ซื้อของเก่าแล้วมีวิญญาณตามมา

 
ชิงช้าชาลี
วันที่  24 มี.ค. 2563
หมายเลข  31661
อ่าน  795

เรียนท่านผู้รู้ที่นับถือยิ่ง สักครู่นี้ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับกรณีซื้อของเก่ามาสะสมภายในบ้าน แล้วเจ้าของบ้านอ้างว่าพบเจอวิญญาณหรือใช้คำว่าสัมภเวสีในบ้านหลายครั้งหลายครามาปรากฎตัว และให้คนทั่วๆ ไปเห็น อยากจะทราบว่ากรณีเช่นนี้ มีความเป็นไปได้หรือไม่ หรือเพราะเขาคิดนึกไปเอง และหากเขาสามารถเห็นได้จริง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตรูปธรรมนามธรรมชนิดใดคะ เรียกว่าอะไร และมีอันตรายไหม ให้โทษกับคนเราได้อย่างที่เขากลัวกันไหมคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นช่วงเวลาที่ประเสริฐของชีวิต เพราะเหตุว่านำมาซึ่งความเข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริง เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคง ในเหตุในผล ย่อมจะไม่เอนเอียงในคำพูด ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เข้าใจ แบบผิดๆ ตามๆ กันมา วิญญาณ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ วิญญาณ หรือ จิต เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง ไม่มีการล่องลอยแต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดดับสืบต่อกันในชีวิตประจำวัน

คำว่า ผี ความเข้าใจส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่าเป็นบุคคลที่ตายแล้วและก็เป็นวิญญาณล่องลอยและปรากฎให้เห็นได้ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจธรรมแล้ว เมื่อตายแล้วคือจุติจิตเกิดขึ้นปฏิสนธิจิต (การเกิด) เกิดต่อเปลี่ยนภพภูมิทันที ไม่ใช่ว่าจะต้องมีวิญญาณล่องลอยที่จะคอยหาที่เกิดเป็นผี ตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่กรรมที่จะให้ผล หากเกิดเป็นสัตว์ก็คงไม่เรียกว่าผี หากเกิดเป็นมนุษย์ก็คงไม่เรียกว่าผี แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาซึ่งเทวดาก็สามารถปรากฏให้เห็นได้ ใช่ผีหรือเปล่า ซึ่งในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แบ่งภพภูมิเป็นหลายภพภูมิ ทั้งมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน เปรต เทวดา เป็นต้น ผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทวดาเปรต ก็เรียกว่าอมนุษย์ ครับ

ส่วนในบางกรณีสำหรับการที่บางบุคคลพบกับบุคคลที่ตายไปแล้ว ยังมาให้เจออีกประเด็นนี้เราควรมีความเข้าใจถูกครับว่าที่เห็นเป็นบุคคลที่ตายแล้ว ยังอยู่ให้เห็นก็เพราะสัตว์นั้นไปเกิดเป็นเปรตทันที ต้องการส่วนบุญเพราะเปรต อาหารที่เขาจะได้รับคือการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ได้ก็ด้วยการปรากฎให้เห็น เพื่อบุคคลอื่นจะได้ทำบุญไปให้กับเปรตนั้นครับ แต่จะต้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอยที่คอยตามและแสวงหาที่เกิดแต่ตายแล้วเกิดทันทีครับ ผู้ที่เกิดเป็นเปรตต้องการส่วนบุญจึงปรากฎให้เห็น ซึ่งในพระไตรปิฎก สมัยพุทธกาลก็มีบางบุคคลเจอบุคคลที่ตายแล้ว เพื่อมาขอส่วนบุญกับบุคคลที่เจอโดยให้คนที่มีชีวิตอยู่อุทิศกุศลที่ทำไปแล้วไปให้เปรตได้รับรู้และอนุโมทนาครับวิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอยที่เป็นผี ตามที่่เข้าใจกันแต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่าวิญญาณคือ จิตนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงวิญญาณก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิต วิญญาณหรือจิตจึงมีหลายประเภท เช่น จักขุวิญญาณ หรือ จิตเห็น โสตวิญญาณ หรือ จิตได้ยิน

ดังนั้น เมื่อวิญญาณหรือจิตเกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เช่น จิตเห็น (จักขุ วิญญาณ) เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นคือ สี เป็นต้น วิญญาณจึงไม่ได้หมายถึง ผี ตามที่เข้าใจกันครับ แต่วิญญาณหมายถึง สภาพธรรมที่ เป็นจิต มีลักษณะเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ ครับ

หากเป็นสัจจะความจริงก็จะเข้าใจขึ้น และไม่เข้าใจผิดในคำว่าผีตามภาษาไทยและความเข้าใจเดิมครับ สัตว์โลกมีภพภูมิมากมาย ตามอำนาจของกรรม และมีความหลากหลาย และความวิจิตรของสภาพธรรม ปัญญา ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นเครื่องเตือนและเข้าใจความจริงในสิ่งที่รู้ และทราบในชีวิตประจำวันครับ

ที่สำคัญที่สุด ในสัจจะ ธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้สัตว์โลกเข้าใจความจริงที่สัตว์โลกยึดถือด้วยความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีผีมีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ในความจริงแล้ว สัจจะที่เป็นอริยสัจจะ พระองค์ทรงแสดงว่ามีแต่สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ ๕ ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป หากไม่มีสภาพธรรมไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีสภาพธรรมอะไรเลย จะมีสัตว์ บุคคลหรือแม้แต่ผีที่เป็นเปรต จะมีได้ไหม มีไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมคือการเพิกถอนความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลหรือมีผี ทั้งๆ ที่ความจริงมีแต่สภาพธรรมเท่านั้นในขณะนี้ที่คิดนึก เมื่อเราเข้าใจความจริงอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้สามารถอบรมปัญญา ดับกิเลสได้เพราะเป็นสัจจะ เข้าใจตามสัจจะที่พระองค์ทรงแสดง ผีมีเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยินและไม่มีคิดนึก ผีจะมีได้ไหมครับ ดังนั้น เรากลัวอะไรนอกจากกลัวความคิดนึกของเราเองหลังจากเห็นและได้ยิน เพราะความจริงมีแต่สภาพธรรมครับ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย ปัญญายังไม่มากพอก็ยังกลัวเพราะความไม่รู้และ กิเลสที่สะสมมา

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ชิงช้าชาลี
วันที่ 24 มี.ค. 2563

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงค่ะ ที่กรุณาอธิบายมาอย่างละเอียด เนื่องจากดิฉันไม่เคยเห็นเปรตและเทวดาเลย และยังศึกษาธรรมได้เพียงน้อยนิด จึงยังไม่รู้อีกมากมายมหาศาล และในคำตอบของท่านอาจารย์ก็ทำให้สงสัยต่ออีกว่า หากเปรตมาปรากฎนั้น (เพื่อจะได้ทำตัวถูก) เขามาขอส่วนบุญ เราจะเอาอะไรอุทิศให้เขาคะ ให้ทานแล้วนึกถึงเฉยๆ หรืออย่างไร ถ้าเปิดธรรมะจากมูลนิธิให้ฟังทุกวัน (เป็นบุญเป็นกุศล) แล้วกล่าวคำอุทิศ เขาจะรับได้ไหมคะ เขาจะรับรู้ได้ไหม เวลาเปิดธรรมะทุกๆ วัน ขอถามเพิ่มเติมอีกว่า เปรตและเทวดาน่าจะเหมือนคนใช่ไหม คือแล้วแต่การสะสม ทั้งชอบฟังธรรมและไม่ชอบฟังธรรม ถ้าเขาไม่อนุโมทนากับการฟังธรรม เขาก็ไม่ได้ส่วนบุญอยู่ดีหรือเปล่าคะ แล้วแบบนี้เขาจะขอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้หรือเปล่า (หรือขึ้นกับนิสัยเขาอีก หรือต้องอดทนรอจนกว่าเขาจะหมดกรรมจากเปรตไปเป็นอย่างอื่น) และแม้คนจะมีโอกาสได้เรียนรู้ว่าเป็นเปรตไม่ใช่ผีหรือวิญญาณที่เรียกกันผิดไป ก็อาจจะไม่มั่นคงพอที่เมื่อปรากฎแล้วจะไม่ตกใจเพราะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยแบบหมาแมวมาขออาหาร ก็ยังนับเป็นการยากอยู่ค่ะ เพราะมีตัวตนไปกลัว ขอความกรุณาปรานีท่านอาจารย์ตอบอีกสักที เพื่อความสบายใจและความเข้าใจถูกค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 25 มี.ค. 2563

เรียน ความเห็นที่ 2 ครับ

เปรต ได้รับส่วนบุญจากการอุทิศส่วนกุศลไปให้ เปรตมีความหิวโหย เพราะฉะนั้น การให้ทานอาหาร แล้วอุทิศให้จึงสมควร เขาก็จะได้รับอาหาร หายจากความหิวโหย เป็นต้น เพราะเขาต้องการอาหาร ไม่ใช่การฟังธรรม ให้กับผู้มีศีล ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือคฤหัสถ์ก็ได้ครับ

ส่วนเปรตและเทวดา ก็เหมือนมนุษย์ ตรงที่มีขันธ์ ๕ และเป็นสัตว์โลก ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพราะมีกิเลสอยู่ ทุกๆ คนที่ยังมีกิเลส ก็สลับกันเป็นอย่างนี้เปลี่ยนภพภูมิ ไม่มีที่สิ้นสุด นี่คือโทษของการเกิด โทษของการมีกิเลสและโทษของวัฏฏะ

ส่วนแแต่ละคนก็กลัวเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเจอเปรต แต่ก่อนเจอ ไม่ต้องรอเจอก็เจริญกุศลทุกๆ ประการทุกวันและก็อุทิศไปให้ทั้งกับเทวดาและอมนุษย์ เปรตทั้งหลายได้ครับ ขอ

อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 25 มี.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ต้องมั่นคงในความเป็นจริงว่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีการเกิดอยู่ แต่ว่าจะเกิดเป็นอะไรหลังจากที่สิ้นชีวิตไปแล้วนั้น ก็เป็นไปตามกรรม ถ้ากรรมดีให้ผลนำเกิด ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย หรือ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ตามควรแก่อกุศลกรรม ความจริงเป็นอย่างนี้ ที่เกิดในภพต่างๆ นั้น ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม นั้นเอง กล่าวคือ จิต เจตสิก รูป ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้น เมื่อสิ้นชีวิต ละจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก แต่จะเกิดเป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่ ตามกรรม

ดังนั้น ที่จะเป็นประโยชน์ที่สุด ก็คือเป็นคนนี้ให้ดีที่สุด ด้วยการสะสมคุณความดีและฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แล้วคุณความดีที่ได้สะสมที่ได้กระทำแล้วสามารถอุทิศ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่นที่จะได้เกิดกุศลจิตอนุโมทนา เป็นประโยชน์กับผู้ที่ได้อนุโมทนาต่อไปอีกด้วยครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ชิงช้าชาลี
วันที่ 25 มี.ค. 2563

ขอขอบพระคุณอย่างสูงที่เมตตาชี้แนะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Somporn.H
วันที่ 3 เม.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ