กว่าจะเข้าใจต้องฟังอย่างละเอียด_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  23 ต.ค. 2564
หมายเลข  38921
อ่าน  734

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


"กว่าจะเข้าใจต้องฟังอย่างละเอียด"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๔


(ดอบบัวที่ มศพ. บันทึกภาพ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๔)



~ การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อมีความเข้าใจถูก ว่า ความไม่รู้และความมืด ความบอด มีแค่ไหน ทั้งๆ ที่กำลังเป็นจิต
(สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) ก็ไม่รู้ว่าเป็นจิต

~ ต้องเป็นคนตรงจริงๆ พูดคำเดียว แต่ว่าความเข้าใจในคำนั้น มีหรือเปล่า แค่ไหน?

~ มีทุกอย่าง พูดถึงทุกอย่างได้ แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้นเลย จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ต้องละเอียด เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ถูกเห็นกำลังปรากฏทั้งวัน มีแต่สิ่งที่ถูกเห็นปรากฏ แต่ไม่มีใครรู้จักเห็น ที่กำลังเห็นสิ่งนั้น

~ เห็น มีแน่นอน เดี๋ยวนี้กำลังเห็นแน่นอน แต่ไม่รู้เลยว่าขณะเห็น ไม่ใช่เราเห็น

~ ฟังไว้ๆ จนกว่าจะเริ่มค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจว่าขณะนี้มีสิ่งที่เกิดขึ้นเห็น เป็นสภาพรู้ที่กำลังรู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ แล้วเราเรียกว่าเห็น แต่ไม่เรียกว่าเห็น ก็มีสิ่งที่ปรากฏแล้ว เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้นเห็นแล้ว

~ กว่าจะรู้ว่าไม่รู้อะไรบ้าง ก็ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว

~ ไม่รู้ความจริงของอะไรเลยสักอย่าง แม้แต่สิ่งที่ถูกเห็นคืออะไร ก็ยังไม่รู้จริงๆ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด กำลังปลูกฝังความมั่นคงของความเข้าใจถูกว่าไม่รู้ความจริงของเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มิฉะนั้น ก็จะเป็นแต่เพียงความจำ ได้ยินคำก็จำ แต่ว่าไม่สามารถที่จะเข้าถึงความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงที่ละเอียดอย่างยิ่งเดี๋ยวนี้ได้

~ เห็นมี จึงมีสิ่งที่ถูกเห็น ต้องตรงจริงๆ ไม่เปลี่ยนเลย สิ่งที่ถูกเห็น เป็นเห็นไม่ได้

~ ต้นไม้ไม่เห็น กระจกไม่เห็น เสื้อผ้าไม่เห็น อะไรก็ไม่เห็น แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะมีเห็น

~ ต้องตรงจริงๆ ต่อสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ เป็นอื่นได้ไหม? สิ่งที่ปรากฏทางตา แข็งไหม? สิ่งที่ปรากฏทางตา หวานไหม? เพราะฉะนั้น เปลี่ยนไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏเท่านั้น หมายความว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นคนได้ไหม? เป็นเก้าอี้ ได้ไหม? เป็นคุณสุคิน เป็นคุณอาคิล เป็นคุณอาช่า ได้ไหม? ไม่ได้, เห็นไหม เริ่มรู้ว่าไม่มีคน ไม่มีสิ่งใดๆ แต่สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น แต่ต้องอาศัยตาในขณะที่กำลังเห็น

~ ไม่มีตา จะมีสิ่งที่กำลังถูกเห็นได้ไหมเดี๋ยวนี้? ไม่ได้, เริ่มรู้ความจริงว่าไม่มีใครสักคนเดียว แต่มีสิ่งที่เป็นอย่างนั้น เกิดขึ้น จึงเป็นอย่างนั้น นี่เป็นความจริงถึงที่สุดที่ใครๆ ก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก แต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง คือ ธรรม แต่ละหนึ่ง

~ ก่อนฟังไม่รู้ความจริงของทุกอย่าง คิดว่าเราเกิด เราเห็น เราชอบ เราโกรธทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความจริงแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง เป็นใครไม่ได้เลย

~ สิ่งที่มีจริงๆ ที่เรากำลังพูดถึงเดี๋ยวนี้ อยู่ไหน? อยู่ที่เดี๋ยวนี้เลย แต่ละหนึ่งๆ เริ่มรู้ความจริงว่าไม่เคยรู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประจักษ์แจ้งความจริงที่ทรงแสดงว่า สิ่งนี้ ขณะนี้คืออะไร

~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

~ เป็นคำของใครที่บอกว่า ไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่าธรรมแต่ละหนึ่งหลากหลาย ไม่เหมือนกัน? เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งซึ่งแต่ก่อนไม่เคยรู้เลย กำลังเริ่มจะรู้ความจริงของสิ่งที่มี ทีละเล็กทีละน้อย

~ ต้องไม่ลืม เห็นมีจริง กำลังเห็น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น จิตมีจริง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น จำมีจริง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็น ทั้งหมดที่มีจริง เริ่มค่อยๆ เข้าใจในความจริงแต่ละหนึ่งว่ามีจริงๆ ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏเกิดขึ้น

~ สิ่งที่มีจริงขณะนี้ ไม่รู้ แล้วไปคิดเรื่องอื่น จะรู้หรือ? เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าคำสอนทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดียวนี้ที่สามารถเข้าใจได้ เพราะมีจริงๆ

~ เสียง มีจริงไหม? ต้องมีสภาพที่ได้ยิน เสียงจึงปรากฏว่า มี ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น สภาพรู้ ก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำว่าสภาพรู้ธาตุรู้ ซึ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ

~ ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรปรากฏเลย จะกล่าวว่ามีสภาพรู้เกิดขึ้นรู้ได้ไหม? ถ้าไม่มีสภาพรู้เกิดขึ้นอะไรๆ ปรากฏไม่ได้เลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงยิ่งกว่านี้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่มีสิ่งที่กระทบสัมผัสกายปรากฏ ไม่ได้คิดนึกเลย แต่ยังมีธาตุรู้

~ ขณะที่กำลังหลับสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึก แต่ยังไม่ตาย เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แต่ละคำ ต้องฟังละเอียดมาก

~ กำลังมีเห็นและมีสิ่งที่ถูกเห็น สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ถูกเห็น เห็นไม่ได้ จำไม่ได้ คิดไม่ได้ แต่ถูกเห็นกำลังปรากฏให้รู้ว่ามีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้น ขณะที่มีสิ่งที่ถูกเห็นปรากฏ ต้องมีสิ่งที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้น ความเป็นจริงของสิ่งนั้น คือ ใครเปลี่ยนให้ไม่มี ไม่ได้ เพราะกำลังมีเดี๋ยวนี้

~ ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นเลย จะมีอะไรปรากฏไหม?

~ สภาพธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัย นี่แหละ คือ โลก (สภาพธรรมที่เกิดดับ,แตกสลาย) นี่แหละ คือ ธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย เป็นอนัตตา

~ ประโยชน์ของการฟัง คือ เข้าใจถูก ว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ต้องค่อยๆ ฟังแล้วไตร่ตรองว่าจริงไหม สิ่งที่เกิดแล้วไม่เหลือแล้ว เมื่อกี้นี้เสียงหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเริ่มเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน

~ จิตอยู่ไหน? กำลังได้ยิน นี่แหละ จิตได้ยิน กำลังเห็น นี่แหละจิตเห็น เดี๋ยวนี้ที่เห็น จิตเกิดแล้วจึงเห็น

~ เห็นเกิดขึ้นเห็น เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม?

~ ปัจจัย หมายความถึง สิ่งที่อาศัยให้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีสิ่งนั้น ก็เกิดไม่ได้

~ ถ้าไม่มีตา เห็นไหม? เข้าใจปัจจัยของเห็นหรือยัง? ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้ เห็นก็เกิดไม่ได้เข้าใจปัจจัยหรือยัง?

~ ให้ทราบความต่างกันของธรรมก่อน เท่าที่ปัญญาของเราเริ่มรู้ความจริง ไม่ใช่ไปรู้เรื่องปัจจัยทั้งหมดทีเดียว

~ ต้องรู้ว่าความจริงของธรรมลึกซึ้ง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงลึกซึ้งที่จะให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

~ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เริ่มเข้าใจหรือยัง? ยังไม่พอ ใช่ไหม? นี่คือการเริ่มปลูกฝังความมั่นคง (อธิษฐาน) ที่จะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา

~ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ การเกิดดับของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ ไม่ปรากฏ จึงมีความจำมั่นคงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดและเป็นเรา แต่ถ้าปัญญาสามารถเข้าถึงความจริงเดี๋ยวนี้ซึ่งเกิดดับ ก็จะไม่สงสัยว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ สิ่งที่มีจริง มีลักษณะประเภทใหญ่ๆ แยกกันเป็นสองอย่าง อย่างหนึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยแต่เกิดขึ้นต้องรู้ (นามธรรม) อีกอย่างหนึ่งมีลักษณะที่แข็งบ้าง เย็นบ้าง ซึ่งไม่ใช่สภาพที่รู้อะไร (รูปธรรม) เริ่มตรงนี้ เดี๋ยวนี้

~ เปลี่ยนธรรมได้ไหม? เพราะฉะนั้น ฟังทุกคำ เพื่อเข้าใจขึ้นๆ

~ เห็นแล้วชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง เห็นแล้วชอบ ชอบเป็นอย่างหนึ่ง เห็นแล้วไม่ชอบ ไม่ชอบเป็นอีกอย่างหนึ่ง

~ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น มีหลายอย่างไหม? ที่รู้ว่ามีหลายอย่าง หมายความว่า ต้องเห็นทีละหนึ่งๆ จึงรู้ว่า ไม่ใช่อย่างเดียวกัน

~ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้ว่าขณะนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย มีแต่สิ่งที่เกิดปรากฏแล้วก็ดับๆ สืบต่อเร็วมาก

~ ได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช่ไหม? อะไร อนิจจัง อะไร ทุกขัง อะไร อนัตตา? เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับ อนิจจัง ไม่กลับมาอีกเลย ไม่น่าพอใจ ทุกขัง และเป็นอนัตตา ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ นี่เป็นอริยสัจจธรรมหรือเปล่า?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงให้เข้าใจความจริงซึ่งกำลังเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีขณะไหนที่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา?

~ เข้าใจเมื่อไหร่ จึงเป็นปริยัติ รอบรู้ในคำที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทุกอย่างสอดคล้องกันหมด ปริยัติคือความเห็นถูกซึ่งเป็นมรรคองค์แรกในมรรคมีองค์ ๘ ถ้าไม่มีแล้วจะไปไหน ก็ไปในทางไม่รู้เหมือนเดิมทางผิดเหมือนเดิม

~ ต้องละเอียดที่จะรู้ว่า ถ้าได้ยินคำ แต่ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ปริยัติ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีปริยัติ คือ ไม่มีความเข้าใจในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูก ก็ไม่มีทางที่จะเป็นปฏิปัตติ (ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) จนกระทั่งถึงปฏิเวธ (แทงตลอดสภาพธรรมตามความเป็นจริง) ได้

~ ความเข้าใจต้องมั่นคงจริงๆ ว่าไม่มีเรา นี่คือ การปลูกฝังความเข้าใจทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนกว่าสามารถที่จะประจักษ์แจ้งสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสแล้วในขณะนี้เอง เพราะขณะนี้จริงที่สุด ขณะก่อนหมดแล้ว ขณะต่อไปยังไม่มาถึง เดี๋ยวนี้ เป็นจริงอย่างที่ได้ทรงแสดงแล้ว

~ ความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้เลย คือ ไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้น

~ ทุกอย่างเพียงแค่ปรากฏแล้วหมดไม่กลับมาอีกเลย แต่เพราะไม่รู้ความจริงจึงจำสิ่งที่เกิดดับสืบต่อว่าเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด จนกว่าจะได้ฟังจริงๆ ว่า เป็นอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ได้ เพราะหมดแล้ว ไม่เหลือแล้ว

~ ฟังเข้าใจแล้ว ความเข้าใจก็เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็มีความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ฟังอีก จนกว่าความไม่รู้จะน้อยลงเพราะความเข้าใจเพิ่มขึ้น นี่เป็นหนทางเดียว ต้องไม่ลืมว่า หนทางนี้ เป็นหนทางละ ด้วยความรู้ถูกความเข้าใจถูกเท่านั้น ไม่ใช่โดยวิธีอื่น ไม่ใช่ธรรมอื่นที่จะละได้

~ ถ้ามีความเข้าใจเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่ว่าเราอ่านพบข้อความอะไร คำไหน ในพระไตรปิฎก เราก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นในความลึกซึ้ง และมีความเข้าใจถูกต้องขึ้นว่า เรากำลังศึกษาเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี อันนี้สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีพื้นฐานที่มั่นคงอย่างนี้ ทั้งหมดไม่มีประโยชน์เลย

~ ต่อไปนี้ จะอ่านพระธรรม ไม่ว่าปิฎกไหน ด้วยความเข้าใจเพิ่มขึ้น ว่า ไม่ใช่เรา และก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ

~ สิ่งเดียวที่จะละความยึดถือความติดข้องเพราะความไม่รู้ ก็เมื่อมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งนั้น จึงสามารถละได้

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 23 ต.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 ต.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Naza
วันที่ 23 ต.ค. 2564

อ่านแล้วเข้าใจมากขึ้นกว่าเมื่อวานค่ะ กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาที่กรุณามาเป็นเหตุปัจจัยที่ดีให้ได้เข้าใจพระธรรมมากขึ้น กุศลส่งผลให้ได้มาอ่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 23 ต.ค. 2564

เสียง มีจริงไหม? ต้องมีสภาพที่ได้ยิน เสียงจึงปรากฏว่า มี ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น สภาพรู้ ก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำว่าสภาพรู้ธาตุรู้ ซึ่งทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 23 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ต.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 24 ต.ค. 2564

ขอบพระคุณ และยินดียิ่งในกุศลจิตของ อ.คําปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Lai
วันที่ 24 ต.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Centella
วันที่ 25 ต.ค. 2564

น้อมระลึกบูชาพระคุณทั้งสามด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ