สงสัยการทำงานของจิตในขณะร่างกายเคลื่อนไหว

 
piroon
วันที่  21 ม.ค. 2563
หมายเลข  31480
อ่าน  700

จากการฟังธรรมเข้าใจว่าจิตรู้ทีละหนึ่งขณะ

แต่ที่สงสัยอย่างเช่นขณะขับรถ ตามองสิ่งที่ปรากฎข้างหน้า หูได้ยินเสียงเพลงในรถ เท้าเหยียบคันเร่ง มือจับพวงมาลัย ทุกอย่างดูเหมือนทำไปพร้อมๆ กัน

แต่เมื่อมีสติรู้ที่กาย จับจ้องไปรู้สภาวะใดสภาวะหนึ่ง เช่น ขณะขับรถจะมีจิตเห็นเป็นหลัก เพื่อมองสภาพการจราจร ภาพปรากฎเกิดดับตลอดเวลา แต่เมื่อจิตเห็นกำลังทำหน้าที่ ทำไมมือและเท้ายังสามารถทำงานโดยเคลื่อนไหวทั้งที่ไม่ได้สั่งการให้ไปเหยียบเบรคหรือคันเร่ง หรือเปลี่ยนเกียร์ เหมือนเป็นอัตโนมัติทั้งที่จิตไม่ได้มีสติไปรู้สภาพแข็งที่มือและเท้าเลย หรือขณะที่รถเคลื่อนที่ จิตได้ยินก็สามารถรู้เสียงที่มากระทบหูได้พร้อมกัน

มันเป็นความอัศจรรย์และยากที่จะเข้าใจการทำงานของกายและจิตที่ทำกิจสัมพันธ์กันในห้วงเวลาเดียวกันได้อย่างไร โปรดให้ความกระจ่างแก่ผมด้วยครับ

ขอขอบพระคุณอย่างยิ่ง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 ม.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขณะนี้แม้ไม่ขับรถ ก็มีเห็น และก็มีคิดต่อรวดเร็วและก็มีกระทบแข็งด้วย จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เพราะมีการยืน มีการนั่งกระทบแข็งปรากฎ จนกว่าจะใส่ใจถึงจะรู้ว่ามีธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้น เพราะอะไร ก็เพราะว่า มีการเกิดขึ้นของธรรม คือ จิต เจตสิกที่เกิดดับรวดเร็วมากๆ แม้เพียงช่วงเวลาลัดนิ้วมือเดียว สั้นมาก จิตเกิดดับนับประมาณไม่ได้ จึงทำให้เห็นเป็นสัตว์ บุคคลสิ่งต่างๆ เพราะขณะที่เห็น ต้องเห็นเพียงสี แต่มีจิตที่คิดนึกต่อในสีนั้นปรากฎเป็นรูปร่างสัณฐาน ขณะนั้นคิด ไม่ใช่เห็นแล้ว จึงรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ความรวดเร็วของจิต จึงทำให้มีทั้งเห็น ได้ยิน คิดนึก และสภาพธรรมอื่นๆ เกิดเหมือนพร้อมกันเลย เช่น การแกว่งก้าธุปที่จุดไฟ เป็นวงกลม กลายเป็นเห็นว่าไฟจุดเดียวกลายเป็นวงกลมได้ ก็เพราะการแกว่งอันรวดเร็ว ฉันใด จิตที่เกิดดับรวดเร็ว ก็ทำให้เหมือนขับรถ มีการคิดสิ่งต่างๆ และเห็นด้วย ได้ยินด้วย กระทบแข็งที่พวงมาลัยด้วย นั่นคือการทำงานของจิตทั้งนั้นที่ต้องเป็นไปแบบนี้ และเพราะเหตุนี้เองที่จิตเกิดดับรวดเร็ว จึงสำคัญหมายว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ยึดถือว่าสิ่งนั้นเป็นสัตว์ บุคคลจริงๆ ด้วยความไม่รู้และความเห็นผิด

เพราะฉะนั้น สัตว์โลกจึงเดือดร้อนเพราะความยึดถือนั้นว่าเป็นเรา เป็นสิ่งต่างๆ เพราะยึดถือว่าเป็นเรา สิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง แปรปรวนไป ก็ไม่รู้ เมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง แปรปรวนไป ก็เกิดทุกข์ โทมนัสใจ เพราะอาศัยกิเลสที่ยึดถือในสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเรา ดั่งเช่นที่ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกับพราหมณ์ท่านหนึ่งว่า การที่ท่านมีจิตหวั่นไหว กระสับกระส่าย ก็เพราะยึดถือว่ารูปเป็นเรา เวทนาเป็นเรา เป็นต้น รวมความว่ายึดถือในสภาพธรรมที่กำลังมีว่าเป็นสัตว์ บุคคล ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เมื่อสิ่งเหล่านั้นแปรปรวนไปก็เกิดจิตกระสับกระส่าย เดือดร้อน (นกุลปิตาสูตร) เพราะฉะนั้นการจะรู้ความจริงของสภาพธรรมว่า เป็นเพียงธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น ก็คือ การอบรมปัญญาโดยเริ่มจากขั้นการฟังว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เมื่อปัญญาถึงพร้อม อินทรีย์แก่กล้า ปัญญาก็เกิดรู้ความจริงในสภาพธรรมในขณะนีที่เคยรวมกัน แต่จะรู้ทีละขณะที่กำลังเกิด ว่ามีแต่ธรรมแต่ละขณะเท่านั้น ซึ่งกว่าจะถึงปัญญาเช่นนี้ ต้องอบรมปัญญาอย่างยาวนานนับประมาณไม่ได้ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 22 ม.ค. 2563

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว เป็นความจริงอย่างนี้จริงๆ และควรที่จะได้เข้าใจว่า จิต คือ อะไร? จิต เป็นสภาพธรรมที่จริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ตั้งแต่มาจนกระทั่งถึงขณะนี้ ไม่เคยปราศจากจิตเลย มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา จิต เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย ที่มีการกระทำอะไรๆ ต่าง เคลื่อนไหวได้ ก็เพราะมีจิตเจตสิกเกิดขึ้นเป็นไป นั่นเอง ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ