สมัยอดีตเมื่อยังเป็นหนุ่ม ๕๐ ปีมาแล้ว

 
kchat
วันที่  21 เม.ย. 2550
หมายเลข  3510
อ่าน  1,043

ขอพูดเรื่องส่วนตัวหน่อยนะ สมัยอดีตเมื่อยังเป็นหนุ่ม ๕๐ ปีมาแล้ว ผมไปเข้าปฎิบัติอาจารย์ ท่านก็สอนให้ดู รูปเดิน รูปยืน รูปนั่ง รูปนอน ผมก็ถามว่าดูแล้วจะเห็นอะไร? ท่านก็บอกว่า เห็นรูปนาม มันเกิดดับ ขณะที่เดินไปนี้ รูปนาม จะปรากฏ ทำเหมือนกับหวิวไป อะไรทำนองนี้ล่ะนะ เวลาเราย้ายขาไปนี้รูปมันจะหายไป อะไรทำนองนี้ล่ะ ผมก็พยายาม เดิ้นเดิ้น จนขาลากคือมันหนักๆ จนจะยกขาไม่ขึ้น ก็ไม่เห็นมันหายไปสักที ที่ว่า วาบๆ มันก็ไม่ปรากฏสักที มาถึงเดี๋ยวนี้ แล้วผมยังขอบใจที่ผมไม่เห็น วาบๆ นี้ เป็นอานิสงส์อย่างมหาศาล เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ เดินมันก็เป็นชื่อ ยืนก็เป็นชื่อ นั่งก็เป็นชื่อ นอนก็เป็นชื่อ แล้วมันไม่มีสภาวธรรมอะไร ที่จะให้เรารู้ แล้วเราจะไปเพ่งดู รูปยืนมันก็เห็นตัวเรายืน ทื่อๆ อยู่อย่างนั้นมันก็ไม่ได้อะไรเกิดขึ้นมา ผมก็ไม่มีปัญญาที่จะไปคิดว่าเขาผิด หรือเขาถูก อาจารย์ผิดหรืออาจารย์ถูก ผมก็ไม่ได้คิด เพราะเราไม่มีปัญญา ก็ทำอยู่ประมาณ ๔ เดือน ๒๑ วัน ไม่ใช่น้อยๆ นะครับ ผมนี้นะเป็นคนพอใช้ได้ ไม่ใช่คุยนะ ไม่รู้อะไรก็ยังอุตส่าห์ทำอยู่ได้ ตอนนั้นผมยังไม่รู้อะไร รู้แล้วมันจะแกะยากแกะไม่ออก จะติด จะแน่น แล้วใครพูดก็ไม่ค่อยจะเชื่อเสียด้วย ความจริงนี้ใครไม่ค่อยจะเชื่อนะ

จาก สนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรม เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 21 เม.ย. 2550
ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 21 เม.ย. 2550

ก่อนเจริญสติเป็นเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนั่ง นอน ยืน เดิน หรือเห็น ฯลฯ ทุกอย่างเป็นเราหมด แต่พอได้ฟังธรรมแนวทางเจริญสติปัฏฐาน ก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจ และอบรมปัญญาจนกว่าสติจะระลึกว่า เป็นธรรมะอย่างหนึ่งที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ปะปนทวารอื่นเลย ไม่มีความจงใจหรือตั้งใจ แต่เป็นปกติที่สติเกิดระลึกเอง เป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
citta89121
วันที่ 21 เม.ย. 2550

เจริญสติปัฏฐานได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องไปทำอะไรที่ผิดปกติ ไม่ต้องไปทำนั่ง ทำเดิน

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 21 เม.ย. 2550

ขณะที่พยายามตามดูสภาพธรรมะที่เกิดกับจิต ที่นิยมใช้กันมาก ตามดูจิตหรือตามดูสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นกับเรา เราลืมไปว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่มีใครไปบังคับให้สภาพธรรมะเกิดตามใจได้ เช่น ใช้สติ ตามดูจิต ลืมความเป็นอนัตตา ขณะนั้น และมีความต้องการ (โลภะ) ที่ต้องการอยากรู้ เปลี่ยนจากความต้องการในรูป เสียง... เมื่อมาทางธรรมะ โลภะมิได้หายไปไหน ก็ตามมาที่จะต้องการจดจ้อง ตามดูจิต โดยไม่รู้เลยว่าขณะนั้น เป็นโลภะ ไม่ใช่สติเลยครับ และก็เป็นเรานั่นแหละที่ตามดู รูปนั่ง...อื่นๆ ขณะนั้นก็เป็นตัวตนที่ซ้อนตัวตน ไม่ได้ละความยึดถือความเป็นตัวตนเลยครับ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wirat.k
วันที่ 23 เม.ย. 2550

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
อิสระ
วันที่ 23 เม.ย. 2550

ขออนุโมทนาด้วยครับ กับคำอธิบายของทุกๆ ท่าน โดยเฉพาะของคุณแล้วเจอกัน ผมเคยฟัง cd จากพระบางท่าน ก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันครับว่า การดูจิต มันต่างกับการเจริญสติอย่างไร หรือว่าเหมือนกันแต่ต่างกันที่การใช้คำ สาธุครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ