มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ ธันวาคม 2563

 
kanchana.c
วันที่  25 ธ.ค. 2563
หมายเลข  33483
อ่าน  803

ดวงตาเห็นธรรม

ชอบอ่านหนังสือธรรมมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบชาดกที่เล่าเรื่องพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพระบารมีในพระชาติต่างๆ คาถาธรรมบท (อ่านหลายรอบมาก) ส่วนใหญ่ตอนจบจะกล่าวว่า เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระผู้มีพระภาคแล้ว ท่านผู้นั้นได้ดวงตาเห็นธรรม เคยถามพระภิกษุที่สอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ว่า ดวงตาเห็นธรรมคืออะไร ท่านบอกว่าเป็นพระโสดาบัน ก็จำไว้อย่างนั้น ไม่ได้สงสัยต่อว่า ทำไมได้ดวงตาเห็นธรรมจึงเป็นพระโสดาบัน เมื่อได้มาฟังธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายเรื่อง “แนวทางเจริญวิปัสสนา” และติดตามฟังการสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษนานหลายสิบปี จึงเข้าใจว่า ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญาเกิดขึ้นรู้ทั่วถึงว่า ทุกอย่างที่เกิดปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นธรรม คือ เป็นจิต เจตสิก ซึ่งเป็นสภาพรู้ เรียกว่า นามธรรม และรูป สภาพที่ไม่รู้ เรียกว่า รูปธรรม ทั้งนามธรรมและรูปธรรมนั้นต้องเป็นขณะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ขณะก่อนที่ดับไปหมดสิ้นก็ไม่ปรากฏให้รู้แล้ว ขณะข้างหน้าก็ยังไม่มี ขณะเดี๋ยวนี้จึงเป็นธรรม เพราะมีจริงกำลังปรากฏ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทำหน้าที่ของตนแล้วดับไปทันที ไม่กลับมาอีก ทุกขณะที่ผ่านไปก็ว่างเปล่าประดุจอากาศ ไม่มีอะไรจะให้ยึดถือว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่เพราะไม่รู้ ทุกขณะจึงเป็นเรา เป็นเขา เป็นเรื่องราวมากมาย ไม่จบสิ้น จึงต้องฟังธรรมให้เข้าใจโดยละเอียด จึงจะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดปรากฏทีละขณะ ไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นเรื่องราวต่างๆ

ท่านอาจารย์จึงเน้นถึงเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก ที่เป็นนามธรรม และสี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ที่กระทบสัมผัสกาย ที่เป็นรูปธรรมไม่รวมกันเลย เมื่อได้ดวงตาเห็นธรรม คือ รู้ว่า แต่ละขณะเป็นเพียงนามธรรมหรือรูปธรรมแต่ละหนึ่งเท่านั้น คือ เห็น หรือได้ยิน หรือสี หรือเสียง เป็นต้น ที่เกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะที่สั้นมาก เห็นเกิดขึ้นทำกิจเห็นสีทางตาแล้วก็ดับไปทันที ได้ยินเกิดขึ้นทำกิจได้ยินเสียงทางหูแล้วก็ดับไปทันที ที่รู้ว่า เห็นอะไร ได้ยินอะไรนั้นเป็นสภาพรู้ที่คิดนึกทางใจ แล้วก็ดับไปเช่นกัน ก็จะละการยึดถือความเห็นผิดว่า เป็นตัวตนของเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และเห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ซึ่งทำให้ไม่ยึดถือข้อปฏิบัติที่ผิด และไม่สงสัยในสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นการละกิเลสที่ผูกสัตว์ไว้ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในวัฏฏะ เป็นผู้ปิดประตูอบาย เพราะมีหิริโอตตัปปะ เชื่อกรรมและผลของกรรม เป็นผู้ละอคติ ละอิจฉา ละความตระหนี่ เป็นผู้เที่ยงต่อพระนิพพาน เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติก็หมดกิเลสทั้งหมดไม่เกิดอีกเลย

กว่าปัญญาขั้นนี้จะปรากฏลางๆ คือ ขั้นฟังและพิจารณา ก็อยู่ในวัยปลายของชีวิตแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ฟังธรรม พิจารณาธรรมต่อไปอีก เพราะอะไรจะมีค่ายิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏเท่านั้นเอง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 26 ธ.ค. 2563

อะไรจะมีค่ายิ่งกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ

ขอบพระคุณและอนุโมทนาพี่แดงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 28 ธ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ