มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร

 
chatchai.k
วันที่  6 มิ.ย. 2564
หมายเลข  34363
อ่าน  557

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 226

๓. มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร

สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาประทับอยูที่พระวิหารตโปทาราม เขตพระนครราชคฤห ครั้งนั้นแล ทานพระสมิทธิลุกขึ้นในราตรีตอนใกลรุง เขาไปยังสระตโปทะเพื่อสรงสนานรางกาย ครั้นเสร็จเรียบรอยแลว จึงกลับขึ้นมานุงสบงผืนเดียว ยืนผึ่งตัวใหแหงอยู ฉะนั้น ลวงปฐมยามไปแลว มีเทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีงาม สองสระตโปทะใหสวางทั่ว เขาไปหาทานพระสมิทธิ ยังที่ที่ยืนอยูนั้น แลวไดยืน ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง

[๕๔๙] เทวดานั้น พอยืนเรียบรอยแลว จึงกลาวกะทานพระสมิทธิ ดังนี้วา ดูกอนภิกษุ ทานทรงจําอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ไดไหม

ทานพระสมิทธิกลาววา ดูกอนทานผูมีอายุ เราทรงจําไมได ก็ทาน ทรงจําไดหรือ

เท. ดูกอนภิกษุ แมขาพเจาก็ทรงจําไมได และทานทรงจําคาถา แสดงราตรีหนึ่งเจริญไดไหม.

ส. ดูกอนทานผูมีอายุ เราทรงจําไมได ก็ทานทรงจําไดหรือ.

เท. ดูกอนภิกษุ แมขาพเจาก็ทรงจําไมได ขอทานจงเลาเรียน และ ทรงจําอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมีราตรีหนึ่งเจริญเถิด เพราะอุเทศและวิภังค ของบุคคลผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ประกอบดวยประโยชนเปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 227

เทวดานั้น กลาวดังนี้แลว จึงหายไป ณ ที่นั้นเอง

[๕๕๐] ครั้งนั้นแล ทานพระสมิทธิ พอลวงราตรีนั้นไปแลว จึง เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจายังที่ประทับ ครั้นแลวจึงถวายอภิวาทพระผูมีพระภาคเจา นั่ง ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง พอนั่งเรียบรอยแลว ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาดังนี้วา ขาแตพระองคผูเจริญ เมื่อคืนนี้ตอนใกลรุง ขาพระองค ลุกขึ้นเขาไปยังสระตโปทะเพื่อสรงสนานรางกาย ครั้นเสร็จเรียบรอยแลว จึง กลับมานุงแตสบงผืนเดียวยืนผึ่งตัวใหแหงอยู. ขณะนั้นลวงปฐมยามไปแลว เทวดาองคหนึ่ง มีรัศมีงามสองสระตโปทะใหสวางทั่ว เขาไปหาขาพระองคยัง ที่ที่ยืนอยูนั้น แลวยืน ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง พอยืนเรียบรอยแลว ไดกลาว กะขาพระองคดังนี้วา ดูกอนภิกษุ ทานทรงจําอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมี ราตรีหนึ่งเจริญไดไหม.

ขาแตพระองคผูเจริญ เมื่อเทวดานั้นกลาวแลวอยางนี้ ขาพระองคไดกลาวกะเทวดานั้นดังนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุ เราทรงจําไมได ทานทรงจําไดหรือ. เทวดานั้นกลาววา ดูกอนภิกษุแมขาพเจาก็ทรงจําไมได และทานทรงจําคาถาแสดงราตรีหนึ่งเจริญไดไหม. ขาพระองคตอบวา ดูกอน ทานผูมีอายุ เราทรงจําไมได ก็ทานทรงจําไดหรือ. เทวดานั้นกลาววา ดูกอน ภิกษุ แมขาพเจาก็ทรงจําไมได ขอทานจงเลาเรียน และทรงจําอุเทศและ วิภังคของบุคคลผูมีราตรีหนึ่งเจริญเถิด เพราะอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมี ราตรีหนึ่งเจริญ ประกอบดวยประโยชน เปนเบื้องตนแหงพรหมจรรย. เทวดานั้นกลาวดังนี้แลว จึงหายไป ณ ที่นั้นเอง. ขาแตพระองคผูเจริญ ขอพระผูมีพระภาคเจาไดโปรดแสดงอุเทศและวิภังคของบุคคลผูมีราตรีหนึ่ง เจริญ แกขาพระองคเถิด.

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 228

พระผูมีพระภาคเจาตรัสวา ดูกอนภิกษุ ถาเชนนั้น เธอจงพึง จงใส ใจใหดี เราจักกลาวตอไป. ทานพระสมิทธิทูลรับพระผูมีพระภาคเจาวา ชอบ แลว พระพุทธเจาขา.

[๕๕๑] พระผูมีพระภาคเจาจึงไดตรัสดังนี้วา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ไมควรมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง สิ่งใดลวง ไปแลว สิ่งนั้นเปนอันละไปแลว และ สิ่งที่ยังไมมาถึง ก็เปนอันยังไมถึง ก็บุคคลใดเห็นแจงธรรมปจจุบันไมงอนแงน ไมคลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ ได บุคคล นั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนื่อง ๆ ใหปรุโปรง เถิด พึงทําความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเลาจะรูความตายในวันพรุง เพราะวา ความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผูมีเสนาใหญนั้น ยอมไมมีแกเราทั้งหลายพระมุนีผูสงบยอม เรียกบุคคลผูมีปกติอยูอยางนี้ มีความ เพียรไมเกียจครานทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ.

พระผูมีพระภาคเจาตรัสคาถาประพันธดังนี้ ครั้นแลวพระสุคตจึงทรง ลุกจากอาสนะ เสด็จเขาไปยังพระวิหาร

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 229

พวกภิกษุปรึกษากันถึงอุเทศ

[๕๕๒] ครั้นพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปแลวไมนาน ภิกษุเหลา นั้นจึงไดมีขอปรึกษากันอยางนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกเราวา

บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ไมควรมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง สิ่งใดลวง ไปแลว สิ่งนั้นก็เปนอันละไปแลวและสิ่ง ที่ยังไมมาถึง ก็เปนอันยังไมถึง ก็บุคคล ใดเห็นแจงธรรมปจจุบันไมงอนแงน ไม คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆได บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ใหปรุโปรงเถิด พึงทําความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใคร เลาจะรูความตายในวันพรุง เพราะวาความ ผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผูมีเสนาใหญนั้น ยอม ไมมีแกเราทั้งหลาย พระมุนีผูสงบ ยอม เรียกบุคคลผูมีปกติอยูอยางนี้ มีความ เพียรไมเกียจครานทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ. ดังนี้แล มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกออกจาก อาสนะเสด็จเขาไปยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่ พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงโดยยอนี้ใหพิสดารได. ครั้งนั้นแล ภิกษุเหลานั้น ไดมีความคิดอยางนี้วาทานพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 230

ผูรวมประพฤติพรหมจรรยผูเปนวิญูชนยกยอง สรรเสริญแลว ก็ทานพระมหากัจจานะ พอจะจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดง โดยยอนี้ใหพิสดารได ถากระไร พวกเราพึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะยัง ที่อยูแลว พึงสอบถามเนื้อความนี้กะทานพระมหากัจจานะเถิด.

[๕๕๓] ตอนั้นแล ภิกษุเหลานั้นจึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะ ยังที่อยู แลวไดทักทายปราศรัยกับทานพระมหากัจจานะ ครั้นผานคําทักทาย ปราศรัยพอใหระลึกถึงกันไปแลว จึงนั่ง ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง พอนั่งเรียบ รอยแลวไดกลาวกะทานพระมหากัจจานะดังนี้วา ดูกอนทานกัจจานะ พระผูมี พระเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกกระผมวา

บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคลนั้น แลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้แล มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะเสด็จเขาไป ยังพระวิหาร ดูกอนทานกัจจานะ ครั้นพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปแลว ไมนาน พวกกระผมนั้นไดมีขอปรึกษากันอยางนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุทั้ง หลาย พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกเราวา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคลนั้น แลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้แล มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะเสด็จเขาไป ยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงโดยยอนี้ใหพิสดารได ดูกอนทานกัจจานะ พวกกระผมนั้นไดมีความ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 231

คิดอยางนี้วา ทานพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุผูรวม ประพฤติพรหมจรรยผูเปนวิญูชนยกยอง สรรเสริญแลว ก็ทานพระมหากัจจานะ พอจะจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงโดย ยอนี้ใหพิสดารได ถากระไร พวกเราพึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะยังที่อยู แลวพึงสอบถามเนื้อความนี้กะทานพระมหากัจจานะเถิด ขอทานพระมหากัจจานะโปรดจําแนกเนื้อความเถิด. อุปมาดวยผูตองการไมแกน

[๕๕๔] ทานพระมหากัจจานะกลาววา ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผูตองการแกนไม แสวงหาแกนไม เที่ยวเสาะหาแกนไม พึงสําคัญแกนของตนไมใหญที่มีแกนตั้งอยูวา ควรหาไดที่กิ่งและใบ ละเลย รากและลําตนเสีย ฉันใด ขออุปไมยนี้ ก็ฉันนั้น เมื่อพระศาสดาประทับอยู พรอมหนาทานผูมีอายุทั้งหลาย พวกทานพากันสําคัญเนื้อความนั้นวา พึงสอบ ถามเราได ลวงเลยพระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้นเสีย ดูกอนทานผูมีอายุทั้ง หลาย พระผูมีพระภาคเจาพระองคนั้น ทรงรูธรรมที่ควรรู. ทรงเห็นธรรม ที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรม มีความประเสริฐ ตรัส บอก นําออก ซึ่งประโยชน ประทานอมตธรรม ทรงเปนเจาของธรรม ทรงดําเนินตามนั้น และก็เปนกาลสมควรแกพระองคแลวที่ทานทั้งหลายจะพึงสอบถามเนื้อความนี้ กะพระผูมีพระภาคเจา พระผูมีพระภาคเจาทรงพยากรณแกเราอยางใด พวก ทานพึงทรงจําไวอยางนั้นเถิด.

ภิกษุเหลานั้นกลาววา ดูกอนทานกัจจานะ แทจริง พระผูมีพระภาคเจายอมทรงรูธรรมที่ควรรู ทรงเห็นธรรมที่ควรเห็น ทรงมีจักษุ มีญาณ มีธรรม มีความประเสริฐ ตรัสบอก นําออกซึ่งประโยชน ประทาน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 232

อมตธรรม ทรงเปนเจาของธรรม ทรงดําเนินตามนั้น และก็เปนกาลสมควร แกพระองคแลวที่พวกกระผมจะพึงสอบถามเนื้อความนี้กะพระผูมีพระภาคเจา พระผูมีพระภาคเจาทรงพยากรณแกพวกกระผมอยางใด พวกกระผมพึงทรงจํา ไดอยางนั้น แตวาทานพระมหากัจจานะ อันพระศาสดาและพระภิกษุผูรวม ประพฤติพรหมจรรยผูเปนวิญูชนยกยอง สรรเสริญแลว และทานพอจะจํา แนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงโดยยอนี้ใหพิสดารได ขอทานพระมหากัจจานะอยาทําความหนักใจ โปรดจําแนกเนื้อความเถิด. กัจจานะ. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ถาเชนนั้น พวกทานจงฟง จง ใสใจใหดีขาพเจาจักกลาวตอไป. ภิกษุเหลานั้นรับคําทานพระมหากัจจานะวา ชอบแลวทานผูมีอายุ.

[๕๕๕] ทานพระมหากัจจานะจึงไดกลาวดังนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุ ทั้งหลาย ขอที่พระผูมีพระภาคเจาทรงอุเทศโดยยอแกเราทั้งหลายวา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคลนั้น แลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้ มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร แลวทรงลุกจากอาสนะเสด็จเขาไป ยังพระวิหารนี้แล ขาพเจาทราบเนื้อความโดยพิสดารอยางนี้

[๕๕๖] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลายก็บุคคลยอมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว อยางไร คือ มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในจักษุและรูปวา จักษุของเรา ไดเปนดังนี้ รูปไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว เพราะความรูสึกเนื่องดวย ฉันทราคะ จึงเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวาคํานึงถึง สิ่งที่ลวงแลว.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 233

มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในโสตและเสียงวา โสตของเราไดเปน ดังนี้ เสียงไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในฆานะและกลิ่นวา ฆานะของเราได เปนดังนี้ กลิ่นไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในชิวหาและรสวา ชิวหาของเราได เปนดังนี้ รสไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะวา กายของเรา ไดเปนดังนี้ โผฏฐัพพะไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณวา มโนของ เราไดเปนดังนี้ ธรรมารมณไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว เพราะความรูสึก เนื่องดวยฉันทราคะ จึงเพลิดเพลินมโมและธรรมารมณนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวา คํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวา คํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว. ผูไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว

[๕๕๗] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลจะไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวง แลวอยางไร คือ มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในจักษุและรูปวา จักษุ ของเราไดเปนดังนี้ รูปไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว เพราะความรูสึกไม เนื่องดวยฉันทราคะจึงไมเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อไมเพลิดเพลิน จึง ชื่อวา ไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในโสตและเสียงวา โสตของเราได เปนดังนี้ เสียงไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 234

มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในฆานะและกลิ่นวา ฆานะของเรา ไดเปนดังนี้ กลิ่นไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในชิวหาและรสวา ชิวหาของเรา ไดเปนดังนี้ รสไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะวา กายของ เราไดเปนดังนี้ โผฏฐัพพะไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว... มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในกายและธรรมารมณวา มโนของ เราไดเปนดังนี้ ธรรมารมณไดเปนดังนี้ ในกาลที่ลวงแลว เพราะความรูสึก ไมเนื่องดวยฉันทราคะ จึงไมเพลิดเพลินมโนและธรรมารมณนั้น เมื่อไม เพลิดเพลิน จึงชื่อวาไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวา ไมคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว.

[๕๕๘] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลยอมมุงหวังสิ่งที่ยังไมมา ถึงอยางไร คือ บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่คนยังไมไดวา ขอจักษุของเราพึง เปนดังนี้ ขอรูปพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต เพราะความตั้งใจเปนปจจัย จึงเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวามุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง. บุคคลทั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่คนยังไมไดวา ขอโสตของเราพึงเปนดังนี้ ขอเสียงพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่คนยังไมไดวา ขอฆานะของเราพึงเปนดังนี้ ขอกลิ่นพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอชิวหาของเราพึงเปนดังนี้ ขอรสพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอกายของเราพึงเปนดังนี้ ขอโผฏฐัพพะพึงเปนดังนี้ในกาลอนาคต...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 235

บุคคลตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอมโนของเราพึงเปนดังนี้ ขอธรรมารมณพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต เพราะความตั้งใจเปนปจจัย จึง เพลิดเพลินมโนและธรรมารมณ เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวามุงหวังสิ่งที่ยังไมมา ถึง. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวา มุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง.

[๕๕๙] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลจะไมมุงหวังสิ่งที่ยังไม มาถึงอยางไร คือ บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอจักษุของเรา พึงเปนดังนี้ ขอรูปพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต เพราะความไมตั้งใจเปนปจจัย จึงไมเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อไมเพลิดเพลิน จึงชื่อวา ไมมุงหวังสิ่งที่ ยังไมมาถึง.

บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอโสตของเราพึงเปนดังนี้ ขอเลียงพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอฆานะของเราพึงเปน ดังนี้ ขอกลิ่นพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต. บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอชิวหาของเราพึงเปน ดังนี้ ขอรสพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต... บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอกายของเราพึงเปนดังนี้ ขอโผฏฐัพพะพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต ... บุคคลไมตั้งจิตเพื่อจะไดสิ่งที่ตนยังไมไดวา ขอมโนของเราพึงเปน ดังนี้ ขอธรรมารมณพึงเปนดังนี้ ในกาลอนาคต เพราะความไมจงใจเปน ปจจัย จึงไมเพลิดเพลินมโนและธรรมารมณนั้น เมื่อไมเพลิดเพลิน จึงชื่อวา ไมมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวาไม มุงหวังสิ่งที่ยังมาไมถึง.

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 236

ผูไมงอนแงนในธรรมปจจุบัน

[๕๖๐] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลยอมงอนแงนในธรรม ปจจุบันอยางไรคือ มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง ๒ อยาง ที่เปนปจจุบันดวยกันนั้นแลเพราะความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะจึงเพลิดเพลิน จักษุและรูปนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวา งอนแงนในธรรมปจจุบัน.

มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในโสตและเสียง.. .

มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...

มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในชิวหาและรส. . .

มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ. . .

มีความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะในมโนและธรรมารมณทั้ง ๒ อยางที่ เปนปจจุบันดวยกันแล เพราะความรูสึกเนื่องดวยฉันทราคะ จึงเพลิดเพลิน มโนและธรรมารมณนั้น เมื่อเพลิดเพลิน จึงชื่อวางอนแงนในธรรมปจจุบัน. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แลชื่อวา งอนแงนในธรรมปจจุบัน.

[๕๖๑] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลายก็บุคคลยอมไมงอนแงนในธรรม. ปจจุบันอยางไร คือ มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในจักษุและรูปทั้ง ๒ อยางที่เปนปจจุบันดวยกันนั้นแล เพราะความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะ จึง ไมเพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น เมื่อไมเพลิดเพลินจึงชื่อวาไมงอนแงนในธรรม ปจจุบัน.

มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในโสตและเสียง...

มีความรสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในฆานะและกลิ่น...

มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในชิวหาและรส...

มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในกายและโผฏฐัพพะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 237

มีความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะในมโนแลธรรมารมณทั้ง ๒ อยาง ที่เปนปจจุบันดวยกันนั้นแล เพราะความรูสึกไมเนื่องดวยฉันทราคะ จึงไม เพลิดเพลินมโนและธรรมารมณนั้น เมื่อไมเพลิดเพลิน จึงชื่อวาไมงอนแงน ในธรรมปจจุบัน. ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย อยางนี้แล ชื่อวา ไมงอนแงน ในธรรมปจจุบัน.

[๕๖๒] ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย ขอที่พระผูมีพระภาคเจาทรง แสดงอุเทศ โดยยอแกเราทั้งหลายวา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคล... นั้นแลวา ผูมีราตีหนึ่งเจริญ ดังนี้ มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร แลวทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเขา ไปยังพระวิหารนี้แล ขาพเจาทราบเนื้อความโดยพิสดารอยางนี้ ก็แหละทาน ทั้งหลายหวังอยู พึงเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจาแลวทูลสอบถามเนื้อความ นั้นเถิด พระผูมีพระภาคเจาทรงพยากรณแกทานทั้งหลายอยางใด พวกทาน พึงทรงจําเนื้อความนั้นไวอยางนั้น.

[๕๖๓] ครั้งนั้นแล ภิกษุเหลานั้น ยินดีอนุโมทนาภาษิตของทาน พระมหากัจจานะแลวลุกจากอาสนะ เขาไปเฝาพระผูมีพระภาคเจายังที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผูมีพระภาคเจาแลว จึงนั่ง ณ ที่ควรสวนขางหนึ่ง พอนั่ง เรียบรอยแลว ไดกราบทูลพระผูมีพระภาคเจาดังนี้วา ขาแตพระองคผูเจริญ ตามที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกขาพระองควา บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ฯลฯ พระมุนีผูสงบ ยอมเรียกบุคคล... นั้นแลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 238

ดังนี้ มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร แลวทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเขา ไปยังพระวิหาร พอพระผูมีพระภาคเจาเสด็จหลีกไปแลวไมนาน พวกขา พระองคนั้น ไดมีขอปรึกษากันอยางนี้วา ดูกอนทานผูมีอายุทั้งหลาย พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงอุเทศโดยยอแกพวกเราวา

บุคคลไมควรคํานึงถึงสิ่งที่ลวงแลว ไมควรมุงหวังสิ่งที่ยังไมมาถึง สิ่งใดลวง ไปแลว สิ่งนั้นก็เปนอันละไปแลว และ สิ่งที่ยังมีมาถึงก็เปนอันยังไมถึง ก็บุคคล ใดเห็นแจงธรรมปจจุบันไมงอนแงน ไม คลอนแคลนในธรรมนั้นๆได บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ใหปรุโปรงเถิด พึงทําความเพียรเสียในวันนี้แหละใครเลา จะรูความตายในวันพรุง เพราะวาความ ผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผูมีเสนาใหญ นั้นยอม ไมมีแกเราทั้งหลาย พระมุนีผูสงบ ยอม เรียกบุคคลผูมีปกติอยูอยางนี้ มีความ เพียรไมเกียจครานทั้งกลางวันและกลาง- คืน นั้นแลวา ผูมีราตรีหนึ่งเจริญ ดังนี้แล มิไดทรงจําแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเขา ไปยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาค เจาทรงแสดงโดยยอนี้ใหพิสดารได ขาแตพระองคผูเจริญ พวกขาพระองคนั้น ไดมีความคิดอยางนี้วา ทานพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวก

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 239

ภิกษุรวมประพฤติพรหมจรรยผูอันวิญูชนยกยอง สรรเสริญแลว ก็ทาน พระกัจจานะนี้พอจะจําแนกเนื้อความแหงอุเทศที่พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดง โดยยอนี้ใหพิสดารได ถากระไร พวกเราพึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะยัง ที่อยู แลวพึงสอบถามเนื้อความนี้กะทานพระมหากัจจานะเถิด ลําดับนั้นแล พวกขาพระองคจึงเขาไปหาทานพระมหากัจจานะยังที่อยู แลวสอบถามเนื้อความ นั้นกะทาน ขาแตพระองคผูเจริญ ทานพระมหากัจจานะ จําแนกเนื้อความแก พวกขาพระองคนั้นแลวโดยอาการดังนี้ โดยบทดังนี้ โดยพยัญชนะดังนี้.

[๕๗๔] พระผูมีพระภาคเจาตรัสวาดูกอนภิกษุทั้งหลาย มหากัจจานะ เปนบัณฑิต มีปญญามาก แมหากพวกเธอสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา เราก็ จะพยากรเนื้อความนั้นอยางเดียวกับที่มหากัจจานะพยากรณแลวเหมือนกัน ก็ แหละเนื้อความของอุเทศนั้นเปนดังนี้แล พวกเธอจงทรงจําเนื้อความนั้นไว อยางนั้นเถิด.

พระผูมีพระภาคเจาไดตรัสพระภาษิตนี้แลว ภิกษุเหลานั้นตางชื่นชม ยินดี พระภาษิตของพระผูมีพระภาคเจาแล.

จบ มหากัจจนภัทเทกรัตตสูตร ที่ ๓

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 240

อรรถกถามหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร

มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตรเริ่มตนวา ขาพเจาไดสดับ มาอยางนี้:-

บรรดาบทเหลานั้น บทวา ตโปทาราเม ความวา ในอารามที่มีชื่อ อยางนี้ ดวยอํานาจแหงสระชื่อ ตโปทะ คือ มีน้ํารอน ไดยินวา ภายใต เวภารบรรพตมีภพนาคประมาณหารอยโยชนของนาคที่อยูในแผนดินทั้งหลาย เปนเชนกับเทวโลก ถึงพรอมดวยพื้นอันสําเร็จดวยแกวมณี และสวนอันเปนที่รื่นรมยทั้งหลาย ในสถานที่เปนที่เลนของนาคทั้งหลายในภพนาคนั้น มีสระน้ําใหแมน้ําชื่อ ตโปทา มีน้ํารอนเดือดพลานไหลจากสระนั้น ก็เพราะเหตุไรแมน้ํานั้นจึงเปนเชนนี้. ไดยินวาโลกแหงเปรตใหญลอมกรุงราชคฤห แมน้ําตโปทา นี้มาในระหวางมหาโลหกุมภีนรก ทั้งสองในมหาเปรตโลกนั้น เพราะฉะนั้น แมน้ําตโปทานั้น จึงเดือดพลานไหลมา สมจริงดังพระดํารัส ที่พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวดังนี้

ดูกอนภิกษุทั้งหลาย แมน้ําตโปทานี้ ยอมไหลโดยประการที่สระนั้น มีน้ําใสสะอาด เย็น ขาว มีทาดี รื่นรมย มีปลา และเตามาก และมีปทุมประมาณวงลอ บานสะพรั่ง อนึ่ง แมน้ําตโปทานี้ไหลผานระหวางมหานรกทั้งสอง เพราะเหตุนั้น แมน้ําตโปทานี้จึงเดือดพลานไหลมา ดังนี้ ก็สระน้ําใหญ เกิดขางหนาพระอารามนี้ ดวยอํานาจแหงชื่อ สระน้ํา ใหญนั้น วิหารนี้ จึงเรียกวา ตโปทาราม

บทวา สมิทฺธิ ความวา นัยวา อัตภาพของพระเถระนั้น ละเอียด มีรูปสวย นาเลื่อมใส เพราะฉะนั้น จึงถึง อันนับวา สมิทธิ.

บทวา อาทิพฺรหฺมจริยโก ไดแก เปนเบื้องตนแหงมรรค พรหมจรรย คือเปนขอปฏิบัติ ในสวนเบื้องตน.

บทวา อท ว วา สุคโต อฏายาสนา เปนตน พึงใหพิสดารโดยนัยที่กลาวแลวในมธุบิณฑิกสูตร

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกายอุปริปณณาสกเลม ๓ ภาค ๒ - หนาที่ 241

บทวา อิติ เม จกฺขุ ความวา นัยวา พระผูมีพระภาคเจาทรงตั้งมาติกา ดวยอํานาจแหงอายตนะ ๑๒ ในสูตรนี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงกระทํามาติกา และ วิภังคดวยอํานาจแหงขันธ ๕ ในสามสูตรนี้ คือ ในหนกอนสองสูตร และ ในขางหนาหนึ่งสูตรซึ่งเปนสูตรที่สี่ แตในสูตรนี้ ฝายพระเถระไดนัยวา มาติกาว ปตา จึงกลาวอยางนี้ เพื่อจําแนกอายตนะสิบสอง ก็พระเถระ เมื่อไดนัยนี้ไดทําภาระหนัก คือ แสดงรอยเทาในที่ไมมีรอยเทา การทํารอย เทาในอากาศดวยเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาทรงหมายถึงพระสูตรนี้ นั้นเทียว จึงทรงตั้งพระเถระนั้น ไวในตําแหนงเอตทัคคะวา ดูกอนภิกษุทั้งหลาย มหากัจจานะเปนผูเลิศแหงภิกษุทั้งหลาย ผูเปนสาวกของเราที่จําแนกเนื้อความแหงภาษิตโดยยอใหพิสดารได

ก็ในสูตรนี้ บทวา จกฺขุ ไดแก จักษุประสาท

บทวา รูปา ไดแก รูปทั้งหลายอันมีสมุฏฐานสี่ พึงทราบแมอายตนะที่เหลือ โดยนัยนี้

บทวา วิฺาณ ไดแกวิญญาณอันเที่ยง

บทวา ตทภินนฺทติ ความวา เพลิดเพลินจักษุและรูปนั้น ดวยอํานาจแหงตัณหาและทิฐิ.

บทวา อนฺวาคเมติ ความวาไปตามดวยตัณหาและทิฐิทั้งหลาย

ก็ในบทวา อิติ เม มโน อโหสิ อิติ ธมฺมา นั้นบทวา มโน ไดแก ภวังคจิต

บทวา ธมฺมา ไดแก ธัมมารมณอันเปนไปในภูมิสาม

บทวา ปณิทหติ คือตั้งไวดวยอํานาจแหงความ ปรารถนา

บทวา ปณิธานปจฺจยา ไดแก เพราะตั้งความปรารถนาไวคือ เพราะเหตุ

บทที่เหลือในที่ทั้งปวง งายทั้งนั้นแล

จบอรรถกถามหากัจจานภัทเทกรัตตสูตรที่ ๓

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ