ปัญญาหรือมนสิการ

 
talaykwang
วันที่  16 ก.ค. 2563
หมายเลข  32090
อ่าน  523

ขณะที่รู้สึกตัวว่า กำลังคิด ในสิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ทางใจ หลังจากการเห็น ประมาณสองสามนาที แล้วเริ่มรู้สึกว่า “มันก็เป็นอนัตตาที่ห้ามให้คิดไม่ได้ และคิดต่อไปว่า ทุกอย่างก็เป็นธรรมะ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปแล้ว” ขณะนั้น ความทุกข์เริ่มละคลายลง จนกลับไปสู่สภาพจิตผ่องใสชั่วขณะหนึ่ง แล้วสักพักก็กลับมาหวนคิดแบบเดิม เรื่องเดิมที่เห็นอีก วนไปสองสามรอบ อยากถามว่า ขณะที่รู้สึกและคิดไปว่า “ทุกอย่างเป็นอนัตตา และเป็นธรรมะ” ขณะนั้น ประกอบด้วย “ปัญญา” หรือเป็นแค่ โยนิโสมนสิการค่ะ ถ้ากำลังของปัญญามีมาก จะไม่กลับมาคิดแบบเดิม ทุกข์แบบเดิมอีกแล้วใช่มั้ยค่ะ ขอคำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อการเจริญปัญญาด้วยนะคะ

ขออนุโมทนาในกุศลค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ก.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อกุศลสะสมมามาก ปัญญาสะสมมาน้อย ดังนั้น เหตุปัจจัยที่จะเกิด ปัญญา ย่อมมีน้อยเป็นธรรมดา และเป็นเพียงปัญญาขั้นคิดนึกเท่านั้น และ หลังจากนั้นก็เป็นอกุศลโดยมากในชีวิตประจำวัน ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่รู้และเป็นปัญญาขั้นการคิดพิจารณา ก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ขณะนั้นเป็นปัญญา หรือเป็น โยนิโสมนสิการ ก็เพียงเดา ในสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว และผู้นั้นเองที่จะรู้ (ปัญญารู็) ไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือ ใครจะไปรู้ และ ต้องรู้ในสภาพธรรมที่กำลังเกิดในขณะนั้น แต่ก็สามาถเข้าใจได้ว่า ขณะใดที่เป็นความเข้าใจถูก ขณะนั้นก็ไม่พ้นจากปัญญาและก็มี โยนิโสมนิการ พิจารณาโดยแยบคาย ความเข้าใจถูก ไม่ใช่ มนสิการเจตสิก

การศึกษาธรรม จึงไม่ใช่การหาชื่อไปใส่ โดยการถามว่าที่ผ่านมาเป็นสภาพธรรมอะไร เพราะไม่มีทางที่จะรู้ได้ ครับ เพราะดับไปแล้ว ลักษณะไม่ปรกาฎ แต่ที่สำคัญ คือ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ที่จะเป็นความเข้าใจถูก ว่าเป็นธรรม ทุกขณะ ค่อยๆ เข้าใจขั้นการฟัง และเป็นผู้ตรงว่ามากไปด้วยอกุศล ปัญญาน้อย ค่อยๆ ฟังพระธรรมต่อไป ด้วยความเบาสบายว่าไม่ใช่เรา เป็นหน้าที่ของธรรมและอนัตตา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
talaykwang
วันที่ 16 ก.ค. 2563

เป็นเพียงปัญญาขั้นคิดนึกเท่านั้น // กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 16 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ประสาน
วันที่ 16 ก.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 17 ก.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อปัญญาโดยตลอด เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งมีแล้ว แต่ไม่รู้ เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และสภาพธรรมแต่ละอย่างนั้น ก็ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนสัตว์บุคคล ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครสามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นได้เลย ทุกขณะ เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น เวลาที่กล่าวถึงอนัตตา ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนสัตว์บุคคลอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผู้ที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ต้องมีปัญญา แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ขณะที่เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง อกุศลใดๆ ก็เกิดไม่ได้ ความทุกข์ความเดือดร้อนใจ เกิดไม่ได้ ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
prinwut
วันที่ 19 ก.ค. 2563

อนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ