[คำที่ ๕๓๒] จิตฺตมล

 
Sudhipong.U
วันที่  29 ต.ค. 2564
หมายเลข  39283
อ่าน  380

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “จิตฺตมล”

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

จิตฺตมล อ่านตามภาษาบาลีว่า จิด - ตะ - มะ - ละ มาจากคำว่า จิตฺต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็น ประธานในการรู้แจ้งอารมณ์,จิต) กับคำว่า มล (มลทิน, สิ่งสกปรก, สิ่งที่ทำให้เศร้าหมอง) รวมกันเป็น จิตฺตมล แปลว่า เครื่องเศร้าหมองของจิต, มลทินของจิต แสดงถึงความสกปรก ความไม่สะอาด คือ กิเลส ซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เป็นสิ่งสกปรกของจิต ทำให้จิตเศร้าหมอง ทำให้จิตถูกแปดเปื้อนด้วยของไม่ สะอาด ซึ่งมีจริงๆ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และก็มีมากบ้าง น้อยบ้าง ตามการสะสมของ แต่ละบุคคลแต่ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหลายไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น มีแต่โทษเท่านั้น ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก หริตจชาดก ดังนี้

ดูกร ภิกษุธรรมดากิเลส ย่อมไม่มีความชื่นบาน เพราะขจัดคุณความดีมีแต่จะให้ตกนรก

ข้อความในปรมัตถทีปนีอรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ มลสูตร แสดงความจริง ว่า มลทินของจิตคือกิเลส นั้น จะต้องนำออกไปด้วยอริยมรรค เท่านั้น ดังนี้

มลทินของร่างกาย ได้แก่ เหงื่อไคลเป็นต้น เกิดแล้วในร่างกาย และละอองธุลีที่ปลิวมาจับอยู่ใน ร่างกายนั้น มลทินนั้น จะนำออกไปได้ก็ด้วยน้ำ แต่สังกิเลส (เครื่องเศร้าหมองพร้อมของจิต) หาเป็น เช่นนั้นไม่ เพราะสังกิเลส มีราคะ เป็นต้น ที่เป็นมลทินของจิต จะนำออกไปได้ด้วยพระอริยมรรค เท่านั้น


ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลส อกุศลย่อมเกิดขึ้นเป็นส่วนมาก กุศล เกิดน้อยมากถ้าเทียบกับอกุศล ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วใน สังสารวัฏฏ์ เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ถูกกิเลสครอบงำอยู่ตลอด ทั้งทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะโมหะ เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่มี โทษ ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นมลทินคือเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต กิเลสทุกประเภทเป็นเครื่อง เศร้าหมองของจิต เมื่อกิเลสเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ก็ทำให้จิตเศร้าหมอง และยังขจัดหรือทำลายซึ่งกุศลธรรม กุศลธรรมไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นได้เลย และถ้ามีกำลังถึงกับล่วงเป็นทุจริตกรรมประทุษร้าย เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ก็เป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้า มีการเกิดในอบายภูมิได้รับแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อนมากมาย เป็นต้น เพราะสภาพธรรมฝ่ายที่ไม่ดีนั้น ให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น จะนำมาซึ่งผลที่ดี ไม่ได้เลย

เมื่อโลภะเกิดขึ้น ก็ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ปล่อย ไม่สละ ไม่ยอมให้จิตเป็นกุศล และ ไม่ปล่อยให้ ออกไปจากสังสารวัฏฏ์ด้วย ขณะที่โทสะเกิดขึ้น คุณความดีเกิดไม่ได้จิตของผู้ถูกโทสะครอบงำ ย่อมไม่ น้อมไปสู่กุศลธรรมเลย มีแต่ความขุ่นข้องหมองใจ ไม่พอใจ เมื่อสะสมมีกำลังมากขึ้น ก็สามารถล่วงเป็น ทุจริตกรรมประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนหรือถึงกับสิ้นชีวิตได้ ส่วนโมหะ เป็นกิเลสที่เกิด ร่วมกับอกุศลจิตทุกประเภท ไม่มีเว้นเลย ขณะที่โมหะเกิดขึ้น ขณะนั้นมืดมิด ไม่สามารถรู้สภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริงได้ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ว่าอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ และตราบใดที่ยังมีโมหะอยู่ก็ยัง ท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ต่อไป นี้เพียง ๓ ประเภทใหญ่ๆ ที่เป็นมลทินของจิต แต่เมื่อกล่าวโดย ประมวลแล้ว กิเลสทุกประเภท กล่าวคือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ (ความสำคัญตน) มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็น ผิด) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่ออกุศลธรรม) อโนตตัปปะ (ความไม่ เกรงกลัวต่ออกุศลธรรม) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบ) และ ถีนะ (ความท้อแท้ท้อถอย หดหู่) เป็น มลทินของจิตเพราะเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้จิตไม่สะอาดและยังขัดขวางตัดรอนโอกาสแห่งกุศล ธรรมอีกด้วย

ที่น่าพิจารณาคือ บุคคลบางคนเป็นผู้รักความสะอาดทางกายเป็นผู้ที่รังเกียจความสกปรกทางกายมาก แต่ว่าลืมคิดว่า ขณะใดที่กิเลสเกิดขึ้น ขณะนั้นสกปรกหรือว่าน่ารังเกียจยิ่งกว่าความสกปรกทางกาย กิเลส เกิดกับจิตขณะใด ก็ทำให้จิตขณะนั้นเป็นอกุศลไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยแม้แต่น้อย ในชีวิตประจำวันอกุศล จิตเกิดขึ้นเป็นไปมากทีเดียว นี้คือความเป็นจริงของธรรมฝ่ายที่ไม่ดีซึ่งเป็นอกุศลธรรม เป็นธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีผู้ที่ให้ทาน รักษาศีล งดเว้นจากทุจริตต่างๆ และเจริญสมถ ภาวนา (การอบรมเจริญความสงบของจิต) จนถึงอรูปฌานขั้นสูงสุด สามารถระงับหรือข่มกิเลสได้ด้วยกำลัง ของความสงบของจิต แต่ไม่มีใครสามารถดับกิเลสได้เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตลอด ระยะเวลา ๔ อสงไขยแสนกัปป์มาแล้ว เมื่อครั้งที่ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ จึงทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความ เป็นจริงถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วก็ได้ทรงแสดงหนทางคือการ อบรมเจริญปัญญาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงจนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ตาม ลำดับขั้นแก่พุทธบริษัท จึงมีพระอริยสงฆ์สาวก ผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น เป็นจำนวน มาก ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ถ้าหากพุทธบริษัทยังไม่สามารถรู้แจ้งธรรมในชาตินั้นได้ก็สะสมเป็นอุปนิสัยที่ ดีที่จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมยิ่งขึ้นต่อไปในภายหน้า

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เพราะทรงแสดงถึงลักษณะของ สภาพธรรมที่ทรงตรัสรู้ โดยทรงประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ ถ้าผู้ใดไม่ศึกษาพระ ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้โดยละเอียดให้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมไม่สามารถมีปัญญาที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมและดับกิเลสได้ยังไม่พ้นจากเครื่องเศร้าหมองของจิต

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ตลอด ๔๕ พรรษา เป็นคำสอนที่ประเสริฐยิ่ง เป็นไปเพื่อ ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด เพื่อให้พุทธบริษัทได้เห็นโทษเห็นภัยของกิเลส เพื่อรู้จักตนเองตาม ความเป็นจริงว่ายังเป็นผู้มากไปด้วยกิเลส ซึ่งจะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตประจำวัน เพื่อจะได้ขัดเกลา ละคลายสิ่งที่เป็นมลทินของจิต ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม บ่อยๆ เนื่องๆ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย บุคคลผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็จะดำรงมั่นในหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สัตว์โลกพ้นจากมลทิน คือกิเลสอันเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตได้ในที่สุด


อ่านคำอื่นๆ คลิกที่นี่ ... บาลี ๑ คำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 29 ต.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ