พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. ปฐมสาราณียสูตร ว่าด้วยสาราณียธรรม ๖ ประการ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  30 ต.ค. 2564
หมายเลข  39356
อ่าน  416

[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 535

ปฐมปัณณาสก์

สาราณิยาทิวรรคที่ ๒

๑. ปฐมสาราณียสูตร

ว่าด้วยสาราณียธรรม ๖ ประการ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 36]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 535

สาราณิยาทิวรรคที่ ๒

๑. ปฐมสาราณียสูตร

ว่าด้วยสาราณียธรรม ๖ ประการ

[๒๘๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาราณียธรรม ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรม ประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้า และลับหลัง. แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรม ประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อน พรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้า และลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรม ประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อน พรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้า และลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุแบ่งปันลาภทั้งหลาย ที่ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม แม้โดยที่สุดบิณฑบาต ย่อมบริโภคร่วมกัน กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้มีศีล แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาทิฏฐิไม่ยึดถือ เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้า และลับหลัง แม้ข้อนี้ ก็เป็นสาราณียธรรม.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 536

อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีทิฏฐิอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออก นำออกไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ แก่ผู้กระทำตาม เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้า และลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาราณียธรรม ๕ ประการ นี้แล.

จบปฐมสาราณียสูตรที่ ๑

สาราณิยาทิวรรคที่ ๒

อรรถกถาปฐมสาราณียสูตร

พึงทราบวินิจฉัย ในปฐมสาราณียสูตรที่ ๑ แห่งสาราณียาทิวรรค ที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า สาราณียา ได้แก่ ธรรมที่ควรให้ระลึกถึงกัน. บทว่า เมตฺตํ กายกมฺมํ ได้แก่ กายกรรมที่พึงกระทำ ด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา. แม้ในวจีกรรม และมโนกรรมทั้งหลาย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ก็แลเมตตากายกรรม เป็นต้นเหล่านี้ ตรัสไว้ ด้วยสามารถแห่งภิกษุทั้งหลาย. แม้คฤหัสถ์ทั้งหลาย ก็นำไปใช้ได้. อธิบายว่า สำหรับภิกษุทั้งหลาย การบำเพ็ญธรรม คือ อภิสมาจาริกวัตร ด้วยเมตตาจิต ชื่อว่า เมตตากายกรรม. สำหรับคฤหัสถ์ทั้งหลาย กรรมมีอาทิอย่างนี้ว่า การเดินทางไป เพื่อไหว้พระเจดีย์ เพื่อไหว้โพธิพฤกษ์ เพื่อนิมนต์พระสงฆ์ การเห็นภิกษุทั้งหลาย ผู้เข้าไปสู่บ้าน เพื่อบิณฑบาต แล้วลุกขึ้นต้อนรับ การรับบาตร การปูลาดอาสนะ และการตามส่ง ชื่อว่า เมตตากายกรรม.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 537

สำหรับภิกษุทั้งหลาย การบอกสอนอาจารบัญญัติ การบอกกรรมฐาน การแสดงธรรม การบอกพระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก (แก่ภิกษุ สามเณร) ด้วยเมตตาจิต ชื่อว่า เมตตาวจีกรรม. สำหรับคฤหัสถ์ทั้งหลาย ในเวลาที่กล่าวคำ เป็นต้นว่า พวกเราจักไปเพื่อไหว้พระเจดีย์ พวกเราจักไปเพื่อไหว้โพธิพฤกษ์ พวกเราจักกระทำการฟังธรรม พวกเราจักกระทำการบูชาด้วยประทีป ระเบียบ และดอกไม้ พวกเราจักสมาทาน ซึ่งสุจริต ๓ พวกเราจักถวายสลากภัตร เป็นต้น พวกเราจักถวายผ้าจำนำพรรษา วันนี้พวกเราจักถวายปัจจัย ๔ แก่พระสงฆ์ ท่านทั้งหลายจงนิมนต์พระสงฆ์แล้ว จัดแจงของขบฉัน เป็นต้น พวกท่านจงปูลาดอาสนะ พวกท่านจงตั้งน้ำดื่ม พวกท่านจงต้อนรับนำพระสงฆ์มา พวกท่านจงให้พระสงฆ์นั่งบนอาสนะ ที่ปูลาดแล้ว เกิดอุตสาหะ กระทำไวยาวัจกิจ ดังนี้ ชื่อว่า เมตตาวจีกรรม.

สำหรับภิกษุทั้งหลาย การลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ กระทำการปฏิบัติสรีระก็ดี กระทำวัตรที่ลานพระเจดีย์ เป็นต้นก็ดี นั่งบนอาสนะที่สงัด แล้วคิดว่า ภิกษุทั้งหลายในวิหารนี้ จงมีความสุข ไม่มีเวร ไม่มีทุกข์ ดังนี้ ชื่อว่า เมตตามโนกรรม. สำหรับคฤหัสถ์ทั้งหลาย การคิดว่า ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย จงอยู่เป็นสุข ไม่มีเวร ไม่มีทุกข์ ดังนี้ ชื่อว่า เมตตามโนกรรม.

บทว่า อาวิ เจว รโห จ ความว่า ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ในสองอย่างนั้น การถึงความเป็นสหาย (การช่วยเหลือ) ในจีวรกรรม เป็นต้น ของภิกษุใหม่ทั้งหลาย ชื่อว่า กายกรรมต่อหน้า. ส่วนวจีกรรมทุกอย่าง แม้ต่างโดยการถวายน้ำล้างเท้าแก่พระเถระ เป็นต้น ชื่อว่า กายกรรมต่อหน้า.

การช่วยเก็บงำ สิ่งของทั้งหลายมีฟืน เป็นต้น ที่ภิกษุใหม่ และพระเถระทั้งสองฝ่าย เก็บไว้ไม่เรียบร้อย ไม่ทำให้เสียหาย ในภัณฑะเหล่านั้น ดุจเก็บงำ ของที่ตนเก็บไว้ไม่ดีให้เรียบร้อย ฉะนั้น ชื่อว่า เมตตากายกรรมลับหลัง.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 538

การกล่าวยกย่องอย่างนี้ว่า ท่านเทวเถระ ท่านติสสเถระ ดังนี้ ชื่อว่า เมตตาวจีกรรมต่อหน้า. ก็และเมื่อจะสอบถามถึงพระเถระ ผู้ไม่อยู่ในวิหาร การกล่าวคำน่ารักอย่างนี้ว่า ท่านเทวเถระของเราไปไหน ท่านติสสเถระ ของเราไปไหน เมื่อไรจักมาหนอ ดังนี้ ชื่อว่า เมตตาวจีกรรมลับหลัง.

ส่วนการลืมตา อันสนิทสนมด้วยสิเนหา มองดูด้วยใบหน้าอันแจ่มใส ชื่อว่า เมตตามโนกรรมต่อหน้า. การมุ่งดี (เอาใจช่วย) ว่า ขอท่านเทวเถระ ท่านติสสเถระ จงไม่มีโรค ไม่มีอาพาธ ดังนี้ ชื่อว่า เมตตามโนกรรมลับหลัง.

บทว่า ลาภา ได้แก่ ปัจจัยที่ได้มา มีจีวร เป็นต้น. บทว่า ธมฺมิกา ได้แก่ ลาภที่เกิดขึ้น ด้วยภิกขาจริยวัตร โดยธรรม สม่ำเสมอ โดยเว้นมิจฉาอาชีวะ ต่างโดยโกหก (หลอกลวง) เป็นต้น. บทว่า อนฺตมโส ปตฺต ปริยาปนฺนมตฺ ตมฺปิ ความว่า โดยที่สุดแม้เพียงภิกษา ๒ - ๓ ทัพพี ที่เนื่องแล้วในบาตร คืออยู่ติดก้นบาตร.

ในบทว่า อปฺปฏิวิภตฺตโภคี นี้ การแบ่งปันมี ๒ อย่าง คือ การแบ่งปันอามิส ๑ การแบ่งปันบุคคล ๑. ในสองอย่างนั้น การแบ่งปันโดยคิดอย่างนี้ว่า เราจักให้เท่านี้ ไม่ให้เท่านี้ ดังนี้ ชื่อว่า แบ่งปันอามิส. การแบ่งปัน โดยคิดอย่างนี้ว่า เราจักให้แก่ภิกษุรูปโน้น ไม่ให้รูปโน้น ดังนี้ ชื่อว่า แบ่งปันบุคคล. ภิกษุผู้ไม่หวงลาภบริโภค โดยไม่กระทำทั้งสองอย่างนั้น ชื่อว่า อปฺปฏิวิภตฺตโภคี.

ลักษณะของผู้บริโภคร่วมกัน ในบทว่า สีลวนฺเตหิ สพฺรหฺมจารีหิ สาธารณโภคี นี้ มีดังนี้ ภิกษุได้อาหารใดๆ ที่ประณีต ไม่ยอมให้แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย โดยมุ่งเอาลาภต่อลาภ (ทั้ง) ไม่บริโภคด้วยตนเอง และเมื่อจะรับ ก็รับด้วย

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 539

คิดว่า จงเป็นของสาธารณะกับหมู่สงฆ์ ย่อมเห็นเสมือนเป็นของสงฆ์ ที่จะต้องตีระฆัง ให้มาบริโภคร่วมกัน. ถามว่า ก็ใครบำเพ็ญสาราณียธรรมนี้ ให้บริบูรณ์ได้ ใครไม่บำเพ็ญให้บริบูรณ์? ตอบว่า ผู้ทุศีล ย่อมบำเพ็ญให้บริบูรณ์ไม่ได้ก่อน เพราะภิกษุผู้มีศีลทั้งหลาย จะไม่ยอมรับสิ่งของของผู้ทุศีลนั้น. ส่วนภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ ไม่ยอมให้วัตรด่างพร้อย ย่อมบำเพ็ญให้บริบูรณ์ได้. ในการบำเพ็ญสาราณียธรรม ให้บริบูรณ์ได้นั้น มีธรรมเนียม ดังนี้.

ก็ภิกษุใด ตั้งใจให้ของแก่มารดาก็ดี แก่บิดาก็ดี แก่อาจารย์ และอุปัชฌาย์ เป็นต้นก็ดี ภิกษุนั้น (ชื่อว่า) ย่อมให้สิ่งที่ควรให้ (แก่คนที่ควรให้) แต่ไม่ชื่อว่า มีสาราณียธรรม มีแต่เพียงการปฏิบัติผู้ที่ควรห่วงใย. เพราะว่าสาราณียธรรม ย่อมเหมาะแก่ผู้ที่พ้นจากปลิโพธิ (ความห่วงใย) แล้ว. ก็ผู้ที่จะบำเพ็ญสาราณียธรรมนั้น เมื่อจะให้โดยเจาะจง ควรให้แก่ภิกษุไข้ ผู้พยาบาลภิกษุไข้ ภิกษุอาคันตุกะ และภิกษุผู้เตรียมตัวจะเดินทาง และภิกษุผู้บวชใหม่ ยังไม่รู้การรับสังฆาฏิ และการรับบาตร ครั้นให้แก่ภิกษุเหล่านี้แล้ว ยังมีของเหลือ นับจำเดิมแต่อาสนะ แห่งพระเถระไป ภิกษุใดจะรับเท่าใด ควรให้ภิกษุนั้น เท่านั้น โดยไม่ให้องค์ละเล็กละน้อย. เมื่อไม่มีของเหลือ ออกไปบิณฑบาตอีก ควรให้ส่วนที่ประณีตนั้นๆ จำเดิมแต่อาสนะ แห่งพระเถระไป (ตัวเอง) บริโภคส่วนที่เหลือ.

เพราะมีพระบาลีว่า สีลวนฺเตหิ ดังนี้ ถึงจะไม่ให้แก่ภิกษุผู้ทุศีลก็ควร. ก็สาราณียธรรมนี้ บำเพ็ญได้ง่าย ในบริษัทที่ศึกษาดีแล้ว เพราะในหมู่บริษัทที่ศึกษาดีแล้ว ภิกษุใดได้ (อาหาร) มาจากที่อื่น ภิกษุนั้นจะไม่ยอมรับ ถึงแม้จะไม่ได้มาจากที่อื่น ก็จะรับแต่พอประมาณเท่านั้น ไม่รับจนเหลือเฟือ. ก็สาราณียธรรมนี้ เมื่อภิกษุจะให้ของที่ตนไปบิณฑบาตได้มาบ่อยๆ อย่างนี้ จะบำเพ็ญให้บริบูรณ์ได้ ต้องใช้เวลา ๑๒ ปี ต่ำกว่านั้นบริบูรณ์ไม่ได้.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 540

เพราะถ้าเธอบำเพ็ญสาราณียธรรม ในปีที่ ๑๒ วางบาตรที่เต็มด้วยอาหาร ไว้บนอาสนศาลา แล้วไปอาบน้ำ และพระสังฆเถระ มาถามว่า นี่บาตรของใคร? เมื่อเขาตอบว่า บาตรของผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม ก็จะกล่าวว่า จงนำเอาบาตรนั้นมา แล้ว เลือกฉันบิณฑบาตนั้น จนหมดทุกอย่าง ตั้งบาตรเปล่าไว้. ครั้นภิกษุนั้น มาเห็นบาตรเปล่า ก็จะเกิดโทมนัสว่า ภิกษุทั้งหลายฉันเสียหมด ไม่เหลือไว้ให้เราเลย. สาราณียธรรมจะแตก ต้องบำเพ็ญใหม่อีก ๑๒ ปี คล้ายกับติตถิยปริวาส. ภิกษุนั้น เมื่อสาราณียธรรม ด่างพร้อยคราวเดียว ต้องบำเพ็ญใหม่อีก. ส่วนภิกษุใด เกิดโสมนัสว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เพื่อนสพรหมจารี ไม่สอบถามถึงอาหารที่อยู่ใน บาตรของเราแล้วฉัน ดังนี้. สาราณียธรรม ของภิกษุนั้น ชื่อว่า สมบูรณ์แล้ว. ก็ภิกษุผู้มีสาราณียธรรมบริบูรณ์อย่างนี้ ย่อมไม่มีความริษยา ไม่มีความตระหนี่ ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย หาปัจจัยได้ง่าย แม้ของที่เขาถวายแก่เธอ ผู้มีสาราณียธรรมสมบูรณ์ ย่อมไม่สิ้นไป. เธอย่อมได้สิ่งของมีค่า ในฐานะที่เธอจำแนกแจกสิ่งของ เมื่อประสบภัย หรือความหิวโหย เทวดาทั้งหลายย่อมช่วยเหลือ. ในข้อนั้น มีเรื่องดังต่อไปนี้ เป็นตัวอย่าง.

เรื่องพระติสสเถระ

เล่ากันมาว่า พระติสสเถระ ชาวเลณคิรีวิหาร อยู่อาศัยบ้านชื่อว่า มหาขีระ. พระมหาเถระ ๕๐ รูป เดินทางไปไหว้นาคทีปเจดีย์ เที่ยวบิณฑบาตในขีรคาม ไม่ได้อะไรเลย จึงพากันออกไป. พระติสสเถระเข้าไป เห็นพระเถระเหล่านั้น จึงถามว่า ท่านขอรับ ท่านได้ (อาหาร) แล้วหรือ? พระเถระเหล่านั้นตอบว่า คุณ พวกเราไปมาแล้ว. ท่านรู้ว่า พระเถระเหล่านั้น

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 541

ไม่ได้อาหาร จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ขอพวกท่านจงรออยู่ในที่นี้แหละ จนกว่าผมจะกลับมา. พระเถระเหล่านั้นกล่าวว่า คุณ! พวกเรามีถึง ๕๐ รูป ยังไม่ได้แม้แต่เพียงน้ำล้างบาตร. ท่านพระติสสเถระกล่าวว่า ท่านขอรับ ขึ้นชื่อว่า ภิกษุผู้เป็นเจ้าของถิ่น ย่อมเป็นผู้สามารถ ถึงแม้จะไม่ได้ภิกษา ก็ย่อมรู้ช่องทางภิกษาจาร. พระเถระทั้งหลาย คอยอยู่แล้ว พระติสสเถระเข้าไปสู่บ้านแล้ว มหาอุบาสิกา จัดขีรภัตร (ไว้คอยท่า) ในหมู่บ้านใกล้ๆ นั่นเอง ยืนมองดูพระเถระอยู่แล้ว พอพระเถระมาถึงประตูเท่านั้น ก็ถวายอาหาร จนเต็มบาตร ท่านถือเอาบาตรนั้น ตรงไปยังสำนักของพระเถระทั้งหลาย แล้วกล่าวกับพระสังฆเถระว่า นิมนต์รับเถิดขอรับ. พระเถระคิดว่า พวกเรา จำนวนเท่านี้ ยังไม่ได้อะไรเลย ภิกษุรูปนี้ ถือเอาบาตรไป กลับมาเร็วแท้ นี้อะไรกันหนอ ดังนี้แล้ว มองหน้าพระเถระที่เหลือทั้งหลาย. พระติสสเถระ รู้โดยอาการที่มองหน้า นั่นแหละ กล่าวว่า ท่านขอรับ บิณฑบาตผมได้มาโดยชอบธรรม ขอท่านทั้งหลาย อย่ารังเกียจเลย นิมนต์รับเถิด แล้วถวายบิณฑบาต แก่พระเถระทุกรูป พอแก่ความต้องการ ส่วนตนเองก็ฉันจนอิ่ม.

ครั้นในเวลาเสร็จภัตกิจ พระเถระทั้งหลาย ถามท่านว่า คุณ! คุณบรรลุโลกุตรธรรมเมื่อไร? ท่านตอบว่า ท่านขอรับ ผมยังไม่มีโลกุตรธรรม พระเถระทั้งหลายถามว่า อาวุโส คุณได้ฌานหรือ? ท่านตอบว่า ท่านขอรับ ถึงฌานผมก็ยังไม่ได้. พระเถระทั้งหลายถามว่า หรือคุณมีปาฏิหาริย์? ท่านตอบว่า ผมบำเพ็ญสาราณียธรรมขอรับ ตั้งแต่เวลาที่ผมบำเพ็ญสาราณียธรรม บริบูรณ์แล้ว แม้หากจะมีภิกษุทั้ง ๑๐๐,๐๐๐ รูป อาหารที่อยู่ในบาตร ก็ไม่หมดสิ้น. พระเถระเหล่านั้น กล่าวว่า สาธุ สาธุ ท่านสัตบุรุษ ข้อนี้ สมควรแก่ท่านแล้ว ดังนี้. เท่าที่เล่ามานี้ เป็นตัวอย่างในข้อว่า อาหารที่อยู่ในบาตร ไม่หมดสิ้นไปก่อน.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 542

ก็พระติสสเถระองค์เดียวกันนี้แหละ ไปสู่ที่ถวายทาน เพื่อมหาบูชา ในเจติยบรรพต ชื่อว่า คิริกัณฑะ แล้วถามว่า ในการให้ทานนี้ มีอะไรเป็น ของประเสริฐที่สุด. คนทั้งหลายตอบว่า มีผ้าสาฏก ๒ ผืนขอรับ. พระเถระกล่าวว่า ผ้าสาฏกคู่นี้จักถึงแก่เรา อำมาตย์ได้ยินคำนั้นแล้ว ไปกราบทูลพระราชาว่า ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งกล่าวอย่างนี้. พระราชาตรัสว่า ภิกษุหนุ่มมีความคิดอย่างนี้ (แต่) ผ้าสาฏกเนื้อละเอียดเหมาะแก่พระมหาเถระทั้งหลาย แล้วทรงวางคู่ ผ้าสาฏกด้วยทรงดำริว่า เราจักถวายแก่พระมหาเถระทั้งหลาย. เมื่อท้าวเธอถวาย (ผ้า) ในภิกษุสงฆ์ผู้ยืนอยู่ตามลำดับ ผ้าสาฏกที่วางไว้บนก็ไม่ติดพระหัตถ์ ผ้าผืนอื่นกลับติดพระหัตถ์ แต่ในเวลาทรงถวายแก่ภิกษุหนุ่ม ผ้าสาฏกทั้งสองผืนนั้น กลับติดพระหัตถ์ ท้าวเธอทรงวางไว้บนมือของภิกษุหนุ่มแล้ว ทรงมองดูหน้าอำมาตย์ นิมนต์ให้ภิกษุหนุ่มนั่ง ถวายทาน ทรงละภิกษุสงฆ์แล้ว ประทับในสำนักของภิกษุหนุ่ม ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณท่าน บรรลุธรรมนี้เมื่อไร? เธอไม่ทูลคุณธรรมที่ไม่มีอยู่โดยอ้อมค้อม แต่กลับทูลว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร โลกุตรธรรมของอาตมภาพไม่มี. พระราชาตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนพระคุณเจ้าก็ได้พูดไว้แล้ว มิใช่หรือ? ภิกษุหนุ่มตอบว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ถูกแล้ว อาตมภาพบำเพ็ญสาราณียธรรม เริ่มแต่เวลาที่อาตมภาพบำเพ็ญสาราณียธรรม บริบูรณ์แล้ว ในที่ที่เขาแจกสิ่งของ (ทุกแห่ง) ของมีค่ามากจะตก (แก่อาตมภาพ). พระราชตรัสว่า สาธุ สาธุ พระคุณเจ้า ผ้าสาฏกคู่นี้สมควรแก่พระคุณเจ้าแล้ว เสด็จหลีกไป. เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นตัวอย่างในข้อว่า ในที่ที่เขาแจกของกัน ของมีค่าจะตก (แก่ผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม).

ก็ชาวบ้านผู้อาศัยอยู่ในภารตคาม ไม่ทันได้บอกกล่าวแก่ พระนาคเถรี รีบหนีไป ในเพราะพรหมติสสภัย. ในวันรุ่งขึ้น พระเถรีพูดกับภิกษุสาว

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 543

ชื่อว่า จัณฑาลติสสะว่า บ้านเงียบเหลือเกิน เธอทั้งหลาย จงไปตรวจสอบดูก่อน ภิกษุณีสาวเหล่านั้นไปแล้ว รู้ข้อที่คนทั้งปวงหนีไป จึงกลับมาบอกแก่พระเถรี. พระเถรีฟังแล้วจึงพูดว่า พวกเธออย่าคิดถึงข้อที่คนเหล่านั้นหนีไปเลย จงทำความเพียรในอุเทศ การสอบถาม และโยนิโสมนสิการของตนไว้เถิด ดังนี้แล้ว ในเวลาภิกขาจาร ห่มจีวรแล้ว (รวม) ๑๒ รูปทั้งตัวเอง ได้พากันไปยืนอยู่ที่โคนต้นไทร ใกล้ประตูบ้าน. เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้ ได้ถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุทั้ง ๑๒ รูป แล้วกล่าวว่า ข้าแต่คุณแม้เจ้า ขอท่านอย่าไปที่อื่นเลย นิมนต์มาที่นี้แห่งเดียวเป็นประจำ. ก็ (ในที่นั้น) มีพระเถระองค์หนึ่ง นามว่า นาคะ เป็นน้องชายของพระเถรี. ท่านคิดว่า ภัยใหญ่ (เหลือเกิน) เราไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ เราจักไปฝั่งโน้น รวมเป็น ๑๒ รูปทั้งตัวท่านเอง ออกจากที่อยู่ของตนๆ มาสู่ภารตคามด้วยคิดว่า เราจักไปเยี่ยมพระเถรี. พระเถรีได้ทราบว่า พระเถระมา จึงไปยังสำนักของพระเถระเหล่านั้น แล้วถามว่า มีเรื่องอะไรหรือ พระคุณเจ้า? พระเถระแจ้งพฤติการณ์นั้นแล้ว. พระเถรีพูดว่า วันนี้ นิมนต์พวกท่านอยู่ในวิหารนี้ (สัก) วันหนึ่ง รุ่งขึ้นค่อยไป. พระเถระทั้งหลาย ได้ไปยังวิหารแล้ว.

ในวันรุ่งขึ้น พระเถรีไปบิณฑบาตที่ควงไม้ แล้วเข้าไปหาพระเถระ พูดว่า นิมนต์พวกท่านฉันบิณฑบาตนี้. พระเถระไม่พูดว่า จักสมควร ดังนี้ แล้วยืนนิ่งเสีย. พระเถรีกล่าวว่า พระคุณท่าน บิณฑบาตนี้เป็นของชอบธรรม ขอท่านทั้งหลายอย่ารังเกียจเลย จงฉันเถิด ดังนี้. พระเถระกล่าวว่า จะเหมาะหรือพระเถรี? พระเถรีนั้นหยิบบาตร (ของพระเถระ) แล้วโยนไปในอากาศ. บาตรได้ลอยอยู่บนอากาศ. เพราะเถระกล่าวว่า ดูก่อนพระเถรี ภัตที่ลอยอยู่บนอากาศสูง ๗ ชั่วลำตาล เป็นภัตตาหารสำหรับภิกษุณีเท่านั้น ดังนี้ แล้วกล่าวต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่า ภัย จะไม่มีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อภัยสงบแล้ว

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 544

เราผู้กล่าวอริยวงศ์ ถูกจิตกล่าวเตือนอยู่เนืองๆ ว่า ท่านผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรผู้เจริญ ท่านทั้งหลาย จะฉันภัตตาหารของภิกษุณี แล้วปล่อยให้เวลาล่วงไปหรือดังนี้ จักไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ ดูก่อนภิกษุณีทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด.

ฝ่ายรุกขเทวดาก็คิดว่า ถ้าพระเถระจักฉันบิณฑบาต จากมือของพระเถรีแล้วไซร้ เราจักไม่ให้ท่านกลับ ถ้าไม่ฉัน เราจักให้ท่านกลับ ยืนดูการเดินไปของพระเถระ แล้วลงจากต้นไม้ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าจงให้บาตรแก่ข้าพเจ้า แล้วรับบาตร นำพระเถระไปยังควงไม้นั่นแหละ ปูอาสนะ ถวายบิณฑบาต ให้พระเถระที่เสร็จภัตกิจแล้ว กระทำปฏิญญา (รับคำ) บำรุงทั้งภิกษุณี ๑๒ รูป ทั้งภิกษุ ๑๒ รูป อยู่เป็นเวลาถึง ๗ ปี. นี้เป็นตัวอย่างในข้อว่า เทวดาทั้งหลาย ย่อมขวนขวาย. เพราะในเรื่อง (ที่เป็นตัวอย่าง) นั้น พระเถรีได้บำเพ็ญสาราณียธรรมมา จนครบบริบูรณ์.

พึงทราบวินิจฉัย ในบทมีอาทิว่า อขณฺฑานิ เป็นต้น ดังต่อไปนี้ บรรดากองอาบัติทั้ง ๗ กอง ผู้ใดมีสิกขาบทขาดในตอนปลาย หรือตอนต้น ศีลของผู้นั้นชื่อว่า ขาด เหมือนผ้าขาดที่ชาย ส่วนผู้ใดมีสิกขาบท ขาดที่ท่ามกลาง ศีลของผู้นั้น ชื่อว่า ทะลุ เหมือนผ้าที่ทะลุ (ตรงกลาง) ผู้ใดมีสิกขาบท ๒ - ๓ สิกขาบทขาดตามลำดับ ศีลของผู้นั้น ชื่อว่า ด่าง เหมือนแม่โคมีสีดำ สีแดง เป็นต้น สีใดสีหนึ่ง โดยมีสีตัดกันปรากฏที่หลัง หรือที่ท้อง. ผู้ใดมีสิกขาบทขาดในระหว่างๆ ศีลของผู้นั้น ชื่อว่า พร้อย เหมือนแม่โคที่มีจุดแพรวพราว สลับกันในระหว่างๆ. ส่วนผู้ใดมีสิกขาบททั้งหมดไม่ขาดเลย ผู้นั้น ชื่อว่า มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย. แต่ว่าสิกขาบทเหล่านี้นั้น ท่านเรียกว่า ชื่อว่า ภุชิสฺส (เป็นไท) เพราะกระทำ ความเป็นไท โดยพ้นจากความเป็นทาสของตัณหา. ชื่อว่า วิญญูปสัตถะ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 545

(อันวิญญูชนสรรเสริญ) เพราะวิญญูชนทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ทรง สรรเสริญ. ชื่อว่า อปรามัฏฐะ เพราะตัณหา และทิฏฐิ ไม่ลูบคลำ (ไม่เกาะเกี่ยว) และเพราะใครๆ ไม่สามารถปรามาสได้ว่า ท่านเคยต้องอาบัติ ชื่อนี้มา และท่านเรียกว่า ชื่อว่า สมาธิสังวัตตนิกา เพราะยังอุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิให้เป็นไป.

บทว่า สีลสามญฺคโต วิหรติ ความว่า เป็นผู้มีปกติเข้าถึง ความเป็นผู้เสมอกันด้วยภิกษุทั้งหลาย ผู้อยู่ในทิศาภาคเหล่านั้นๆ อยู่. เพราะว่า ศีลของพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมเป็นศีลเสมอกัน ด้วยศีลของพระอริยะเหล่าอื่น มีพระโสดาบัน เป็นต้น ผู้อยู่ในระหว่างแห่งมหาสมุทรบ้าง ในเทวโลกนั่นแหละบ้าง เพราะฉะนั้น ในมรรคศีล (ศีลในองค์มรรค) จึงไม่มีความแตกต่างกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส คำว่า สีลสามญฺคโต วิหรติ นี้ไว้ โดยทรงหมายเอา ศีลของพระโสดาบัน เป็นต้นนั้น.

บทว่า ยายํ ทิฏฺิ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิที่สัมปยุตด้วยมรรค. บทว่า อริยา คือ ไม่มีโทษ. ทิฏฐิ ชื่อว่า นิยยานิกา เพราะเป็นเหตุ นำสัตว์ออกไปจากภพ. บทว่า ตกฺกรสฺส ความว่า ได้แก่ ผู้ที่ทำอย่างนั้น. บทว่า ทุกฺขกฺขยาย ความว่า เพื่อสิ้นสรรพทุกข์. บทว่า ทิฏฺิสามญฺคโต ความว่า เป็นผู้เข้าถึง ความเป็นผู้มีทิฏฐิ เสมอกันอยู่.

จบอรรถกถา ปฐมสาราณียสูตรที่ ๑