษัทผู้ดำรงอยู่ในสภาวะที่จะยกขึ้นกล่าวอวด ซึ่งพระศาสดาทรงอนุญาตไว้.
บทว่า ลาภโต แปลว่า เหตุลาภ, ภิกษุเหล่านั้นตั้งอยู่ในอิจฉาจารว่า มหาชนเมื่อยกย่องอย่างนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นพหูสูต เป็นผู้บอก เป็นธรรมกถึก จักน้อมนำลาภสักการะมาเพื่อเราดังนี้ จึงแสดงธรรมแก่คนอื่นเพราะลาภ.
บทว่า โน จ อตฺถโต ความว่า ประโยชน์นั้นใดอันภิกษุผู้กล่าวพระสัทธรรม ตั้งอยู่ในธรรมมีวิมุตตายตนะเป็นประธานจะพึงได้ ย่อมไม่แสดงธรรมมีประโยชน์เกื้อกูล ต่างโดยประโยชน์ปัจจุบันนั้นเป็นต้นเป็นนิมิต.
บทว่า สงฺฆลาภสฺส ภณฺฑนฺติ ความว่า ย่อมบาดหมางกัน คือ ย่อมทำการทะเลาะกัน เพราะเหตุลาภสงฆ์ โดยนัยมีอาทิว่า ถึงแก่เราไม่ถึงแก่ท่าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 199
บทว่า สงฺฆโต ปริพาหิรา ได้แก่ เป็นผู้มีภายนอกจากพระอริยสงฆ์ เพราะในพระอริยสงฆ์ไม่มีการทะเลาะกันนั้น.
บทว่า ปรลาโภปชีวนฺตา ความว่า พวกภิกษุผู้การทำความบาดหมางกัน เลี้ยงชีวิตด้วยการอาศัยลาภของผู้อันนั้น เพราะลาภในพระศาสนาเกิดขึ้นเฉพาะพระเสขะ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ผู้เป็นคนอื่นจากพวกอันธพาลปุถุชน หรือลาภที่จะพึงได้จากทายกอื่น ชื่อว่าผู้ไม่ละอาย เพราะไม่มีการเกลียดบาป ย่อมไม่ละอายใจ แม้ว่า เราบริโภคลาภของผู้อื่น, เรามีความเป็นอยู่เนื่องด้วยผู้อื่น.
บทว่า นานุยุตฺตา ได้แก่ ไม่ประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็นสมณะ.
บทว่า ตถา ได้แก่ เหมือนดังท่านผู้ประพันธ์คาถาเป็นต้น กล่าวไว้ในเบื้องต้น.
บทว่า เอเก แปลว่า บางพวก.
บทว่า มุณฺฑา สงฺฆาฏิปารุตา ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้โล้น เพราะเป็นผู้มีผมโล้นอย่างเดียว ผู้มีร่างกายครองจีวร อันได้นามว่า สังฆาฏิ เพราะอรรถว่า เอาผ้าท่อนเก่ามาติดต่อกัน.
บทว่า สมฺภาวนํเยวิจฺฉนฺติ ลาภสกฺการมุจฺฉิตา ความว่า เป็นผู้สยบ คือติดด้วยความหวังลาภสักการะ หรือว่าเป็นผู้แต่งคำพูดอันไพเราะว่า ผู้มีศีลเป็นที่รัก ผู้มีวาทะกำจัดกิเลส ผู้สดับตรับฟังมาก และปรารถนา คือแสวงหาการยกย่อง คือการนับถือมากอย่างเดียวเท่านั้นว่าเป็นพระอริยะ, หาได้ปรารถนาคุณความดี อันมีการยกย่องนั้นเป็นเหตุไม่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 200
บทว่า เอวํ ได้แก่ โดยนัยที่กล่าวว่า เพราะความสิ้นไปแห่งกุศลธรรมและปัญญา.
บทว่า นานปฺปยาตมฺหิ ได้แก่ เมื่อธรรมอันเป็นเครื่องทำลายมีประการต่างๆ ไปร่วมกันคือกระทำร่วมกัน อีกอย่างหนึ่ง เมื่อสังกิเลสธรรมเริ่มไปด้วยกัน คือดำเนินไปด้วยประการต่างๆ.
บทว่า น ทานิ สุกรํ ตถา ความว่า ในบัดนี้ คือในเวลานี้ซึ่งหากัลยาณมิตรได้ยาก และหาการฟังพระสัทธรรมอันเป็นสัปปายะได้ยาก ไม่ใช่ทำได้โดยง่าย คือไม่อาจให้สำเร็จได้ เหมือนเมื่อพระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ การถูกต้องคือการบรรลุฌานและวิปัสสนา ซึ่งยังไม่ได้ถูกต้อง คือยังไม่ได้บรรลุ หรือการอนุรักษ์คือการรักษา โดยประการที่ธรรมซึ่งได้บรรลุแล้ว ไม่เป็นหานภาคิยะ หรือไม่เป็นฐิติภาคิยะให้เป็นวิเสสภาคิยะนั้น ทำได้ง่าย ฉะนั้น.
บัดนี้ เพราะใกล้กับเวลาปรินิพพานของตน พระเถระเมื่อจะโอวาทเพื่อนสพรหมจารีด้วยโอวาทย่อๆ จึงกล่าวค่ามีอาทิว่า ยถา กณฺกฏฺานมฺหิ ดังนี้.
คำนั้นมีอธิบายว่า บุรุษผู้ไม่สวมรองเท้าเที่ยวไปในถิ่นที่มีหนาม ด้วยประโยชน์บางอย่างเท่านั้น เข้าไปตั้งสติว่า หนามอย่าได้ตำเราดังนี้ แล้วเที่ยวไป ฉันใด มุนีเมื่อเที่ยวไปในโคจรคามที่สั่งสมหนามคือกิเลสก็ฉันนั้น เข้าไปตั้งสติประกอบด้วยสติสัมปชัญญะไม่ประมาทเลย พึงเที่ยวไป ท่านอธิบายว่า ไม่ละกรรมฐาน.
บทว่า สริตฺวา ปุพฺพเก โยคี เตสํ วตฺตมนุสฺสรํ ความว่า ท่านผู้ชื่อว่าโยคี เพราะเป็นผู้ประกอบการอบรมโยคะ อันมีในก่อนระลึกถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 201
ท่านผู้ปรารภวิปัสสนาแล้ว หวนระลึกถึงวัตรของท่านเหล่านั้น คือวิธีอบรมสัมมาปฏิบัติตามแนวแห่งพระสูตรที่มา ไม่ทอดทิ้งธุระเสียปฏิบัติอย่างไรๆ อยู่.
บทว่า กิญฺจาปิ ปจฺฉิโม กาโล ความว่า แม้ถึงเวลานี้เป็นกาลสุดท้าย อันมีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว ถึงอย่างนั้น เมื่อปฏิบัติตามธรรมนั่นแล เจริญวิปัสสนาอยู่ พึงถูกต้องอมตบท คือพึงบรรลุพระนิพพาน.
บทว่า อิทํ วตฺวา ความว่า ครั้นแล้วกล่าววิธีปฏิบัตินี้ ในการทำให้ผ่องแผ้วจากสังกิเลสตามที่แสดงไว้แล้ว.
ก็คาถาสุดท้ายนี้ พึงทราบว่า ท่านพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ เพื่อประกาศการปรินิพพานของพระเถระ.
จบอรรถกถาปาราสริยเถรคาถาที่ ๑๐
จบปรมัตถทีปนี
อรรถกถาเถรคาถา วีสตินิบาต

