สักกายะทิฐิ

 
bwssk
วันที่  23 ก.พ. 2564
หมายเลข  33775
อ่าน  2,082

เห็นตนเป็นรูป และเห็นรูปเป็นตน มีความหมายต่างกันอย่างไรครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สักกายทิฏฐิ สก (ของตน) + กาย (ที่ประชุม) + ทิฏฺฐิ (ความเห็น)

ความเห็นว่าเป็นกายของตน ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน หมายถึง ความเห็นผิดในขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา ของเรา หรือเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งผิดไปจากความเป็นจริงตามสภาพธรรม เช่น ยึดถือ ขณะที่ว่า เห็น เป็นเราที่เห็น เป็นเราที่ได้ยิน เป็นต้น

สักกายทิฏฐิ เป็นความเห็นผิดที่เป็นพื้นฐาน เป็นอนุสัยกิเลสซึ่งมีอยู่กับทุกบุคคลที่ไม่ใช่พระอริยะ เรียกว่า ทิฏฐิสามัญ ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดทิฏฐิพิเศษที่มีโทษมากได้ เช่น สัสสตทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิ อกิริยทิฏฐิ นัตถิกทิฏฐิ คือ เห็นว่าบุญไม่มี บาปไม่มี และ สักกายทิฏฐิ ยังแบ่ง เป็น ๒๐ ประการ ด้วย ลักษณะของความยึดถือ ว่าเป็นตัวตน มีลักษณะ หลายประการ ๒๐ ประการมีดังนี้ครับ 

๑. เห็นรูปเป็นตน คือ ขณะที่เห็นผิดยึดถือว่า รูปร่างกายเป็นเรา (ตน) อุปมา เหมือนเห็นเปลวไฟและสีของเปลวไฟเป็นอย่างเดียวกัน

๒. เห็นตนมีรูป คือ ขณะที่ยึดถือว่า นามธรรมเป็นเราที่มีรูปร่างกาย อุปมา เหมือนเห็นต้นไม้มีเงา

๓. เห็นรูปในตน คือ ขณะที่ยึดถือว่า นามธรรมเป็นเรา และรูปอยู่ในนามที่เรา อุปมาเหมือนกลิ่นในดอกไม้

๔. เห็นตนในรูป คือ ขณะที่ยึดถือว่า นามธรรมเป็นเราที่อยู่ในรูปร่างกาย อุปมา เหมือนแก้วมณีในขวด

๕. เห็นเวทนาเป็นตน คือ ขณะที่ยึดถือว่า ความรู้สึกเป็นเรา (ตน) อุปมาโดยนัยเดียวกันกับรูป

๖. เห็นตนมีเวทนา คือ ขณะที่ยึดถือรูป สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นเรา และเรามีเวทนา

๗. เห็นเวทนาในตน คือ ขณะที่ยึดถือรูป สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และมีเวทนาในเรา

๘. เห็นตนในเวทนา คือ ขณะที่ยึดถือรูป สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีอยู่ในเวทนา

๙. เห็นสัญญาเป็นตน คือ ขณะที่ยึดถือว่า ความจำเป็นเรา (ตน)

๑๐. เห็นตนมีสัญญา คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีสัญญา

๑๑. เห็นสัญญาในตน คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และมีสัญญาในเรา

๑๒. เห็นตนในสัญญา คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีอยู่ในสัญญา

๑๓. เห็นสังขารเป็นตน คือ ขณะที่ยึดถือว่า สังขารตัวปรุงแต่งเป็นเรา

๑๔. เห็นตนมีสังขาร คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีสังขาร

๑๕. เห็นสังขารในตน คือ ขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา วิญญาณ ว่าเป็น เรา และมีสังขารในเรา

๑๖. เห็นตนในสังขาร คือขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา วิญญาณ ว่าเป็น เรา และเรามีอยู่ในสังขาร

๑๗. เห็นวิญญาณเป็นตน คือในขณะที่ยึดถือว่า วิญญาณเป็นเรา (ตน)

๑๘. เห็นตนมีวิญญาณ คือขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร ว่าเป็น เรา และเรามีวิญญาณ

๑๙. เห็นวิญญาณในตน คือขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร ว่าเป็น เรา และมีวิญญาณในเรา

๒๐. เห็นตนในวิญญาณ คือขณะที่ยึดถือรูป เวทนา สัญญา สังขาร ว่าเป็น เรา และเรามีอยู่ในวิญญาณ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพราะไม่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง ซึ่งก็คือ ขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ จึงหลงยึดถือในสภาพธรรมที่เพียงเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป สั้นแสนสั้นว่าเป็นตัวตนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และสภาพธรรม ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือจากขณะนี้เลย มีจริงๆ ในขณะนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกเห็นถูก ก็ต้องได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะกว่าจะละสักกายทิฏฐิ ได้หมดสิ้น ก็ต้องถึงความเป็นพระโสดาบัน ครับ

ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ

สักกายทิฏฐิ การยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวตน

สักกายทิฏฐิ ขณะนั้นมีความเห็นเกิดขึ้น ยึดถือว่าเป็นเรา

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
bwssk
วันที่ 23 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pdharma
วันที่ 25 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ