พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. เรื่องถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ [๔๒]

 
บ้านธัมมะ
วันที่  25 ก.ค. 2564
หมายเลข  34824
อ่าน  383

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 121

๑๐. เรื่องถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ [๔๒]


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 41]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 121

๑๐. เรื่องถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ [๔๒]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภการถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธ" เป็นต้น.

นางอัปสรอยากทำบุญแต่ไม่สมหวัง

ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พระเถระออกจากนิโรธสมาบัติ โดยล่วงไป ๗ วัน ออกไปแล้ว ด้วยคิดว่า จักเที่ยวบิณฑบาต ตามลำดับตรอก ในกรุงราชคฤห์ ในสมัยนั้น นางอัปสรประมาณ ๕๐๐ มีเท้าเหมือนเท้านกพิราบ เป็นบริจาริกาของท้าวสักกเทวราช เกิดความอุตสาหะว่า จักถวายบิณฑบาตแก่พระเถระ จึงตระเตรียมบิณฑบาต ๕๐๐ ที่ แล้วถือมายืนอยู่ในระหว่างทาง กล่าวว่า "นิมนต์รับบิณฑบาตนี้ เจ้าข้า โปรดทำความสงเคราะห์แก่พวกดิฉันเถิด".

พระเถระ. พวกเจ้าจงไปเสียเถิด ฉันจักทำความสงเคราะห์พวกคนเข็ญใจ.

นางอัปสร. ขอท่านอย่าให้พวกดิฉันฉิบหายเสียเลย เจ้าข้า โปรดทำความสงเคราะห์พวกดิฉันเถิด.

พระเถระรู้แล้ว จึงห้ามเสียอีก แล้วดีดนิ้ว (บอก) นางอัปสรทั้งหลายผู้ไม่ปรารถนาจะหลีกไปยังอ้อนวอนอยู่ว่า "พวกเจ้าไม่รู้จักประมาณตัว จงหลีกไป".

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 122

นางอัปสรเหล่านั้น ฟังเสียงนิ้วมือของพระเถระแล้ว ไม่อาจเพื่อจะยืนขัดแข็งอยู่ได้ จึงหนีไปยังเทวโลกตามเดิม อันท้าวสักกะตรัสถามว่า "พวกหล่อนไปไหนกันมา" จึงทูลว่า "หม่อมฉันพากันไปด้วยหมายว่า จักถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ ผู้ออกจากสมาบัติ พระเจ้าข้า.

สักกะ. ก็พวกหล่อนถวายแล้วหรือ.

นางอัปสร. พระเถระไม่ปรารถนาจะรับ.

สักกะ. พระเถระพูดอย่างไร.

นางอัปสร. ท่านพูดว่า "จักทำความสงเคราะห์พวกคนเข็ญใจ" พระเจ้าข้า.

สักกะ. พวกหล่อนไปกันด้วยอาการอย่างไร.

นางอัปสร. ไปด้วยอาการนี้แล พระเจ้าข้า.

ท้าวสักกะแปลงตัวทำบุญแก่พระเถระ

ท้าวสักกะตรัสว่า "หญิงเช่นพวกหล่อน จักถวายบิณฑบาต แก่พระเถระได้อย่างไร" ประสงค์จะถวายด้วยพระองค์เอง จึงแปลงเป็นคนแก่คร่ำคร่าด้วยอำนาจชรา มีฟันหัก มีผมหงอก หลังโกง เป็นช่างหูกผู้เฒ่า ทรงทำแม้นางสุชาดาผู้เทพธิดา ให้เป็นหญิงแก่เหมือนอย่างนั้นนั่นแล แล้วทรงนิรมิตถนนช่างหูกขึ้นสายหนึ่งประทับขึงหูกอยู่.

ฝ่ายพระเถระ เดินบ่ายหน้าเข้าเมือง ด้วยหวังว่า จักทำความสงเคราะห์พวกคนเข็ญใจ เห็นถนนสายนั้น นอกเมืองนั้นแล แลดูอยู่ ก็ได้เห็นคน ๒ คน ในขณะนั้น ท้าวสักกะกำลังขึงหูก นางสุชาดากรอหลอด.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 123

พระเถระคิดว่า สองคนนี้ แม้ในเวลาแก่ก็ยังทำงาน ในเมืองนี้ผู้ที่จะเข็ญใจกว่าสองคนนี้เห็นจะไม่มี เราจักรับภัตแม้ประมาณกระบวยหนึ่งที่สองคนนี้ถวายแล้ว ทำความสงเคราะห์แก่คนสองคนนี้ พระเถระได้บ่ายหน้าไปตรงเรือนของคนทั้งสองนั้นแล.

ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นพระเถระนั้นมาอยู่ จึงตรัสกะนางสุชาดาว่า "หล่อน พระผู้เป็นเจ้าของเรา เดินมาทางนี้ เธอจงนั่งทำเป็นเหมือนไม่เห็นท่านเสีย ฉันจักลวงท่านสักครู่หนึ่ง แล้วจึงถวายบิณฑบาต" พระเถระได้มายืนอยู่ที่ประตูเรือนแล้ว แม้สองผัวเมียนั้น ก็ทำเป็นเหมือนไม่เห็น ทำแต่การงานของตนฝ่ายเดียว คอยอยู่หน่อยหนึ่งแล้ว ครั้งนั้น ท้าวสักกะตรัสว่า "ที่ประตูเรือนดูเหมือน (มี) พระเถระยืนอยู่รูปหนึ่ง เธอจงไปตรวจดูก่อน" นางสุชาดาตอบว่า "ท่านจงไปตรวจดูเถอะ นาย" ท้าวเธอเสด็จออกจากเรือนแล้ว ทรงไหว้พระเถระด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว เอาพระหัตถ์ทั้งสองเท้าพระชานุ ล้ว ถอนใจ เสด็จลุกขึ้น ย่อพระองค์ลงหน่อยหนึ่ง ตรัสว่า "พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเถระรูปไหนหนอแล" แล้วตรัสว่า "ตาของผมฝ้าฟาง" ดังนี้แล้ว ทรงวางพระหัตถ์ไว้เหนือพระนลาต (ป้องหน้า) ทรงแหงนดูแล้ว ตรัสว่า "โอ ตายจริง พระผู้เป็นเจ้า พระมหากัสสปเถระของเรา นานๆ จึงมายังประตูกระท่อมของเรา มีอะไรอยู่ในเรือนบ้างไหม" นางสุชาดาทำเป็นกุลีกุจออยู่หน่อยหนึ่งแล้ว ได้ให้คำตอบว่า "มี นาย" ท้าวสักกะตรัสว่า "ท่านเจ้าข้า พระคุณเจ้า อย่าคิดเลยว่า "ทานเศร้าหมอง หรือประณีต" โปรดทำความสงเคราะห์ แก่กระผมทั้งสองเถิด" ดังนี้แล้ว ก็ทรงรับบาตรไว้ พระเถระคิดว่า

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 124

ทานที่สองผัวเมียนั่นถวายแล้ว จะเป็นน้ำผักดองหรือรำกำมือหนึ่งก็ตามที เราจักทำความสงเคราะห์แก่สองผัวเมียนั้น ดังนี้แล้ว จึงได้ให้บาตรไป ท้าวสักกะนั้น เสด็จเข้าไปภายในเรือนแล้ว ทรงคดข้าวสุกออกจากหม้อ ใส่เต็มบาตรแล้ว มอบถวายในมือพระเถระ บิณฑบาตนั้นได้มีสูปพยัญชนะมากมาย ได้หอมตลบทั่วกรุงราชคฤห์แล้ว.

ท้าวสักกะตรัสบอกความจริงแก่พระเถระ

ในกาลนั้น พระเถระคิดว่า ชายนี้ มีศักดิ์น้อย บิณฑบาต มีศักดิ์มาก เช่นกับโภชนะของท้าวสักกะ นั่นใครหนอ ครั้งนั้น พระเถระทราบชายนั้นว่า ท้าวสักกะ จึงกล่าวว่า "พระองค์ทรงแย่งสมบัติของคนเข็ญใจ (จัดว่า) ทำกรรมหนักแล้ว ใครๆ ก็ตาม ที่เป็นคนเข็ญใจ ถวายทานแก่อาตมภาพในวันนี้ พึงได้ตำแหน่งเสนาบดี หรือตำแหน่งเศรษฐี".

สักกะ. ผู้ที่เข็ญใจไปกว่ากระผม ไม่มีเลย ขอรับ.

พระเถระ. พระองค์เสวยสิริราชสมบัติในเทวโลก จะจัดว่าเป็นคนเข็ญใจ เพราะเหตุไร.

สักกะ. อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าว่า ก็ถูกละ ขอรับ แต่เมื่อพระพุทธเจ้า ยังมิทรงอุบัติ กระผมได้ทำกัลยาณกรรมไว้ เมื่อพุทธุปบาทกาล ยังเป็นไปอยู่ เทพบุตรผู้มีศักดิ์เสมอกัน ๓ องค์เหล่านี้ คือจูฬรถเทพบุตร มหารถเทพบุตร อเนกวัณณเทพบุตรทำกัลยาณกรรมแล้ว ได้เกิดในที่ใกล้ของกระผม มีเดชมากกว่ากระผม ก็กระผม เมื่อเทพบุตรทั้งสามนั้น พาพวกบริจาริกาลงสู่ระหว่างถนน ด้วยคิดว่า จักเล่นนักขัตฤกษ์

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 125

ต้องหนีเข้าตำหนัก เพราะเดชจากสรีระของเทพบุตรทั้งสามนั้น ท่วมทับสรีระของกระผม เดชจากสรีระของกระผม ไม่ท่วมทับสรีระของเทพบุตรทั้งสามนั้น ใครจะเข็ญใจกว่ากระผมเล่า ขอรับ.

พระเถระ. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไป พระองค์อย่าได้ลวงถวายทานแก่อาตมภาพอย่างนั้น.

สักกะ. เมื่อกระผมลวงถวายทานแก่ท่าน กุศลจะมีแก่กระผม หรือไม่มี.

พระเถระ. มี พระองค์.

สักกะ. เมื่อเป็นอย่างนั้น การทำกุศลกรรมก็จัดเป็นหน้าที่ของกระผมซิ ขอรับ.

ท้าวเธอตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงไหว้พระเถระ พานางสุชาดา ทรงทำประทักษิณพระเถระแล้ว เหาะขึ้นสู่เวหาส ทรงเปล่งอุทานว่า.

"โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยี่ยม เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในท่านพระกัสสป".

มหากัสสสปเถรทานสูตร (๑)

เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์ จึงกล่าวว่า.

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ในพระเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์ ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปอยู่ที่ปิปผลิคูหา นั่งเข้าสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยบัลลังก์เดียว สิ้น ๗ วัน ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปโดยล่วง ๗ วันนั้นแล้ว จึงออกจากสมาธินั้น


(๑) ขุ. อุ. ๒๕/๑๑๔.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 126

ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสป ผู้ออกจากสมาธินั้นแล้ว ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ก็โดยสมัยนั้นแล เทวดาประมาณ ๕๐๐ ถึงความขวนขวาย เพื่อจะให้ท่านพระมหากัสสปได้บิณฑบาต ครั้งนั้นแล ท่านมหากัสสป ห้ามเทวดาประมาณ ๕๐๐ เหล่านั้นแล้ว ในเวลาเช้า นุ่ง (สบง) แล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ก็โดยสมัยนั้นแล ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้า ทรงประสงค์จะถวายบิณฑบาตแก่ท่านพระมหากัสสป ทรงนิรมิตเป็นช่างหูก ทอหูกอยู่ อสุรกัญญานามว่า สุชาดา กรอหลอด.

ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสป ที่ประทับอยู่ของท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้า มีอยู่โดยทิศาภาคใด เข้าไปหาแล้ว โดยทิศาภาคนั้น ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วแล ซึ่งท่านพระมหากัสสปกำลังเดินมาแต่ที่ไกลเทียว ครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้ว เสด็จออกจากเรือน ทรงต้อนรับ รับบาตรจากมือ เสด็จเข้าไปสู่เรือน คดข้าวสุกจากหม้อ ใส่เต็มบาตรแล้ว ได้ถวายแก่ท่านพระมหากัสสป บิณฑบาตนั้น ได้มีกับมากมาย มีแกงเหลือหลาย ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสป ได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า สัตว์ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพเห็นปานนี้นี่ คือใครกันหนอ ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า นี้คือท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้าแล ครั้นทราบแล้ว ได้กล่าวคำนี้กะท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้าว่า "ท้าวโกสีย์ กรรมนี้ อันพระองค์ทรงทำแล้ว พระองค์อย่าได้ทรงทำกรรมเห็นปานนี้อีกเลย"

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 127

ท้าวสักกะตรัสว่า "ท่านกัสสปผู้เจริญ แม้พวกผมก็ต้องการบุญ แม้พวกผมก็ควรทำบุญ" ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพเจ้า อภิวาทท่านพระมหากัสสปแล้ว ทรงทำประทักษิณ เหาะขึ้นสู่เวหาส ทรงเปล่งอุทาน ๓ ครั้ง ในอากาศกลางหาวว่า.

"โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยี่ยม เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในท่านพระกัสสป. โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยี่ยม เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในท่านพระกัสสป. โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยี่ยม เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในท่านพระกัสสป."

พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับยืนอยู่ในพระวิหารนั่นแล ได้ทรงสดับเสียงของท้าวสักกะนั้น จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้า ทรงเปล่งอุทาน เสด็จไปทางอากาศ".

ภิกษุ. ก็ท้าวสักกะนั้น ทำอะไร พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. ท้าวเธอลวงถวายบิณฑบาตแก่กัสสปผู้บุตรของเรา ครั้นถวายบิณฑบาตนั้นแล้ว ดีพระทัย พลางทรงเปล่งอุทานไป.

ภิกษุ. ท้าวเธอทราบได้อย่างไรว่า ถวายบิณฑบาตแก่พระเถระ ควร พระเจ้าข้า.

พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทั้งเหล่าเทพเจ้า ทั้งเหล่ามนุษย์ ย่อมพอใจภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ชื่อว่าเช่นบุตรของเรา" ดังนี้แล้ว แม้พระองค์เองก็ทรงเปล่งอุทานแล้ว.

ก็ในพระสูตร คำมาแล้วเท่านี้นั่นเทียวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 128

ทรงสดับแล้วแล ซึ่งเสียงของท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพเจ้า ผู้เหาะขึ้นสู่เวหาส ทรงเปล่งอุทาน ๓ ครั้ง ในอากาศกลางหาวว่า.

"โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยี่ยม เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในท่านพระกัสสป. โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยี่ยม เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในท่านพระกัสสป. โอ ทานที่เป็นทานอย่างเยี่ยม เราได้ตั้งไว้ดีแล้วในท่านพระกัสสป."

ด้วยพระโสตธาตุอันเป็นทิพย์ หมดจด ล่วงเสียซึ่งโสตของมนุษย์.

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า.

"เทวดาและมนุษย์ ย่อมพอใจ แก่ภิกษุผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ผู้เลี้ยงตัวเอง มิใช่เลี้ยงผู้อื่น ผู้มั่นคง ผู้เข้าไปสงบแล้ว มีสติทุกเมื่อ".

ก็แล ครั้นทรงเปล่งอุทานนี้แล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเหล่าเทพเจ้า ได้เสด็จมาถวายบิณฑบาตแก่บุตรของเรา เพราะกลิ่นศีล" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า.

๑๐. อปฺปมตฺโต อยํ คนฺโธ ยฺวายํ ตครจนฺทนี โย จ สีลวตํ คนฺโธ วาติ เทเวสุ อุตฺตโม.

" กลิ่นนี้ คือกลิ่นกฤษณาและกลิ่นจันทน์ เป็นกลิ่นเพียงเล็กน้อย ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลทั้งหลาย เป็นกลิ่นชั้นสูง ย่อมหอมฟุ้งไปในเทพเจ้าและเหล่ามนุษย์".

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้า 129

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมตฺโต คือมีประมาณนิดหน่อย.

สองบทว่า โย จ สีลวตํ ความว่า ส่วนกลิ่นศีลของผู้มีศีลทั้งหลายใด กลิ่นศีลนั้น หาเป็นกลิ่นเล็กน้อยเหมือนกลิ่นในกฤษณาและจันทน์แดงไม่ คือเป็นกลิ่นอันโอฬาร แผ่ซ่านไปเหลือเกิน ด้วยเหตุนั้นแล กลิ่นศีล จึงเป็นกลิ่นสูงสุด คือประเสริฐ เลิศ ฟุ้งไปในเหล่าเทพเจ้าและเหล่ามนุษย์ คือฟุ้งไปในเหล่าเทพเจ้าและเหล่ามนุษย์ ได้แก่ หอมตลบทั่วไปทีเดียว.

ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนาเกิดประโยชน์แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.

เรื่องถวายบิณฑบาตแก่พระมหากัสสปเถระ จบ.