เวลาที่สภาพธัมมะกำลังปรากฏนั้น ไม่ใช่ให้เรียกชื่อ

 
แล้วเจอกัน
วันที่  3 เม.ย. 2550
หมายเลข  3299
อ่าน  912

จาก ..การสนทนาเรื่องปฏิบัติธรรม

อาทิตย์ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๐

อ. อย่างเมื่อกี้นี้พูดถึงเรื่องความไม่ประมาทกับความประมาท เข้าใจแล้วใช่ไหมค่ะ ขณะที่กำลังฟังเนี่ยประมาทบ้างหรือเปล่า

ผู้ฟัง. จิตเกิดดับทุกขณะครับ คงมีประมาทปนมาบ้าง (ขณะประมาท ขณะนั้นเป็น อกุศล ขณะใดไม่ประมาทขณะนั้นเป็นกุศล ไม่ประมาทหมายถึง สติเจตสิก เกิด ประมาท สติเจตสิกไม่เกิด)

อ. ค่ะ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจตัวธัมมะนะค่ะ รู้ว่าขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศล ขณะนั้น ประมาท ขณะใดที่เป็นกุศลแม้จะเล็กน้อย หรือจะมากสักเท่าไหร่ยังไงก็ตามแต่นะค่ะ ขณะนั้นก็ต้องมีสติ ซึ่งไม่ประมาท เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟังธัมมะเนี่ย พิจารณา จริงๆ นะคะ มีความไม่ประมาทบ้างไหม มีหรือไม่มีคะ คนอื่นไม่มีหรือคะ ค่ะ มี ทำไมไม่ ให้รู้ว่ามีหละค่ะ เพราะฉะนั้น เห็นได้ค่ะว่า ธัมมะสำหรับรู้ความจริง ในขณะที่กำลังเป็น อย่างนั้น เมื่อไหร่หละค่ะ (ประมาท) ผู้ที่บอกว่ามี มีตอนไหน ตอนสงสัย ตอนไหนอีก ค่ะ ฟังแล้วคิดเรื่องอื่นบ้างไหมค่ะ นั่นนะค่ะ ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นกำลังประมาท และถ้า ไม่มีความเข้าใจจริงๆ นะคะ ว่าฟังเพื่อเข้าใจ และขณะที่กำลังฟังเนี่ย ก็สดับ หมาย ความว่า ฟังด้วยการพิจารณา ไตร่ตรอง เพื่อเข้าใจ ขณะนั้นจึงไม่ประมาท นอกจาก นั้นแล้วก็คือว่า ประมาทโดยไม่รู้ กำลังโกรธหรือขุ่นใจ ประมาทหรือเปล่าค่ะ ประมาท กำลังไม่อภัย ประมาทหรือเปล่า นึกถึงความไม่ดีของคนอื่น ประมาทหรือเปล่าค่ะ ประมาท

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าวันหนึ่งๆ เนี่ย ไม่ประมาทหรือประมาทมากกว่ากัน เห็นความเป็นอนัตตาไหมค่ะ ไม่เห็นก็ประมาทอีก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทั้งวันเนี่ยค่ะ แม้ เราจะเข้าใจเรื่องความไม่ประมาทและความประมาท แต่ลักษณะของธัมมะจริงๆ แม้ แต่ในขณะนั้น เรากล่าวได้ว่าขณะที่เป็นอกุศลเนี่ย ขณะนั้นประมาท ไม่อภัยก็ประมาท ริษยาก็ประมาท ทุกอย่างที่เป็นอกุศลทั้งหมด ประมาททั้งหมด แต่ว่าขณะที่เป็นกุศล ไม่ว่าจะเป็นกุศลประเภทใด ก็คือขณะนั้นไม่ประมาท นี่คือขั้นการฟัง แต่ว่าผ่านไป แล้ว เมื่อกี้นี้รู้ไหมว่าประมาทแค่ไหนหรือว่าไม่ประมาทแค่ไหน นี่ก็เป็นสิ่งซึ่ง ธัมมะ ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเป็นเรื่องราวนะคะ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจลักษณะนั้นจริงๆ ได้ด้วย

เหตุนี้ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาทั้งหมดเนี่ยนะค่ะ เราเข้าใจเรื่องราว แต่เวลาที่สภาพ ธัมมะที่กำลังปรากฏนั้น เข้าใจหรือเปล่า หรือ ต้องเอาเรื่องมาจับว่านี่เป็น โสมนัสสห คตัง ทิฏฐิคตสัมปยุตตัง อสังขาริกกัง ไม่ใช่ให้เรียกชื่ออย่างนั้น แต่รู้ว่ามีค่ะ เป็นธัมมะ ที่จะรู้จริงๆ เมื่อขณะที่สภาพธัมมะนั้นกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น เราจะรู้ชื่อและเราจะ ได้ยินคำว่าประมาท ไม่ประมาท และเราก็คาดคะเนว่าวันนี้ประมาทมาก ไม่ประมาท มาก ก็เพียงคาดคะเน แต่ขณะที่กำลังเห็นแล้วไม่รู้ ก็ประมาทอีก เพราะฉะนั้น ความ ประมาทก็มีมากมายนะค่ะ และความไม่ประมาทก็ตามลำดับขั้นของกุศล แต่ว่าทั้งหมด นี่คือเป็นอนัตตา ไม่ใช่หมายความว่า เราจะต้องพยายามไปเป็นอีกบุคคลหนึ่งนะคะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย คิดได้ แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าอะไรก็ตามนะคะที่เกิดแล้ว เป็นอย่างนี้ ตามเหตุตามปัจจัย

เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่มีปรกตินะคะ รู้ความจริงของ สภาพธัมมะที่เกิดแล้ว เป็นผู้มีปรกติไม่ได้ไปทำอะไร และก็รู้ลักษณะของสภาพ ธัมมะที่เกิดแล้ว จะเห็นความเป็นปัจจัย ซึ่งกิเลสที่สะสมมาเป็นอย่างนี้ แต่ละคนก็ ไม่เหมือนกัน จะให้เป็นกุศลมากๆ โดยที่ไม่มีปัจจัยที่จะหลงลืมสติหรือประมาทก็เปลี่ยน แปลงไม่ได้ นอกจากมีเหตุปัจจัยให้กุศลระดับใดเกิดขึ้น ขณะนั้นรู้เลยค่ะว่าไม่ประมาท เพราะฉะนั้น โกรธมีแน่ๆ ระลึกได้ไหมว่ากำลังประมาท หรือลืมไปหมดเลย เรื่องประมาท กับไม่ประมาท ก็ลืมไปหมดแล้ว ก็ยังโกรธต่อไป แต่ถ้าสติเกิดไม่ประมาท เห็นโทษ แม้ขณะนั้นค่ะ และแม้โกรธเกิดขึ้นก็รู้ว่าเป็นธัมมะ

ผู้ฟัง. เมื่อท่าน อ. อธิบายว่า หาวิธีเมื่อความโกรธเกิด หาวิธีจะป้องกันไม่ให้ความ โกรธเกิดขึ้น ผมเคยคิดแผงๆ คือ เวทนาที่เกิดขึ้นน้อยๆ สติไม่ค่อยรู้ทัน แต่ว่าในขณะ ใดที่ผมไปเตะอะไรจนเท้าเจ็บ นั่นนะครับ เวทนาเกิด สติเกิดตรงนั้นครับ ผมก็เลยคิด ว่าต้องอารมณ์แรงๆ สติถึงจะเกิด

อ. ตรงนั้นนะค่ะ ประมาทแล้ว

ผู้ฟัง. บางครั้งผมคิดว่าหาวิธี ถ้าสติไม่เกิดก็หาอุบายที่…………….

อ. กำลังประมาทยาว

ผู้ฟัง. (ขำ) ……ผมอยากให้กุศลเกิด ผมก็ไปคิด…

อ. ประมาทอีก

ผู้ฟัง. พระพุทธเจ้าสอนให้สำรวม สังวร

อ. ขอประทานโทษนะค่ะ สอนให้เข้าใจหรือสอนให้ทำ

ผู้ฟัง. สอนให้เข้าใจครับ คือเมื่อสติไม่เกิด ผมก็หลบไปอย่างนั้นดีกว่า

อ. กำลังหาอุบาย เข้าใจ หรือ ทำ

ผู้ฟัง. หาอุบายก็เป็นตัวตนครับ

อ. ขณะนั้นไม่รู้

ผู้ฟัง. บางที ผมอยากนึกนะครับว่า ผมอยากให้มีใครมาว่าผมแรงๆ หรือหมิ่นผม แรงๆ เนี่ย ผมจะดูว่ามีขันติ………

อ. เออ…ทุกคนช่วยมารุมตีหน่อยค่ะ

ผู้ฟัง. (ขำ) ...คือผมคิดว่าผมค่อนข้างแปลกๆ นะครับ แต่ว่าผมก็ยังหนาด้วยกิเลสครับ

อ. ค่ะ เพราะยังไม่เข้าใจธัมมะ เนี่ยค่ะ เพราะเป็นเราที่หาทาง ของเราเอง ไม่ใช่ เป็นการเข้าใจธัมมะว่า ขณะไหนประมาท ขณะไหนไม่ประมาท


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 3 เม.ย. 2550
ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 4 เม.ย. 2550

ขออนุโมทนาในกุศลจิตองคุณแล้วเจอกัน อ่านดีมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
medulla
วันที่ 4 เม.ย. 2550
ขอบพระคุณมากค่ะ ขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เล็ก
วันที่ 5 เม.ย. 2550
ขออนุโมทนาครับ ขอบคุณมากครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ