๙. สตปัตตชาดก ว่าด้วยความสําคัญผิด
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ อุทปานทุสกวรรค - หน้า 226
๙. สตปัตตชาดก
ว่าด้วยความสําคัญผิด
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 226
๙. สตปัตตชาดก
ว่าด้วยความสําคัญผิด
[๔๓๖] มาณพสําคัญนางสุนัขจิ้งจอกในหนทางซึ่งเที่ยวอยู่ในป่าผู้ปรารถนาประโยชน์ และบอกให้รู้ด้วยอาการอย่างนั้นว่า เป็นผู้ปรารถนาความฉิบหายว่า มาสําคัญนกกระไนผู้ปรารถนาความฉิบหายว่า เป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ฉันใด.
[๔๓๗] บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมเป็นเช่นนั้นเมื่อชนทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์กล่าวสอน ย่อมกลับถือเอาโดยไม่เคารพ ฉันนั้น.
[๔๓๘] อนึ่ง ชนเหล่าใดสรรเสริญบุคคลนั้นก็ดี ยกย่องบุคคลนั้นเพราะกลัวก็ดี ก็สําคัญชนเหล่านั้นว่าเป็นมิตร เหมือนมาณพสําคัญผิดนกกระไนว่าเป็นมิตร ฉะนั้น.
จบ สตปัตตชาดกที่ ๙
อรรถกถาสตปัตตชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ชื่อว่าปัณฑกะ และโลหิตกะ จึงตรัสเรื่องนี้มีคํา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 227
เริ่มต้นว่า ยถา มาณวโฑ ปนฺเถ ดังนี้.
ได้ยินว่า บรรดาภิกษุฉัพพัคคีย์ทั้งหลาย พระฉัพพัคคีย์ ๒ รูปคือ พระเมตติยะ. และพระภุมมชกะ อาศัยนครราชคฤห์อยู่.พระฉัพพัคคีย์ ๒ รูป คือพระอัสสชิ และ พระปุนัพพสุกะเข้าไปอาศัยกิฏาคิรีวิหารอยู่. ส่วนพระฉัพพัคคีย์ ๒ รูปนี้ คือพระปัณฑกะ และพระโลหิตกะ. เข้าไปอาศัยนครสาวัตถีอยู่.เธอทั้งสองนั้น คือพระปัณฑกะ และพระโลหิตกะรื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ระงับแล้วโดยชอบธรรม. ซ้ำเป็นผู้สนับสนุนพวกภิกษุเป็นเพื่อนเห็นและเพื่อนคบ กล่าวคํามีอาทิว่าอาวุโสทั้งหลาย พวกท่านใช่ว่าจะเลวกว่าภิกษุเหล่านี้โดยชาติ โคตรศีลหรือวัตรเป็นต้น ก็หามิได้ ถ้าท่านทั้งหลายสละการยึดถือของตนเสีย ภิกษุเหล่านี้ก็จักข่มขี่นั้นพวกท่านหนักขึ้น แล้วชักชวนไม่ให้ละวางการยึดถือ. ด้วยเหตุนั้น ความหมายมั่น และการทะเลาะวิวาทจึงเป็นไปอยู่. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุนี้แล้วรับสั่งให้เรียกพระปัณฑกะและพระโลหิตกะมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่าพวกเธอรื้อฟื้นอธิกรณ์แม้ด้วยตนเอง ทั้งยังไม่ให้ภิกษุเหล่าอื่นปล่อยวางการยึดถือ จริงหรือ? เมื่อพระปัณฑกะและพระโลหิตกะทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็เมื่อเป็นอย่างนั้น การกระทําของพวกเธอ ย่อมเป็นเหมือนการการทําของนกกระไน แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 228
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่งในหมู่บ้านแคว้นกาสีแห่งหนึ่ง พอเจริญวัยแล้ว ไม่เลี้ยงชีวิตด้วยกสิกรรมและพาณิชกรรมเป็นต้น แต่รวบรวมพวกโจร ๕๐๐ เป็นหัวหน้าโจรเหล่านั้นกระทําโจรกรรม เช่นปล้นคนเดินทางและตัดช่องย่องเบาเป็นต้นเลี้ยงชีวิต.
ในกาลนั้น มีกฎมพีคนหนึ่งในเมืองพาราณสี ให้ทรัพย์พันกหาปณะแก่ชาวชนบทคนหนึ่ง ยืมไป แต่ยังไม่ได้เอากลับคืนมา ก็ตายเสียก่อน. ครั้นในในกาลต่อมา ภรรยาของกฎมพีนั้น ป่วยเป็นไข้ใกล้จะตาย จึงเรียกบุตรมาบอกว่า ดูก่อนพ่อ บิดาของเจ้าให้ทรัพย์พันหนึ่งแก่ชาวชนบทคนหนึ่ง ยืมไป ยังไม่ได้ให้นําคืนมาก็ตายเสียก่อน ถ้าแม้แม่จักตายไปเขาก็จักไม่ให้เจ้า ไปเถิดเจ้า เมื่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจงให้นําทรัพย์พันกหาปณะนั้นมาเก็บไว้. บุตรนั้นรับคําแล้วไปในที่นั้นได้กหาปณะมา. ลําดับนั้น มารดาของเขาก็กระทํากาลกิริยาตายไป เพราะความรักบุตร จึงบังเกิดเป็นสุนัขจิ้งจอกโดยอุปปาติกะกําเนิดอยู่ ณ ที่ใกล้ทางมาของบุตรนั้น.
ในกาลนั้น หัวหน้าโจรนั้น เมื่อจะปล้นคนเดินทาง จึงพร้อมด้วยบริวารยินอยู่ใกล้หนทางนั้น. ลําดับนั้น นางสุนัขจิ้งจอกนั้น เมื่อบุตรมาถึงปากดง จึงคุ้ยหนทางห้ามซ้ำๆ ซากๆ อันเป็นสัญญาณให้รู้ดังนี้ว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าอย่าเข้าดงเลย พวกโจรตั้งซุ่มอยู่ที่นั้น พวกมันจักฆ่าเจ้าแล้วยึดเอากหาปณะไป. บุตรนั้นไม่รู้เหตุการณ์อันนั้นคิดว่า นางสุนัขจิ้งจอก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 229
กาลกิณีตัวนี้มาขุดคุ้ยหนทางเรา จึงหยิบก้อนดินนั้นไล่มารดาให้หนีไปแล้วเดินทางไปยังดง.
ลําดับนั้น นกกระไนตัวหนึ่งบินบ่ายหน้าไปทางโจรร้องว่า บุรุษผู้นี้ มีทรัพย์พันกหาปณะอยู่ในมือ. พวกท่านจงฆ่าบุรุษผู้นี้แล้วยึดเอากหาปณะไว้. มาณพไม่รู้เหตุที่นกกระไนนั้นกระทํา จึงคิดว่า นกตัวนี้ เป็นนกมงคล บัดนี้ ความสวัสดีจักมีแก่เรา. จึงประคองอัญชลีกล่าวว่า ร้องเถอะนาย ร้องเถอะนาย.
พระโพธิสัตว์เป็นผู้รู้เสียงร้องของสัตว์ทั้งปวง เห็นกิริยาของสัตว์ทั้งสองนั้นแล้วจึงคิดว่า นางสุนัขจิ้งจอกนี้ คงจะเป็นมารดาของบุรุษผู้นี้ ด้วยเหตุนั้นจึงห้ามปราม เพราะกลัวว่า พวกโจรจักฆ่าบุรุษผู้นี้แล้วยึดเอากหาปณะไป ส่วนนี้นกกระไนนี้ คงจะเป็นศัตรูด้วยเหตุนั้นมันจึงร้องบอกว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่าบุรุษผู้นี้แล้วยึดเอากหาปณะ แต่บุรุษนี้ ไม่รู้ความหมายนี้ คุกคามมารดาผู้ประโยชน์นาประโยชน์ให้หนีไป ประคองอัญชลีแก่นกกระไนผู้ใคร่ต่อความฉิบหาย ด้วยความเข้าใจว่า เป็นผู้ใคร่ประโยชน์แก่เรา โอหนอ บุรุษนี้เป็นคนเขลา.
ก็การถือเอาทรัพย์ของผู้อื่น แห่งพระโพธิสัตว์แม้ผู้เป็นมหาบุรุษอย่างนี้ย่อมมีได้ด้วยอํานาจการถือปฏิสนธิอันไม่สม่ําเสมอ บางอาจารย์กล่าวว่า เพราะโทษแห่งดาวนักขัตฤกษ์ ดังนี้ก็มี.
มาณพเดินทางมาถึงระหว่างแดนแห่งพวกโจร. พระโพธิสัตว์ให้จับมาณพนั้น แล้วถามว่าเจ้าเป็นชาวเมืองไหน? มาณพกล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองพาราณสี. พระโพธิสัตว์. เจ้าไปไหนมา? มาณพ. ทรัพย์พันกหาปณะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 230
ที่ควรจะได้ มีอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปที่หมู่บ้านนั้นมา.พระโพธิสัตว์. ก็ทรัพย์พันกหาปณะนั้น เจ้าได้มาแล้วหรือ? มาณพ.ได้มาแล้วขอรับ. พระโพธิสัตว์. ใครส่งเจ้าไป.? มาณพ. นาย บิดาของข้าพเจ้าตายแล้ว ฝ่ายมารดาของข้าพเจ้าก็ป่วยไข้ มารดาสําคัญว่าเมื่อเราตายไป บุตรนี้จักไม่ได้ทรัพย์ คืน จึงส่งข้าพเจ้าไป. พระโพธิสัตว์. บัดนี้ เจ้ารู้ความเป็นไปแห่งมารดาของเจ้าไหม? มาณพ.ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าไม่รู้. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า มารดาของเจ้า เมื่อเจ้าออกมาแล้วก็ตาย เพราะความรักบุตรจึงเกิดเป็นนางสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้กลัวภัยคือความตายของเจ้า จึงขุดคุ้ย ณ ที่สุดปลายทางห้ามเจ้าไว้. แต่เจ้าคุกคามนางสุนัขจิ้งจอกนั้นให้หนีไป ส่วนนกกระไนเป็นปัจจามิตรของเจ้า มันร้องบอกพวกเราว่า พวกท่านจงฆ่าบุรุษนี้แล้วยึดเอากหาปณะ เพราะเจ้าเป็นคนโง่เขลา เจ้าจึงสําคัญมารดาผู้ปรารถนาประโยชน์ว่าเป็นผู้ไม่ปรารถนาแก่เรา สําคัญนกกระไนผู้ปรารถนาความฉิบหาย ว่าเป็นผู้ใคร่ประโยชน์แก่เรา ชื่อว่าคุณความดีที่เจ้ากระทําแก่พวกเรา ไม่มี แต่มารดาของเจ้ามีพระคุณมากหลายถึงจะตายแล้วก็จริง เจ้าจงถือเอากหาปณะทั้งหลายไปเถิด แล้วปล่อยมาณพนั้นไป.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งเอง จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านั้นว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 231
มาณพสําคัญนางสุนัขจิ้งจอก ซึ่งเที่ยวไปในป่า ผู้ปรารถนาประโยชน์ ผู้บอกให้ทราบด้วยอาการ ในระหว่างทาง ว่าเป็นผู้ปรารถนาความฉิบหาย และสําคัญนกกระไนผู้ใคร่ต่อความฉิบหาย ว่าเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์ฉันใด
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นเช่นกับมาณพนั้น ฉันนั้นเหมือนกันอันชนทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูลกล่าวคําตักเตือน ย่อมรับเอาโดยไม่เคารพ.
อนึ่ง ชนเหล่าใด สรรเสริญบุคคลนั้นก็คือยกย่องบุคคลนั้น เพราะความกลัวก็ดี ก็มาสําคัญชนเหล่านั้นว่าเป็นมิตร เหมือนมาณพสําคัญนกกระไนว่าเป็นมิตรฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิเตภิ ได้แก่ผู้ปรารถนาประโยชน์เกื้อกูล คือความเจริญ. บทว่า วจนํ วุตฺโต ได้แก่ ผู้กล่าวโอวาทสั่งสอนและอนุศาสน์พร่ําสอนอันนําหิตสุขมาให้. บทว่า ปฏิคฺคณฺหติวามโต ความว่า บุคคลผู้ไม่รับโอวาท เมื่อรับเอาด้วยคิดว่า นี้ไม่นําประโยชน์มาให้เรา นี้นําความฉิบหายมาให้เรา. ชื่อว่ารับเอาโดยไม่เคารพ. บทว่า เย จ โข นํ ความว่า อนึ่ง บุคคลเหล่าใดย่อม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 232
สรรเสริญบุคคลนั้น ผู้ถือเอาความยึดถือของตนอยู่ว่า ชื่อว่าบุคคลผู้ยึดถืออธิกรณ์มั่นอยู่ ต้องเป็นเช่นกับท่าน. บทว่า ภยา อุกฺกํ สยนฺติวา ความว่า ย่อมยกขึ้นแสดงภัย เพราะปัจจัยคือการสละอย่างนี้ว่าเพราะการสละความยึดถือนี้เป็นปัจจัย ภัยนี้แลจักเกิดขึ้นแก่ท่าน ท่านอย่าได้สละ คนเหล่านี้ย่อมไม่ถึงท่านด้วยพาหุสัจจะ ตระกูล และบริวารเป็นต้น. บทว่า ตํ หิ โส มญฺญเต มิตฺตํ ความว่า บรรดาชนทั้งหลายผู้เห็นปานนั้น บุคคลนั้น บางคนเป็นคนโง่เขลา ย่อมสําคัญคนใดคนหนึ่งว่าเป็นมิตร เพราะความที่ตนเป็นคนเขลา คือย่อมสําคัญว่าผู้นี้ เป็นมิตรผู้ใคร่ประโยชน์แก่เรา. บทว่า สตปตฺตํวมาณโว ความว่า เหมือนมาณพนั้น สําคัญนกกระไนผู้ใคร่ต่อความฉิบหายเท่านั้น ว่าเป็นผู้ใคร่ความเจริญ เพราะความที่ตนเป็นคนเขลา ส่วนบัณฑิตไม่ถือเอาคนหัวประจบ เห็นปานนั้นว่าเป็นมิตรย่อมเว้นบุคคลนั้นเสียห่างไกลทีเดียว. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า :-
บุคคลผู้มิใช่มิตร ๔ จําพวกเหล่านี้ คือมิตรผู้นําเอาไปส่วนเดียว คือคนปอกลอก ๑ มิตรมีวาจาเป็นเบื้องหน้า คือคนดีแต่พูด ๑ มิตรผู้กล่าวแต่คําคล้อยตาม คือคนหัวประจบ๑ มิตรผู้เป็นเพื่อนในอบายทั้งหลาย คือคนที่ชักชวนในทางฉิบหาย ๑ บัณฑิตรู้แจ้งดังนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 233
แล้ว พึงเว้นให้ห่างไกล เสมือนบุคคลละเว้นหนทางอันมีภัยเฉพาะหน้าฉะนั้น.
พระศาสดา ครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ทรงประชุมชาดกว่า หัวหน้าโจรให้กาลนั้นคือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสตปัตตชาดกที่ ๙

