สัตว์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย [นขสิขสูตร]

 
vichit
วันที่  12 เม.ย. 2550
หมายเลข  3413
อ่าน  2,504

อยากทราบรายละเอียดเรื่อง สัตว์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อย [นขสิขสูตร] จากพระไตรปิฎกครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 12 เม.ย. 2550

พระสูตรนี้กล่าวถึงสัตว์ที่มาจากเทวดาและมนุษย์ ว่ามีจำนวนน้อย

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 727

๒. นขสิขสูตร

ว่าด้วยสัตว์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีน้อยเหมือนฝุ่นติดปลายเล็บ

[๖๖๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ-บิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนฝุ่นเล็กน้อยไว้ที่ปลายพระนขาแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ฝุ่นเล็กน้อยที่เราช้อนขึ้นไว้ที่ปลายเล็บนี้กับมหาปฐพีนี้ อย่างไหนมากกว่ากัน. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาปฐพีนั่นแหละมากกว่า ฝุ่นเล็กน้อยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนขึ้นไว้ที่ปลายพระนขานี้ มีประมาณน้อย ย่อมไม่ถึงแม้ซึ่งการนับ ย่อมไม่ถึงแม้ซึ่งการเทียบเคียง ย่อมไม่ถึงแม้ซึ่งส่วนแห่งเสี้ยว เพราะเทียบมหาปฐพีเข้าแล้ว ฝุ่นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนขึ้นไว้ที่ปลายพระนขามีประมาณเล็กน้อย. [๖๖๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีประมาณน้อยสัตว์ไปเกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์ มีมากกว่ามากทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกันเพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ไม่ประมาท ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้นั่นแหละ. จบนขสิขสูตรที่ ๒ อรรถกถา บทว่า มนุสฺเสสุ ปจฺจาชายนฺติ มีอธิบายว่า เหล่าชนที่จุติจากมนุษยโลกแล้วเกิดในมนุษยโลกนั้นแล มีประมาณน้อย. บทว่า อญฺญตฺร มนุสฺเสหิ ความว่า เหล่าชนที่จุติจากมนุษยโลกแล้วไม่เกิดในมนุษยโลกไปเกิดเฉพาะในอบาย๔ มีมากกว่า เหมือนฝุ่นในมหาปฐพี. ก็ในพระสูตรนี้ ท่านรวมเทวดากับมนุษย์ทั้งหลายเข้าด้วยกัน. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ผู้เกิดในเทวโลกมีประมาณน้อยเหมือนผู้ที่เกิดในมนุษยโลก ฉะนั้น. จบอรรถกถานขสิขสูตรที่ ๒

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 12 เม.ย. 2550

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓- หน้าที่ 251

"สัตว์โลกนี้เป็นเหมือนคนตาบอด, ในโลกนี้ น้อยคนนัก จะเห็นแจ้ง, น้อยคนนักจะไปในสวรรค์ เหมือนนกหลุดแล้วจากข่าย (มีน้อย) ฉะนั้น."

แก้อรรถ

บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า อย โลโก ความว่า โลกิยมหาชนนี้ ชื่อว่าเป็นเหมือนคนบอด เพราะไม่มีจักษุคือปัญญา. สองบทว่า ตนุเกตฺถ ความว่า ชนในโลกนี้น้อยคน คือไม่มาก จะเห็นแจ้งด้วยสามารถแห่งไตรลักษณ์มีไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า ชาลมุตฺโตว ความว่า บรรดาฝูงนกกระจาบที่นายพรานนกผู้ฉลาด ตลบด้วยข่ายจับเอาอยู่ นกกระจาบบางตัวเท่านั้น ย่อมหลุดจากข่ายได้. ที่เหลือย่อมเข้าไปสู่ภายในข่ายทั้งนั้น ฉันใด; บรรดาสัตว์ที่ข่ายคือมารรวบไว้แล้ว สัตว์เป็นอันมาก ย่อมไปสู่อบาย. น้อยคน คือ บางคนเท่านั้น ไปในสวรรค์ คือ ย่อมถึงสุคติหรือนิพพาน ฉันนั้น.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prachern.s
วันที่ 12 เม.ย. 2550
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 12 เม.ย. 2550

ตัวอย่าง จากพระไตรปิฎก จากเทวดามาเป็นมนุษย์

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 43

ข้อความบางตอนจาก เรื่องนางปติปูชิกา [๓๖]

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภหญิงชื่อ ปติปูชิกาตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปุปฺผานิ เหว" เป็นต้น.

เรื่องตั้งขึ้นในดาวดึงสเทวโลก. เทพธิดาจุติแล้วเกิดในกรุงสาวัตถี ได้ยินว่า เทพบุตรนามว่ามาลาภารี ในดาวดึงสเทวโลกนั้น มีนางอัปสรพันหนึ่งแวดล้อมแล้ว เข้าไปสู่สวน. เทพธิดา ๕๐๐ ขึ้นสู่ต้นไม้ ยังดอกไม้ให้ตกอยู่. เทพธิดา ๕๐๐ เก็บเอาดอกไม้ที่เทพธิดาเหล่านั้นให้ตกแล้ว ประดับเทพบุตร. บรรดาเทพธิดาเหล่านั้น เทพธิดาองค์หนึ่ง จุติบนกิ่งไม้นั่นแล. สรีระดับไป ดุจเปลวประทีป นางถือปฏิสนธิในเรือนแห่งตระกูลหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ