ประสบการณ์ท่าน - คุณพระรัตนตรัย

 
chackapong
วันที่  23 เม.ย. 2550
หมายเลข  3541
อ่าน  1,306

ผม post หัวข้อนี้ด้วยจุดประสงค์ สองประการคือ

1. อยากทราบประสบการณ์ของท่านในการศึกษาธรรมะ เพื่อเป็นข้อคิดบ้างตามสมควร

2. ผมขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย เพื่อชักชวนผู้ที่ยังลังเล ที่จะเข้ามาศึกษา พระธรรม

2.1 ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเข้ามาศึกษาธรรมะขั้นอนุบาลเหมือนผม (อาจมีบาง ท่านมาใหม่) ท่านทำอย่างไร อ่านอย่างไร ฟังอย่างไร เพื่อสอบทานเทียบเคียงหลัก ธรรม ผู้ที่ศึกษาธรรมะมานับปี หรือหลายๆ ปีแล้ว ท่านก็คงผ่านก้าวแรก เหมือนกัน ประสบการณ์ที่ผ่านมาของท่าน น่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เริ่มศึกษาธรรมในแนว ทางที่ตรง ขอความกรุณาช่วยเล่าและเสนอแนะ ข้อคิดเห็นที่ท่านคาดว่าน่าจะเป็น ประโยชน์

2.2 ที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก ผมไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ไม่มีบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยรสพระ ธรรม ชีวิตโลดโผนมาโดยตลอด ตัดสินใจคนเดียว ไม่มีใครคอยแนะนำ โชคดีที่ไม่ ติดยาเสพติดและ entrance ได้ แต่ก็ไม่วายพอยู่ปีสองเกีอบถูก รีไทร์ ต้องได้ A หรือ B ทุกวิชาแต่รอดตัวมา ผู้หญิงสวยๆ ดีๆ หลายคน ผมก็ตีจากไปแบบไม่รู้สึกอะไรเลย ในทางโลกครบผ่านมามากพอตัว ก็ไม่ถึงกับเป็นอันธพาล ออกจะนิ่งๆ อยู่บ้าง แต่ไม่ ใช่สำรวมอย่างผู้ฝักใฝ่ธรรม จบมาทำงานประกอบธุรกิจ ก็ขี้นสูงลงต่ำ ก็เป็นอย่าง นี้ หลายครั้ง ทำให้ผมมีความรู้สึกขัดแย้งคุกรุ่นอยู่ในใจ

เริ่มตั้งคำถามต่อความหมายของชีวิต หรือชีวิตตั้งคำถามต่อผม ก็ไม่ทราบได้ แต่ คำถามก็ถูกลืมไปจนมาเจอคำถามครั้งใหญ่ในชีวิตที่ต้องประสบอีกครั้ง ทำให้ต้องทบ- ทวนพิจารณาครั้งใหญ่ ประมาณสามสี่เดือนที่ผ่านมา ผมก็เริ่มเข้ามาพบกัลยาณมิตร ที่นี้ อาศัยเพียง กระดานแห่งนี้ถาม ปัญหาธรรม ผมอยู่ต่างจังหวัด ไม่สะดวกที่จะขับ รถมาฟัง รวมทั้งเหตุอื่นๆ โชคไม่ดีเหมือนบางท่านที่มีผู้ร่วมสนทนาจริงๆ เพราะการ สนทนาจริงๆ ทำให้ตรวจทานหลักธรรม ความเข้าใจได้สะดวกกว่า แต่ผมก็ไม่ได้ย่อ ท้อ download หนังสือมาอ่าน พิจารณา สอบถามเทียบเคียงจากผู้รู้เท่าที่จะทำได้

ธรรมมะลึกซึ้ง ไม่เหมือนเรียนหนังสือที่โรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัย ที่สำคัญ นึกคิดเอาเองไม่ได้ ผลที่ได้เพียงสามสี่เดือน คือ ความเครียดที่สังเกตว่าลดน้อยลง ไป ทุกครั้งที่ได้ฟัง หรือ อ่านหนังสือที่ download มาจาก เว็ปไซท์แห่งนี้ ผมได้อ่าน คำ ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย และคำว่าเป็นผู้ตรง ที่ท่าน แล้วเจอกัน ใช้อยู่เสมอ เพียงเท่านี้ก็คลายความเครียดไปได้มากทีเดียว ที่เล่ามาก็อยากชวนกันมาศึกษา ธรรมะ อย่าได้ลังเล จะได้รับกุศลแห่งพระรัตนตรัยอย่างแน่นอน

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยอันเป็นที่พึ่ง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 24 เม.ย. 2550

ชีวิตของทุกคนคงคล้ายกันรู้สึกว่าทุกข์มากกว่าสุข...แต่เมื่อมาศึกษาพระธรรม (สายตรงที่มูลนิธิฯ) ทำให้เข้าใจ และสามารถนำพระธรรมมาใช้ในการพิจารณามากขึ้น ....หลายอย่างก็รู้สึกว่าเบาบางลง เช่น เมื่อมีความโกรธก็พิจารณาว่าเป็นอกุศล ถ้าไม่ละคลายก็สะสมในจิต....สะสม.....สะสม.....มากขึ้นขั้นเบาก็ล่วงทางวาจา (ล่วงทางวาจาบางทีก็ไม่เบาถึงขั้นเสียชีวิตก็มี) ...หากไม่ละคลายอีกก็อาจล่วงทางกายทำร้ายผู้อื่น (ติดคุก) ...เพิ่มกรรมเพิ่มวิบากในอนาคต .....พอพิจารณาอย่างนี้ ....โกรธเบาบางลง ....ก็กระทบหรือขัดแย้งกับผู้อื่นน้อยลง.....ปัญหาก็น้อยลงคะเครียดน้อยลง......ที่เล่ามานี่นะคะเป็นส่วนน้อยที่ทำได้...อกุศลส่วนใหญ่อื่นๆ อีกมากมาย ...ยังทำไม่ได้คะ ...แต่มั่นใจว่าหากศึกษาพระธรรมให้เข้าใจและเกิดปัญญามากขึ้นอกุศลน้อยลง....ชีวิตจะมีความสุขขึ้นค่ะ (เครียดน้อยลงแน่นอนคะ) ขออนุโมทนา คุณ chackapong ที่มาศึกษาพระธรรมถูกทางแล้ว

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
อิสระ
วันที่ 24 เม.ย. 2550

เอาใจช่วยครับ ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 24 เม.ย. 2550

บัณฑิตแม้ประสพทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 24 เม.ย. 2550

อนุโมทนา

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
oom
วันที่ 25 เม.ย. 2550

ประสบการณ์จากการศึกษาและปฏิบัติธรรม ช่วยให้ชีวิตของเราทุกข์น้อยลง มีสติระลึกรู้มากขึ้นว่าอะไรเป็นบาปอกุศล อะไรเป็นบุญ และมีความเชื่อในคุณงามความดีตามหลักธรรม ทำดีย่อมได้ดี แต่ถ้ายังต้องพบความทุกข์ ก็ถือว่าเป็นวิบากกรรม ที่เราได้ทำมาจากอดีตชาติ ตอนแรกๆ ที่เริ่มศึกษาและปฏิบัติก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่พอปฏิบัติต่อเนื่องก็เริ่มเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้มาฟังธรรมะของอาจารย์สุจินต์และได้เรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ทำให้มีความเข้าใจมากขึ้นและคิดว่าชีวิตนี้มีบุญมากที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาได้ปฏิบัติตามคำสอน ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้และเห็นได้ด้วยตัวเอง ถ้าประพฤติปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ทุกคนสามารถหลุดพ้นได้

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
olive
วันที่ 25 เม.ย. 2550

การศึกษาพระธรรมทำให้เรามีปัญญามีสติและความจำดี ตัดความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อ คุณchackapong ขอให้แลกเปลี่ยนกันก็จะขอเล่าประสบการณ์อย่างไม่ปิดบัง

แม่เราชอบพาเราไปวัดมาตั้งแต่เด็กๆ (จำความได้) ตัวเราเพราะมีความรู้สึกว่าไปแล้วมีความสุข เราชอบฟังเสียงสวดมนต์มาก ครอบครัวของเราผูกพันกับวัดมากๆ ตาเราก็จะไปถืออุโบสถศีลที่วัดเสมอๆ นั่นคือสิ่งที่เรายอมรับว่าเป็นพื้นฐานที่ดีเยี่ยมอย่างหนึ่ง

พอเราเริ่มเข้าเรียนชั้น ม.1 เราได้เรียนวิชาพระพุทธศาสนา และประกอบกับในเวลานั้นเราได้ไปที่ร้านหนังสือดอกหญ้า ได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง คือ หนังสือคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาสภิกขุ (ตอนนั้นราคาเล่มละ 12 บาท) เราอ่านแล้วมีศัพท์อยู่คำหนึ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นมากก็คือ ปฏิจจสมุปบาทในหนังสือบอกว่า ถ้ารู้จักเข้าใจสิ่งนี้เท่ากับรู้จักพระพุทธศาสนา ปฏิจจสมุปบาทคือหัวใจพระพุทธศาสนา เราก็เลยเอาไปถามอาจารย์สอนพระพุทธศาสนาอาจารย์ตอบเราว่า เอาไว้จะอธิบายให้เข้าใจวันหลัง เราก็เลยไปถามอาจารย์สอนในโรงเรียนท่านอื่น บางท่านก็คิดว่าเราลองภูมิ (เราไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น) เราจึงเริ่มหาหนังสือธรรมะมาอ่านอ่านมากเข้าๆ ก็อยากให้คนอื่นรู้อยากที่เรารู้ก็พยายามจะบอกเค้า เป็นอยู่นานประมาณเกือบปีทีเดียว (เราเริ่มรู้สึกตัวว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้อง) เพราะเราจะฉุนมากถ้าไม่ยอมฟังเราหรือมากวนเราเวลาสวดมนต์จะโกรธมาก นับว่าเรายังมีบุญอยู่บ้าง ที่เราได้ไปวัดหลวงพ่อสร (วัดคีรีธรรมารามลพบุรี) วันนั้นที่เราไปท่านเทศนาเรื่องการศรัทธา และการศึกษาพระธรรมอย่างแท้ว่าเราต้องปฏิบัติให้เห็นแท้ก่อน แล้วจึงค่อยสอนผู้อื่นภายหลังจึงจะไม่มัวหมอง ท่านให้บทมาสั้นๆ ว่า รู้จำ รู้จริง รู้แจ้ง การตัดกิเลสไม่ใช่จะตัดวันเดียวให้ขาดได้ง่าย ต้องค่อยๆ เฉือนออกที่ละน้อยๆ ท่านยกตัวอย่างว่า พระพุทธเจ้าต้องสะสมบารมีนานนับมหาอสงไขย และการเรียนนั้นต้องไม่เรียนจนกลายเป็นโลภในวิชาค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เราจึงกลับมาคิดแล้วปรับปรุงตัวเองใหม่ ตอนนั้นเราหยุดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะการอ่านหนังสือธรรม การทำบุญ หรือสวดมนต์ ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ จนใจสงบ แล้วเราจึงเริ่มศึกษาใหม่ เราเริ่มด้วยการอ่านพระไตรปิฏกที่ละเล่มอย่างช้าๆ ค่อยพิจารณาในอรรถธรรมจนถึงทุกวันนี้ เราเองก็เคยพลาดและลุกมาตั้งต้นใหม่หลายครั้ง แต่ข้อสงสัยในธรรม เราโชคดีที่ได้พบพระที่ท่านมีญาณทัศนะ (เราไม่ต้องถามพอเราไปถึงท่านจะเทศน์ให้ฟังเอง) เพราะเราเป็นผู้หญิง จนวันนี้ท่านจากเราไปแล้วเราก็ยังพยายามปฏิบัติตามคำสอนของท่านเสมอๆ เราอยากจะบอกท่านทั้งหลายว่าต่อให้ศึกษาธรรมมามากมาย แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ไร้ความหมาย 11 ปีที่เราศึกษามา มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องสังวรว่า เรายังอ่อนด้อยแค่ไหน พระธรรมบทเดียวประโยคเดียว บางทีกว่าจะเข้าใจใช้เวลาถึง 6 ปีทีเดียว

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chackapong
วันที่ 27 เม.ย. 2550
ขออนุโมทนาต่อกุศลจิตทุกท่านครับ มีผู้เล่าประสบการณ์ในการศึกษาธรรมขั้นอนุบาลน้อยท่าน คงเป็นเพราะเหตุว่า การศึกษาธรรม เป็นเรื่องเฉพาะตนจริงๆ จึงไม่ค่อยมีท่านใดมาเล่าให้ฟัง อาจเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ได้มากนักก็เป็นได้ คงขึ้นกับการสะสมของบุคคลนั้นๆ อย่างเช่น พระสารีบุตร ท่านได้ฟังเพียงสั้นๆ ก็บรรลุโสดาบันเข้าใจว่าเป็นเช่นนี้ ผมขอนำข้อความจากคุณ JANYAPINPARD ที่ว่า แต่เมื่อมาศึกษาพระธรรม (สายตรงที่มูลนิธิ) ….....หลายอย่างก็รู้สึกว่าเบาบางลง…… รู้สึกเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะผมเคยเข้าไปที่ บางเว็ปเกี่ยวกับธรรมะ แล้วรู้สึกไม่ตรงกับอัธยาศัย ของจริงแท้ และยิ่งเป็นสิ่งที่ผู้ไม่มีใครเสมอเหมือนเช่น พระพุทธองค์แล้ว จะง่ายๆ และมีเส้นทางลัด ได้อย่างไรกัน คุณ JANYAPINPARD ก็เป็นอีกท่านที่กล่าวว่า ขออนุโมทนาคุณ chackapong ที่มาศึกษาพระธรรมถูกทางแล้ว และนี้ก็คงเป็นการเล่าประสบการณ์ของคุณ JANYAPINPARD ในทางอ้อม ขอบคุณมากครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ