อธิษฐานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าขอให้ลูกได้บวชตลอดชีวิต

 
ชีวิตคือนาฬิกา
วันที่  20 ก.ย. 2564
หมายเลข  37367
อ่าน  413

อยากทราบว่าผมอธิษฐานแบบนี้ผิดไหมครับคือไม่ได้สาบานแต่แค่ตั้งใจไว้ว่าจะบวชคือถ้าบวชไปละสึกมาผมก็ไม่ได้เศร้าหรืออะไรครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ชีวิตคือนาฬิกา
วันที่ 20 ก.ย. 2564

ผิดพลาดประการใดขออภัยครับถ้าผิดจะเป็นกรุณามากเลยครับถ้าจะช่วยชี้แนะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทำไมบวช

อรรณพ กราบท่านอาจารย์ บุคคลที่มีคุณสมบัติสมควรจะบวชได้ คืออย่างไร

สุจินต์ ต้องรู้จักว่าบวชคืออะไร เพราะว่าเป็นคฤหัสถ์อยู่ดีๆ แล้วก็จะบวช เพราะอะไร

อ. เป็นประเพณีนิยมกันไปแล้ว

สุ. เป็นประเพณีที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สัจจธรรม ทรงตรัสรู้ว่าการขัดเกลากิเลสดับกิเลสนั้นเป็นเรื่องยากและลึกซึ้ง พระองค์ทรงแสดงความจริงของธรรมทั้งหลายให้ผู้ที่ได้ฟัง พิจารณาเข้าใจ ซึ่งความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องนั้น จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ซึ่งเป็นมูลเหตุของกิเลสทั้งหลายได้หมดสิ้น

คนที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นกิเลสของตัวเองและไม่ได้สะสมอุปนิสัยในการสละเพศคฤหัสถ์ แล้วบวช นั้น ไม่ใช่ผู้ที่จริงใจและไม่ใช่ผู้ตรง เพราะถามว่าบวชทำไม ถ้าตอบว่าเพราะเหตุนั้นๆ แต่ไม่ใช่เพราะได้เข้าใจพระธรรมและรู้อัธยาศัยของตนเองว่าเพื่อศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลสในเพศภิกษุตามพระธรรมวินัยแล้ว สมควรบวชไหม การบวชเป็นภิกษุไม่ใช่เป็นอยู่อย่างสบายให้ผู้คนกราบไหว้ แต่เพราะเป็นผู้ที่เห็นกิเลสและเห็นโทษของกิเลส และรู้ว่าหนทางเดียวที่จะขัดเกลากิเลสก็ด้วยความเข้าใจพระธรรมจึงบวชเพื่อศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ ฉะนั้น การดำรงชีวิตของคฤหัสถ์และบรรพชิตจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คฤหัสถ์เห็นโทษของความสนุกสนานไหม

อ. ก็ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่

สุ. ไม่ค่อยเห็น ทุกวันก็ยังมีเรื่องสนุก แล้วก็จากเพศคฤหัสถ์ไปสู่เพศบรรพชิต เป็นพระภิกษุที่เว้นทั่วจากเพศคฤหัสถ์ ไม่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป แม้เพียงพูดเพื่อหัวเราะกันเล่น สมควรแก่ภิกษุไหม

อ. ไม่สมควร

สุ. ไม่สมควร แต่ชีวิตคฤหัสถ์ก็หัวเราะกันเล่นได้ พวกเจ้าศากยะทั้งหลาย มีทรัพย์สมบัติมาก มีเครื่องบันเทิงมากมาย เพียบพร้อมด้วยความรื่นเริงบันเทิง แต่ก็สละได้ เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เป็นอัธยาศัยจริงๆ ไม่ได้มีใครไปบังคับเลย ฉะนั้น จึงไม่มีการเกณฑ์บวช ไม่มีการชักชวนบวช เพราะบวชแล้วทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ ต้องศึกษาพระธรรมและประพฤติตามพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ด้วยพระองค์เอง คนที่บวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ประพฤติตามพระวินัย ได้ไหม

คำปั่น ไม่ได้

สุ. มิฉะนั้นจะบวชทำไม บวชแล้วไม่ศึกษาพระธรรมไม่ประพฤติตามพระวินัยแล้วบวชทำไม

อ. จริงๆ แล้ว ต้องศึกษาพระธรรมก่อนจะบวช

สุ. แน่นอน เพราะคนที่กล่าวคำว่า “ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง” นั้น ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพื่อเข้าใจพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ชัดเจน ละเอียดมั่นคงยิ่งขึ้น ฟังพระธรรมเพียงคำ หรือ สองคำ เท่านั้น ไม่พอ ถ้าเพียงแต่ได้ฟังว่า นี่คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ไม่พอ เพราะยังไม่รู้พระคุณของพระองค์ว่ามากมายเพียงใด จากการฟังเข้าใจพระธรรมก็จะรู้ว่าสิ่งซึ่งปรากฏที่เหมือนรู้เหมือนเข้าใจทุกอย่าง นั้น กลับเป็นสิ่งซึ่งไม่ได้เข้าใจอะไรเลยและเข้าใจผิดด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าธรรมละเอียดลึกซึ้งมาก ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ นอกจากผู้ที่ได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เคยได้ยินได้ฟังมาแล้วมาก ไม่ว่าบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เข้าใจธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลส แม้ไม่บวช ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

เพราะฉะนั้น คำถามที่น่าคิดทุกยุคทุกสมัย ก็คือ อย่าเพิ่งไปบวชเลย ตอบก่อนว่า จะบวชทำไม จะตอบตรงไหม เพราะถ้าไม่ใช่บวชเพื่อศึกษาพระธรรมและประพฤติตามพระวินัยแล้ว ควรบวชไหม

ลองคิดดู ย้อนกลับไปสมัยพุทธกาล พระนครสาวัตถีตอนเช้าตรู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต มีพระภิกษุเดินตาม ลองคิดภาพดู อากัปกิริยาอาการทั้งหมดตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระภิกษุทั้งหลาย เป็นศากยบุตร เป็นผู้ขัดเกลากิเลส ด้วยเห็นคุณประโยชน์ในการประพฤติคล้อยตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการคึกคะนอง หรือทำกิริยาอาการผิดพระวินัย แม้สามเณรซึ่งยังไม่ได้เป็นภิกษุ ก็ยังต้องมีกิริยาอาการคล้อยตามภิกษุ เพราะเป็นเชื้อสายของพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ ผู้มีอายุมากแล้ว แต่เป็นผู้ตรง บางท่านก็ไม่อุปสมบทเป็นพระภิกษุแต่บวชเป็นสามเณร เพราะรู้ตนเองว่า แม้จะขัดเกลากิเลสในเพศสามเณรก็แสนยาก เพราะกาย วาจา ต้องประพฤติตามพระภิกษุทุกอย่าง เพียงแต่เมื่อประพฤติผิดจากสิกขาบทซึ่งเป็นวินัยของสามเณรก็ไม่เป็นอาบัติตามที่พระภิกษุต้องอาบัติทันทีที่ประพฤติผิดพระวินัย

สามเณรก็มีสิกขาบทที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามเป็นพระวินัยของสามเณร และต้องมีเสขิยวัตร คือ ความประพฤติทางกาย ทางวาจาในชีวิตประจำวัน เหมือนภิกษุทุกประการ ไม่ประพฤติได้ไหม

วิชัย ไม่ได้

สุ. ไม่ได้ ไม่ใช่เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว จะทำอะไรก็ได้ จะสนุกสนานอย่างไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ สามเณรก็ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครชักชวน เชื้อเชิญให้บวช เพราะผู้ที่รู้ว่าพระศาสนานั้นบริสุทธิ์สูงยิ่ง ละเอียดยิ่ง ขัดเกลาอย่างยิ่ง ต้องรู้ประโยชน์ของพระธรรมวินัยจริงๆ จึงสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้

เมื่อรู้อย่างนี้ คนยุคนั้น ไม่กล้าที่จะชักชวนกันบวชอย่างคนยุคนี้ที่ชักชวนกันไปบวชเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เมืองไทยยุคนี้ชักชวนกันไปบวชเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนเพื่ออะไร เห็นไหมว่า ไม่มีความเคารพในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวเมืองสาวัตถี ชาวเมืองเวสาลี เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตพร้อมด้วยพระภิกษุ มีความเคารพยิ่งในเพศบรรพชิตซึ่งต่างกับเพศคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ไม่สามารถที่จะละอาคารบ้านเรือนอย่างบรรพชิตได้ จึงมีศรัทธาที่จะอนุเคราะห์บำรุงพระภิกษุ เพื่อให้ท่านได้ศึกษาธรรมขัดเกลากิเลสด้วยความเบาสบาย ไม่ต้องเดือดร้อนในการดำรงชีพด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น คฤหัสถ์อนุเคราะห์บรรพชิตให้มีที่อยู่ มีอาหาร มียารักษาโรค มีจีวรเครื่องนุ่งห่ม พอควร เพียงพอสำหรับบรรพชิต ภิกษุใดต้องการมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ภิกษุนั้นก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

คฤหัสถ์เห็นบรรพชิตแล้วกราบไหว้ด้วยความเคารพในอัธยาศัยที่สามารถขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตได้ ยิ่งเข้าใจพระธรรมวินัยมากเท่าไหร่ ความเคารพในเพศบรรพชิตก็ยิ่งมากเท่านั้น แต่ว่าถ้าไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ไม่ใช่ผู้ที่จะดำรงพระศาสนา แต่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำผิดทั้งธรรมและวินัยด้วย แล้วคฤหัสถ์จะเคารพในภิกษุอลัชชี ผู้ไม่ละอาย กระนั้นหรือ การบวช ไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ใครก็บวชได้ อย่างที่บวชกันในยุคนี้สมัยนี้ ซึ่งไม่ใช่การบวชตามพระธรรมวินัย การบวชเป็นการสละ ละความติดข้อง ผู้บวชเป็นผู้สงบจากความติดข้อง แต่ตอนที่จะบวชเป็นอย่างไร มีการฟ้อนรำรื่นเริงบันเทิงแห่แหนด้วยมหรสพดนตรีต่างๆ และพยายามเพิ่มความวิจิตรพิสดารให้มากขึ้น มีการบวชสามเณรขี่ช้าง ขี่ม้า หรือแม้การอุปสมบทที่ไม่มีในพระธรรมวินัย เช่น ออกจากอุโบสถที่บวชแล้วรับเงินทองจากผู้มาร่วมในการบวชทันที แล้วเราชาวพุทธกำลังทำอะไร เราเป็นผู้ที่ชื่นชมในผู้ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย หรือว่า เป็นผู้ที่เห็นว่าสมควรที่จะให้บุคคลที่ชื่อว่าชาวพุทธได้ตื่นจากการหลับใหลไม่เข้าใจพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรม เพียงแค่เห็นผู้ที่ครองผ้า ซึ่งใช้คำว่า “กาสาวพัสตร์” ก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 21 ก.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะทำให้ค่อยๆ เกิดความเข้าใจถูก เริ่มเป็นชาวพุทธ เริ่มเป็นคนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธหรือคนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ทำอะไรตามๆ กันไปด้วยความไม่รู้ เพราะการบวชเป็นเรื่องอัธยาศัยของแต่ละบุคคลที่สะสมมา เป็นผู้ที่มีปัญญา เห็นโทษของกิเลส เห็นโทษเห็นภัยของการอยู่ครองเรือน จึงกล้าที่จะสละชีวิตของคฤหัสถ์ทุกอย่างทุกประการ ดำรงอยู่ในเพศที่สูงยิ่ง เพื่อศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ ถ้าไม่มีอัธยาศัยอย่างนี้ ไม่มีปัญญาอย่างนี้ ไม่ควรไปบวช เพราะนั่นจะมีแต่ทำให้เกิดโทษกับตนเอง เท่านั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง

ควรที่จะได้พิจารณาว่า ถ้าหากว่าประสงค์จะศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็เริ่มได้เลย ณ ขณะนี้ ไม่ต้องคิดว่าจะต้องไปบวชหรืออะไรทั้งสิ้น เริ่มฟังพระธรรม ณ ขณะนี้ ในเพศของคฤหัสถ์นี้เอง ที่สำคัญ การเป็นคฤหัสถ์ที่ดี ยังยาก แล้วการเป็นพระภิกษุที่ดีจะยาก สักแค่ไหน ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ก.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ก.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
petsin.90
วันที่ 22 ก.ย. 2564

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ