มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ เมษายน 2562

 
kanchana.c
วันที่  29 เม.ย. 2562
หมายเลข  30808
อ่าน  2,036

มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ

เมื่อปี 2549 ได้รับมอบหมายจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ให้ไปออกรายการ “บ้านธัมมะ” และนำบทสัมภาษณ์นั้นมาพิมพ์เป็นหนังสือ “มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา” โดยใช้นามปากกาว่า “สาวิกา ศาสตรพงศ์” ที่แปลว่า ผู้ฟังผู้หญิงที่เป็นอยู่โดยอาศัยตำรา (คำสอน - อันนี้แปลเพิ่มเติมเองตามที่ต้องการ) เมื่อได้ศึกษาพระธรรมมากขึ้น ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ความคิดและการดำเนินชีวิตก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ตรงต่อความเป็นจริง คือ เป็นไปตามธรรมมากขึ้น หลังจากนั้นก็เพิ่มเติมบทความธรรมที่ประทับใจในการพิมพ์ครั้งต่อๆ มาอีกหลายครั้ง จนในการพิมพ์ครั้งสุดท้าย ได้เพิ่มเติมบทสุดท้ายของหนังสือที่กล่าวขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความรู้ทางธรรมในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบ 7 รอบ 84 ปีของท่าน และคิดว่าจบสมบูรณ์สำหรับหนังสือเล่มนี้ ไม่เพิ่มเติมอีกแล้ว เมื่อมีเหตุการณ์ประทับใจอยากเขียนเผยแพร่อีก จึงเขียนเป็นตอนๆ เช่น การเดินทางไปกับท่านอาจารย์ในสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเผยแพร่ในหัวข้อ “สนทนาธรรม” และต่อมาได้ทำเป็น e – book ในหัวข้อ “เส้นทางสายธรรม” ในเว็บไซต์ของมูลนิธิ www.dhammahome.com

เมื่อปี 2561 ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ได้สัมภาษณ์ทีมงานผู้จัดทำ e – book ของ มศพ. ท่านได้ถามว่า ตั้งใจจะเขียนหนังสืออีกหรือไม่ ก็ตอบว่า ตั้งใจจะเขียนเรื่อง “มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ” เพราะได้ยินประโยคนี้จากการบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ หลายคนรู้สึกประทับใจรวมทั้งตนเองด้วย เพราะเมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปอย่างเหงาหงอย ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ศึกษาธรรม ก็คงจะหาสาระจากชีวิตที่เหลืออยู่ไม่ได้ เพราะคิดจะแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอะไรที่ต้องใช้กำลังกาย กำลังความคิด ก็ได้แต่บอกตัวเองตามความเป็นจริงว่า หมดเวลาแล้วสำหรับสิ่งนั้นๆ (ยกเว้นเวลาที่สุขภาพแข็งแรงดี มีคนชวนไปเที่ยว ก็ยังติดข้องอยู่กับความสุขที่จะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสสิ่งที่ปรากฏต่างจากความเคยชินในชีวิตประจำวัน และยังอยากได้ลาภมาแบบไม่ต้องออกแรง เช่น ถูกสลากกินแบ่ง เป็นต้น) การแสวงหาปัญญานั่นแหละประเสริฐสุด เพราะปัญญาแม้จะเกิดช้ามากๆ แต่ก็ปรากฏให้รู้ว่า ก่อนฟังธรรม กับฟังธรรมใหม่ๆ และฟังมากว่า 30 ปีนั้น ความคิดนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความทุกข์เพราะคิดผิดน้อยลง เช่น ความกังวลใจว่า คนนั้นจะไม่ชอบเรา จะว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ก็น้อยลง เพราะรู้ว่า นั่นเป็นเพียงความคิดของเรา ส่วนความคิดของคนอื่นนั้นไม่สามารถรู้ได้ เขาคิดดีก็เป็นความดีของเขา คิดไม่ดีก็เป็นความไม่ดีของเขา ไม่มีใครไปทำอะไรได้ นอกจากรู้ความคิดของตนเอง และเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ทุกอย่างที่มีจริง ที่เกิดปรากฏเป็นธรรม รวมทั้งความคิดด้วย เมื่ออยู่ในโลกนี้ก็คิดได้เฉพาะเรื่องของโลกนี้ที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล เมื่อสิ้นชีวิตก็ลืมเรื่องของโลกนี้ทั้งหมด และทุกอย่างที่เป็นธรรมนั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาจนมีกำลังทำให้ธรรมนั้นๆ เกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วให้เป็นอย่างอื่นได้อย่างไร จึงหาความเป็นตัวตนจากสิ่งนั้นๆ ไม่ได้เลย เมื่อตอบ ผศ. อรรณพไปแล้ว ท่านก็ถามว่า กำลังเขียนอยู่หรือ ก็ตอบตามตรงว่า กำลังคิดอยู่ และจากวันนั้นก็คิดมาเรื่อยๆ ยังไม่ได้เขียนสักที จนถึงวันนี้คิดว่า เป็นโอกาสดีที่เกิดความคิดว่า ทุกอย่างเป็นธรรมที่มีจริง ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย

ขอเชิญสหายธรรมเล่าเรื่องของท่านเองเมื่อปัญญาปรากฏ ปัญญามีหลายระดับ ขั้นฟัง ขั้นคิด ขั้นประจักษ์แจ้ง ฟังแล้วเข้าใจระดับฟัง คิดแล้วเข้าใจระดับคิด ปัญญาของดิฉันเตาะแตะอยู่ที่ 2 ขั้นนี้ แต่ก็อยากแบ่งปันประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปัญญาปรากฏค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kanchana.c
วันที่ 29 เม.ย. 2562

เมื่อยังมีรากของต้นไม้พิษ ก็ต้องมีต้นที่ออกดอกและผลที่เป็นพิษ

วันนี้ (26 เม.ย. 2562) ได้ฟังรายการเจริญวิปัสสนาถึงตอนที่คุณศุกล กัลยาณมิตร ถามท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เรื่องคุณกาญจนาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีสหายธรรมเสียชีวิตและตนเองบาดเจ็บสาหัส ญาติคุณกาญจนาจึงไปไถ่ชีวิตวัวควายเพื่อสะเดาะเคราะห์ คุณศุกลถามให้ท่านอาจารย์ตอบว่า ทำอย่างนี้ถูกหรือผิดอย่างไร ท่านอาจารย์ตอบว่า ผู้นั้นต้องรู้จิตของตนเองว่า ทำไปเพราะเมตตา หรือต้องการผลอย่างอื่น ถ้าเป็นเมตตาก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยเฉพาะวัวควาย แต่ต้องทั่วไป แม้แต่เกิดโทสะกับคนอื่นๆ ก็ไม่เมตตาแล้ว คุณศุกลเลยเล่าต่อไปว่า ญาติผู้ขับรถชนคุณกาญจนามาพูดด้วยดีๆ คุณกาญจนาก็ยังโกรธที่ทำให้บาดเจ็บและสูญเสียทรัพย์สิน

ความจริงฟังการสนทนาเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว เพราะมูลนิธินำมาออกอากาศวนไปเรื่อยๆ ตอนแรกๆ ฟังแล้วก็ไม่อยากฟังเลย รู้สึกอับอายที่ตนเองเป็นคนไม่ดี ไม่มีเมตตา ไม่มีปัญญาพอที่จะรู้ว่า ไม่มีใครทำอะไรให้ใครได้ ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมของตนเอง นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2531 ตอนนั้นเพิ่งมาฟังธรรมใหม่ๆ ยังไม่เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร ตอนนี้เวลาผ่านไปถึง 31 ปีแล้ว ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น รู้ว่าที่ไม่อยากฟังและรู้สึกอับอายนั้นเพราะไม่รู้ว่า เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่มีเรา ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงปรากฏให้รู้แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก และธรรมทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เมื่อยังมีเหตุที่ไม่ดี คือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็เป็นผลให้เกิดความอับอาย ความโกรธ ความไม่สบายใจ เดือดร้อนใจซึ่งเป็นดอกและผลของต้นที่เกิดจากรากที่ไม่ดีนั้นเท่านั้นเอง

โชคดีที่มีชีวิตต่อมา ได้ศึกษาธรรมเพิ่มขึ้น ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า เป็นเพียงจิตเจตสิกที่เกิดขึ้นคิดไปตามการสะสมเท่านั้นเอง เกิดปรากฏเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป ความคิดอย่างนั้นก็ไม่กลับมาเหมือนเดิม อาจจะคิดเรื่องเก่า แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะปรากฏกับปัญญาว่า เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kanchana.c
วันที่ 29 เม.ย. 2562

ชีวิตไม่แน่นอน ความตายแน่นอน

พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ชีวิตไม่แน่นอน เหมือนภาชนะดินที่พร้อมจะแตกทำลายได้ตลอดเวลา ความตายเท่านั้นแน่นอน คนเราเกิดมาเท่าไรก็ตายเท่านั้น ไม่มีใครเกิดแล้วไม่ตาย ได้ยินอย่างนี้ซ้ำๆ และก็คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ตามความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราไม่เชื่อเลยว่า ชีวิตไม่แน่นอน ความตายแน่นอน เราเชื่ออย่างมั่นคงว่า ชีวิตแน่นอน แต่ความตายไม่แน่นอน เพราะทุกขณะคิดแต่ว่า ต่อไปจะได้อะไร จะทำอะไรให้สนุกสนาน มีความสุข ตื่นเช้าในแต่ละวันก็คิดว่า จะกินอะไรดี จะไปไหน จะซื้ออะไร ถ้าไม่คิดอย่างนี้ก็วิตกกังวลว่า อะไรจะหายไป จะหมดไป จะพลัดพรากจากบุคคลที่รัก ทำอย่างไรสุขภาพตนเองจะแข็งแรง เป็นหนุ่มสาวตลอดไป ขอแก่ช้าๆ ไม่เจ็บไม่ป่วย อายุยืนยาว เห็นคนอื่นตายก็รู้ว่าเป็นธรรมดาที่เป็นอย่างนั้น แต่เรายังไม่ตาย ชีวิตเรายังอยู่ ยังแน่นอนที่จะได้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ นี่คือทะเลาะกับพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อคำของพระองค์เลย ก็เริ่มเข้าใจที่ท่านทรงแสดงไว้ใน พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้า ๒๖ ว่า

อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้นเสีย ควรประพฤติดุจคนที่ถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น การที่มัจจุ (ความตาย) จะไม่มาถึงนั้น จะไม่มีเลย

เพราะจิต เจตสิก รูปเกิดดับตลอดเวลา คือ ตายทุกขณะ ชีวิตจึงเป็นเพียงชั่วขณะที่ปรากฏเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เกิดปรากฏให้รู้แล้วก็ดับไป จึงควรระลึกสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงเหมือนดับไฟที่กำลังไหม้ศีรษะทันที แต่เมื่อยังไม่เข้าใจว่า สภาพธรรมอะไรปรากฏ จึงไม่สามารถระลึกรู้ได้ ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องสะสมเหตุปัจจัย คือ ฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง

ดังนั้น มีชีวิตอยู่เพื่อเข้าใจว่า ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการสะสมความเข้าใจให้แจ่มเจ้งขึ้นว่า ธรรมคืออะไร เกิดดับว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา อย่างไร เพื่อจะได้เริ่มทำความเพียร ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ทันที เหมือนรีบดับไฟที่กำลังไหม้ที่ศีรษะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kanchana.c
วันที่ 29 เม.ย. 2562

เข้าใจว่า ตายแล้วเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นโมฆบุรุษอย่างไร

ก่อนนี้เข้าใจว่า ถ้าคนทำดีตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ หรือเกิดเป็นมนุษย์ที่มีความสุข คนทำไม่ดี ผิดศีล ตายแล้วก็ไปเกิดในนรก หรือเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ต่อมาได้อ่านอรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหายมกวรรค มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก ที่มีข้อความว่า

ก็ภิกษุนั้นเป็นผู้สดับมาก แต่ภิกษุที่สดับน้อยกล่าวชาดก ฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสประชุมเรื่องชาดกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น เราได้เป็นเวสสันดร ได้เป็นมโหสถ ได้เป็นวิธูรบัณฑิต ได้เป็นเสนกบัณฑิต ได้เป็นพระเจ้ามหาชนกดังนี้.

ทีนั้นเธอได้มีความคิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขารเหล่านี้ ย่อมดับไปในที่นั้นๆ นั่นแหละ แต่วิญญาณย่อมท่องเที่ยว ย่อมแล่นไปจากโลกนี้สู่โลกอื่น จากโลกอื่นสู่โลกนี้ ดังนี้ จึงเกิดสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง) เพราะเหตุนั้นเธอจึงกล่าวว่า วิญญาณนี้นั่นแหละย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมแล่นไป ไม่ใช่อย่างอื่น ดังนี้.

ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เมื่อปัจจัยมีอยู่ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณจึงมี เว้นจากปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณย่อมไม่มี ดังนี้.

เพราะฉะนั้น ภิกษุนี้ชื่อว่า ย่อมกล่าวคำที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสไว้ ย่อมให้การประหารชินจักร ย่อมคัดค้านเวสารัชชญาณ ย่อมกล่าวกะชนผู้ใคร่เพื่อจะฟังให้ผิดพลาด ทั้งกีดขวางทางอริยะ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์แก่มหาชน

อ่านแล้วก็สะดุ้งอยู่ในใจ เพราะตนเองก็เข้าใจอย่างนั้นเหมือนกัน เป็นโมฆบุรุษเช่นกัน และก็ยังไม่เข้าใจว่า ผิดอย่างไรอีก ต่อมาเมื่อได้ศึกษาธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอภิธรรมเพิ่มขึ้น รู้ว่า ธรรมทั้งหลาย คือ จิต เจตสิก รูปไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นอนัตตา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน วิญญาณก็คือจิตนั่นเอง ที่ว่าวิญญาณย่อมท่องเที่ยวไปนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะวิญญาณเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจแล้วก็ดับไปทันที เมื่อดับไปแล้วจึงเป็นปัจจัยให้มีวิญญาณใหม่เกิดสืบต่อ ไม่ใช่วิญญาณเก่า เป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน เพราะเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ถ้าหมดเหตุปัจจัย คือ เป็นพระอรหันต์ เมื่อจุติจิตของพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นอีก

ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ยังไม่แจ่มแจ้ง เมื่อยังมีชีวิตอยู่ต่อไป และมีโอกาสศึกษาพิจารณาธรรมต่อไป ปัญญาในส่วนนี้อาจจะปรากฏแจ่มแจ้งขึ้นก็ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มกร
วันที่ 29 เม.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 29 เม.ย. 2562

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนา พี่กาญจนา เชื้อทอง ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kanchana.c
วันที่ 30 เม.ย. 2562

เคยเข้าใจว่า จะมีศีลต้องไปขอสมาทานจากพระภิกษุ

เป็นคนวัดมาตั้งแต่เด็ก คือไปวัดกับคุณยายในวันพระที่ไม่ต้องไปโรงเรียน หิ้วตะกร้าใส่ขันข้าว หม้อแกงสำหรับใส่บาตร ดอกไม้ (ดอกดาวเรือง ดอกหงอนไก่ที่ปลูกไว้ที่หัวบันไดบ้าน) ธูปเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย พร้อมทั้งปิ่นโตใส่อาหารสำหรับรับประทานเองที่วัด แล้วก็พายเรือไปที่วัด เมื่อถึงวัดญาติโยมทั้งหลายก็สนทนาพูดคุยกันอย่างญาติมิตร ซึ่งความจริงในละแวกนั้นก็เป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมด (เมื่อกว่า 60 ปีก่อน ตอนนี้มีคนต่างถิ่นมาซื้อที่ดินอยู่กันมากกว่าคนถิ่น ซึ่งแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นเกือบหมดเพราะขายที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาได้ราคาดี) ถึงเวลาพระตีระฆังบอกเวลาแล้วก็สวดบูชาพระรัตนตรัยพร้อมกัน มรรคทายกอาราธนาศีล 5 พระให้ศีล เราก็ว่าตาม ตอนพระสวดมนต์ พวกเราก็ใส่บาตร ถ้าเป็นวันพระใหญ่ หลังพระฉันอาหารเช้า ให้พรแล้ว ญาติโยมที่ไม่ได้ถืออุโบสถศีลก็กลับบ้าน เหลือแต่พวกที่จะนอนค้างคืนที่วัด มรรคทายกก็อาราธนาอุโบสถศีล อาราธนาธรรม พระเทศน์ตามคัมภีร์ใบลาน จากนั้นคนวัดทั้งหลายก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า รับประทานอาหารเพลร่วมกัน แบ่งปันอาหารที่เอามาจากบ้าน พระนำอาหารที่ฉันเหลือมาให้อีก พักผ่อนหลังอาหาร ตื่นขึ้นมาฟังเทศน์รอบบ่ายอีก 1 กัณฑ์ แล้วสวดมนต์ทำวัตรเย็น นอนค้างคืนที่วัด เป็นอันว่าได้ถือศีลอุโบสถแล้ว วันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้ามืดพายเรือข้ามฟากกลับบ้าน มาถึงบ้าน คุณยายก็จะพูดกับคุณทวด คุณตาที่ไม่ได้นอนค้างคืนที่วัดด้วยว่า เอาบุญมาฝาก ขอให้โมทนา ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ มีบุญมาก เอามาฝากคนอื่นได้

เลยคิดว่า จะถือศีลได้ต้องไปขอจากพระภิกษุ แต่ก็ยังดีที่ไม่คิดว่า ต้องไปที่วัด รู้ว่าในสถานที่ที่มีการบำเพ็ญกุศลต่างๆ ก็ได้ เข้าใจอย่างนั้นอยู่นาน จนเมื่อได้ศึกษาพระธรรมเพิ่มขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ศีล คือ ความเป็นปกติของจิตและเจตสิก จึงมีทั้งอกุศลศีล (มีปกติเป็นอกุศล) กุศลศีล (มีปกติเป็นกุศล) อัพยากตศีล (มีปกติไม่ใช่กุศล อกุศล เป็นกิริยาจิตของพระอรหันต์) ส่วนศีลที่เราสมาทานนั้นเป็นกุศลศีลที่เกิดจากเจตนาเจตสิก ตั้งใจงดเว้นทุจริตทางกาย วาจา เพราะขณะนั้นมีวิรตีเจตสิกอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 เจตสิก คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เกิดขึ้นทำกิจงดเว้นทุจริต จึงไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีศีลตลอดเวลา และไม่ได้หมายความว่า เด็กอ่อนที่ยังพูดไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ เป็นผู้มีศีล เพราะไม่ได้ทำทุจริตทางกาย วาจา เพราะเด็กอ่อนนั้นไม่ได้มีเจตนางดเว้นจากทุจริตอะไร จะมีศีลเมื่อมีสติขั้นศีล ระลึกรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นทุจริต และมีเจตนางดเว้นจากการทำทุจริตทางกาย ทางวาจานั้น เช่นเมื่องดเว้นไม่ตบยุง ไม่พูดปด ก็เป็นศีล เป็นต้น ดังนั้นจะมีศีลได้ก็ต้องรู้ว่า สิ่งใดเป็นทุจริตทางกาย ทางวาจา และมีเจตนางดเว้นเมื่อรู้ว่าเป็นโทษ

และเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นก็ไม่ได้ไปวัดกับคุณยายอีก แต่ก็ได้เรียนธรรมศึกษาตรีที่ยุวพุทธิกสมาคม จ. พระนครศรีอยุธยา เรียนหัวข้อธรรม เรียนการแต่งกระทู้ธรรมซึ่งชอบมาก เพราะได้คะแนนดีจากการแต่งกระทู้ธรรมเสมอ เป็นคนวัดในสายตาคนอื่นเรื่อยมา จนเมื่อมาทำงานก็ยังถืออุโบสถศีลในวันพระ เพื่อนร่วมงานล้อเลียนเรียกว่า แม่ชีบ้าง สีกาแดงบ้าง ตอนนั้นรู้สึกโกรธมาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงโกรธ หรืออาจเป็นเพราะว่า คำว่า “คนวัด” แสดงความเป็นคนคร่ำครึ ไม่ทันสมัย ต่อมาเมื่อมาฟังท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายธรรมที่สภาการศึกษา มหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศ จึงออกไปถามท่านอาจารย์ถึงเรื่องนี้ ท่านถามว่า ถือศีล 8 ทำไม ก็ตอบว่า เพราะอยากได้บุญ อยากได้ผลของการถือศีลที่แสดงไว้ว่า จะทำให้เกิดในสวรรค์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็จะมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ร่ำรวย เข้าใจว่า ถือศีล 8 ได้บุญมากกว่าถือศีล 5 ท่านอาจารย์บอกว่า การถือศีล 8 เพื่อขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น เพื่อปฏิบัติตามพระอรหันต์ในเวลาวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ก็เลยเข้าใจว่า ตนเองถือศีล 8 โดยไม่เข้าใจอะไรเลย อยากจะได้แต่ผลของบุญเท่านั้น ไม่เข้าใจแม้แต่กิเลสว่าคืออะไร แล้วจะไปขัดเกลาอะไร ทำด้วยกิเลส ด้วยความรักตัวเอง มีแต่จะพอกพูนกิเลสให้มีมากขึ้นด้วยความไม่รู้ จึงไม่ถือศีล 8 อีก เพราะเวลาถือศีล 8 มีแต่กิเลส ทั้งโลภะ โทสะ มากกว่าปกติเสียอีก เพราะหิวข้าวบ้าง นอนกับพื้นแข็งๆ ไม่สบายกายบ้าง มีคนล้อเลียนบ้าง บางครั้งก็เกิดมานะ สำคัญตนว่ามีศีลมากกว่าคนอื่น เป็นคนดีกว่าคนอื่น จึงควรขัดเกลาความไม่รู้ก่อนว่า ไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความหวัง ความหงุดหงิด ไม่พอใจก็ล้วนแต่เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา เกิดแล้ว ปรากฏให้รู้แล้ว ทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก

ดีใจที่มีชีวิตอยู่จนอายุเข้าสู่วัยชรา (ประโยคนี้ทำให้ใจหายอย่างไรพิกล คงไม่อยากยอมรับว่า เข้าสู่วัยชราแล้ว) ได้ศึกษาพระธรรมต่อเนื่อง ปัญญา คือ ความรู้ทั่วเรื่องศีลจึงได้ปรากฏบ้าง แม้จะยังไม่แจ่มก็ตาม

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Selaruck
วันที่ 30 เม.ย. 2562

กราบขอบคุณและอนุโมทนากับพี่แดง กาญจนา เชื้อทอง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
suchada.s
วันที่ 30 เม.ย. 2562

อนุโมทนาอย่างยิ่ง ขอบคุณที่เป็นกัลยาณมิตรแสนงดงามตลอดมาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kulwilai
วันที่ 1 พ.ค. 2562

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนา พี่แดงกาญจนา เป็นอย่างยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 1 พ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kanchana.c
วันที่ 1 พ.ค. 2562

ข้อความจากคุณวันชัย ภู่งาม (ที่ส่งมาให้ในไลน์)

" กราบอนุโมทนาพี่แดงครับ วันนี้กลับมาจากไปงานศพญาติสนิทที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด นนทบุรี (ซึ่งทำให้มั่นคงขึ้นในธรรมที่ท่านอาจารย์แสดง เพราะได้เห็นว่า ความเข้าใจในพระศาสนาคือคำสอนที่ถูกต้อง ไม่ปรากฏว่ายังคงเหลืออยู่ แม้ในสถานที่ๆ บุคคลที่เข้าใจว่าตนเองเป็นปัญญาชนแห่งยุคสมัย ซึ่งคิดว่าสถานที่นี้ เป็นสถานที่ๆ ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ของพระศาสนา) หลังเลิกงานที่วัด กลับมาทันดูอีย้อย (ขอประทานโทษที่กล่าวคำไม่สุภาพ) ในละครกรงกรรม ที่กำลังโด่งดัง ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า เป็นละครที่ให้ข้อคิดดี ทั้งสนุกสนาน สะใจวัยรุ่น (สุดท้าย) และวัยลูกด้วย ลูกสาวคนกลางชอบมากและบอกว่าให้ข้อคิดที่ดีในหลายๆ เรื่องครับ เลยทำให้พ่อและแม่ติดตามดูไปด้วย) ซึ่งมีตอนจบในวันนี้ ดูละครจบก็มาเปิดอ่านไลน์ เห็นบทความพี่แดง จึงอ่านจนจบด้วยความชื่นใจมาก (ที่นานแล้วไม่ได้มีบทความในสำนวนที่ชื่นชอบเช่นนี้ให้ได้อ่าน)

อ่านแล้วก็เกิดความคิดมากมาย รู้สึกอยากเขียนอยากเล่าแชร์บ้างในหลายๆ เรื่อง แต่คงตามเหตุตามปัจจัย เพราะระยะนี้ รู้สึกบ่อยๆ ว่า มีหลายสิ่งที่ควรทำในแต่ละวัน มากจนคิดว่า อยากมีหลายมืออย่างทศกัณฑ์ กว่าจะรู้ตัวว่า ทั้งหลายที่คิดนั้น ทั้งหมดเป็นแต่ธรรมเท่านั้น หาใช่เรื่องราวใดๆ ไม่ ก็คงยังไม่สาย หากยังมีโอกาสได้อยู่ยืนยาวต่อไปเพื่อปัญญาปรากฏ (บ้าง) เหมือนอย่างที่พี่แดงปรารภไว้ในหนังสือ "มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ" ซึ่งคงเป็นหนังสือที่ไม่มีตอนจบ (ต่อไป) เพราะท่านผู้เขียนและผู้อ่าน ที่ (อาจ) เคยคิดว่าจบแล้ว แต่จนถึงบัดนี้...ยังไม่จบ...

รออ่านตอนต่อๆ ไป โดยไม่รอตอนจบครับพี่แดงครับ สบายๆ ด้วยความเข้าใจขึ้นๆ ในแต่ละวันครับ แค่นี้ก็ได้ชื่อว่า "พ่อบุญหลาย" แล้วนะครับ กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาพี่แดง สำหรับ "ความจริงใจจากการศึกษาพระธรรม" ที่แบ่งปันทุกคนมาตลอดครับ "

เพิ่งรู้สึกตัวว่า ถูกล่ามไว้

วันนี้ได้อ่านความคิดเห็นของน้องวันชัย ภู่งาม สหายธรรมที่มีอุปการะคุณอย่างยิ่งในการทำ e – book เพราะทำให้เรื่องธรรมดาๆ น่าอ่านยิ่งขึ้นด้วยภาพประกอบ แม้บางครั้งจะไม่ได้เดินทางไปด้วย เพียงส่งภาพมา ท่านก็สามารถใส่ได้อย่างเหมาะเจาะ ราวกับเดินทางไปด้วยกัน ท่านคงไม่รู้ว่า คำชมเชยของท่านนั้นได้ล่ามดิฉันให้ติดอยู่กับคำชมนั้น เมื่ออ่านแล้วเดี๋ยวก็กลับมาคิดถึงคำชมนั้นอีก สักครู่ก็กลับมาคิดอีก คิดหลายครั้งชักจำไม่ได้ว่า ชมว่าอย่างไร ก็กลับไปอ่านอีก เพื่อทำให้เกิดความปลาบปลื้มใจอีก คิดอีก ความจริงก็เป็นอย่างนี้มาเนิ่นนาน แต่วันนี้เกิดระลึกได้ว่า คิดซ้ำไปซ้ำมาทำไม จนต้องถามคนใกล้ตัวว่า สภาพธรรมที่ผูกสัตว์ไว้ด้วยความติดข้องเรียกว่าอะไร ท่านบอกว่า อภิชฌากายคันถะ คือ ความติดข้องที่ผูกมัดสัตว์ไว้ในวัฏฏะ เหมือนโซ่ล่ามสุนัขไว้กับหลัก ถ้าโซ่สั้นก็จะกลับมาสู่หลักบ่อยๆ ถ้าโซ่ยาวก็ห่างหลักได้นานกว่า หลักก็คือวัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่น่ายินดี น่าใคร่ น่าพอใจ ซึ่งไม่พ้นจากลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความสั้นยาวของโซ่ก็คือความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดปรากฏเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แต่เมื่อยังไม่เข้าใจก็ไม่รู้ว่า ถูกล่ามไว้ ยังแสวงหาโซ่มาคล้องคอไว้หลายๆ เส้น จนบางครั้งต้องทำทุจริตกรรมเพื่อให้ได้โซ่มาล่ามไว้มากๆ เช่น พูดโกหกบ้าง เพื่อให้เขาชม เป็นต้น

ดีใจ (อีกแล้ว) ที่นึกได้ว่า ถูกล่ามไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณน้องวันชัยที่ส่งโซ่มาล่ามพี่ไว้อีก 1 เส้น คนอื่นๆ จะส่งมาอีกก็ยินดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kanchana.c
วันที่ 8 พ.ค. 2562

ฟัง พิจารณาจนกว่าจะไม่มีเรา

ได้มีโอกาสไปเยี่ยมท่านอาจารย์ที่รักษาตัวอยู่ที่ รพ. เทพธารินทร์ เมื่ออาทิตย์ก่อน (7 พ.ค. 62) ท่านอาการดีขึ้นมากแล้ว สามารถเดินได้เองโดยไม่ต้องพยุง แม้จะยังก้าวทีละก้าวก็ตาม หน้าตาท่านแจ่มใสมีเมตตาเหมือนเดิม เมื่อได้สนทนากันท่านก็เตือนด้วยความหวังดีว่า ฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีเรา เพราะจริงๆ ก็ไม่มีเรา แต่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ต้องฟังแล้วพิจารณาด้วย ระหว่างรับประทานอาหารท่านก็เตือนอีกว่า ความสำคัญของคำสอน คือ ไม่มีเรา และเมื่อไปกราบลากลับท่านก็ยังเน้นอีกว่า อย่าลืมว่า ไม่มีเรา

เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็จะฟังและพิจารณาต่อไปจนกว่าปัญญาจะปรากฏว่า ไม่มีเรา ตามที่ท่านอาจารย์เมตตามอบมรดกล้ำค่าที่ท่านได้รับจากการศึกษาพระธรรมจนเข้าใจแจ่มตามที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงสุดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
kanchana.c
วันที่ 9 พ.ค. 2562

ไม่รู้แม้ทุกข์ประจำ

เมื่อเกษียณอายุราชการใหม่ๆ รู้สึกโปร่งโล่งสบายจากภาระการงานที่ต้องรับผิดชอบมายาวนาน และยิ่งได้รับบำนาญจากราชการทุกเดือน ก็ยิ่งรู้สึกสบายยิ่งขึ้นที่ไม่ต้องทำงานแต่ยังมีเงินเลี้ยงชีพในบั้นปลายชีวิต เพื่อนร่วมโรงเรียน เพื่อนร่วมงานสมัยเด็กๆ ก็ชวนกันไปพบปะสังสรรค์ ท่องเที่ยวให้สนุกสนาน หลายคนรู้ว่า เราสนใจธรรมเพราะเอาหนังสือธรรมที่เขียนเองไปแจก ก็รีบบอกว่า อย่าคุยธรรมให้ฟัง เพราะจะทำให้รู้สึกแก่ แก่แต่กายก็พอแล้ว อย่าทำให้ใจห่อเหี่ยวเพราะต้องฟังธรรมอีก เพราะธรรมนั้นสอนแต่ว่า ชีวิตเป็นทุกข์ ซึ่งไม่เห็นว่าจะเป็นทุกข์อะไร มีครอบครัวลูกหลานก็ดี มีเงินใช้ มีสุขภาพแข็งแรง วันๆ ก็มีแต่เรื่องรื่นรมย์ ไปสังสรรค์ กินอาหารอร่อย ร้องเพลงกันน่าจะดีกว่า บางคนถึงกับพูดว่า อยากรู้จักทุกข์จัง เกิดมาไม่เคยทุกข์เลย

มาคิดดูว่า ที่เพื่อนๆ พูดอย่างนั้น เพราะไม่รู้ว่า ทุกข์คืออะไร ความจริงทุกวันก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว เมื่อหิวก็ต้องแสวงหาอาหารมารับประทานให้หายหิวซึ่งเป็นทุกข์ประจำวัน รับประทานแล้วต้องขับถ่ายก็เป็นทุกข์ อากาศร้อนเกินไปก็เป็นทุกข์ ต้องแสวงหาที่เย็นๆ อยู่ หนาวเกินไปก็เป็นทุกข์ ต้องหาเสื้อผ้าที่อบอุ่นเหมาะสมใส่ ปวดเมื่อยก็เป็นทุกข์ ต้องนวดให้หายเมื่อย สารพัดจะทุกข์ แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ถ้าหิวแล้วไม่ทุกข์ก็ต้องไม่รับประทานอะไร ปล่อยให้หิวอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ทุกข์ก็คือทนได้ ตอนโกรธไม่สบายใจก็เป็นทุกข์ หาวิธีว่าทำอย่างไรจึงจะหายโกรธ ถ้าโกรธแล้วไม่ทุกข์ก็ปล่อยให้โกรธต่อไป แต่ไม่มีใครอยากโกรธ อยากจะสบายใจอย่างเดียว อยากได้อะไรมากๆ ก็เป็นทุกข์เพราะกระวนกระวายอยากจะได้ เมื่อได้มาแล้วหายทุกข์ชั่วคราว ต่อไปก็อยากได้อย่างอื่นอีก หรือต้องระวังรักษาสิ่งที่อยากได้ให้อยู่กับตนนานๆ อันนี้ทุกข์เพราะกิเลส ความติดข้องต้องการบ้าง ความขุ่นเคืองในบ้าง ความหลงผิดบ้าง ความตระหนี่บ้าง ความริษยาบ้าง ปุถุชนทุกคนต้องมี แต่ไม่รู้ เพราะเป็นเรา

เล่าให้ท่านอาจารย์ฟังว่า เพื่อนอยากรู้จักทุกข์ ท่านอาจารย์บอกว่า ถูกแล้ว อริยสัจที่ ๑ คือ ทุกขสัจจะ คือสภาพธรรมที่เกิดดับทุกขณะ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เลยเล่าต่อว่า เพื่อนบอกว่าเกิดมาไม่เคยทุกข์เลย ท่านถามว่า เขาไม่เคยหิวหรือ ก็เป็นความรู้ความเข้าใจคนละระดับ เหมือนลงทะเล คนหนึ่งเดินอยู่บนฝั่งบอกว่า มาเที่ยวทะเล อีกคนดำน้ำลงไปเห็นปะการัง บอกว่ามาเที่ยวทะเลเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันตรงความลึกซึ้ง

ต่อมาไม่นานเพื่อนที่เกิดมาไม่เคยทุกข์ก็มีปัญหาในครอบครัวทำให้ไม่สบายใจอย่างมาก ยอมรับว่าตัวเองเป็นทุกข์ คราวนี้แสวงหาธรรม อยากจะฟังธรรมที่จะทำให้ความไม่สบายใจคลายไป เมื่อฟังแล้ว สบายใจขึ้นบ้าง ก็หายไปอีก เพราะไม่อยากเข้าใจธรรมเพื่อละคลายความไม่เข้าใจ เพียงแต่อยากฟังให้สบายใจเท่านั้น

ดังนั้น การได้ฟังธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ไม่มีทางที่จะได้ฟังธรรมที่ทำให้เกิดปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูกได้ และปัญญาก็ไม่ได้เกิดปรากฏง่ายๆ เลย ต้องฟังและพิจารณาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าปัญญาจะปรากฏทีละเล็กทีละน้อยให้รู้ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
nattawan
วันที่ 10 พ.ค. 2562

มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา

แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
kanchana.c
วันที่ 13 พ.ค. 2562

สติปัฏฐาน คือ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้

ฟังธรรมเรื่อง “การเจริญวิปัสสนา” มากว่า 30 ปี (ตั้งแต่ปี 2527) เพิ่งแน่ใจว่า สติปัฏฐาน คือ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ท่านอาจารย์ก็พูดอย่างนี้มาตลอด แต่เพียงฟังยังไม่ค่อยแน่ใจ เพิ่งมาแน่ใจเมื่อเช้านี้ (13 พ.ค. 62) หลังจากฟังคำถามคำตอบเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน มีผู้ถามเรื่องรูปนั่ง รูปนอน ... ว่าจะต้องระลึกรู้อย่างไร เมื่อฟังคำตอบและประมวลความเข้าใจจากการฟังที่ผ่านๆ มา ก็สรุปได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสติปัฏฐานในหมวดกาย เวทนา จิต ธรรม หรือในบรรพใดๆ ทั้งหมด ก็คือให้ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ จึงจะเป็นอนัตตา เพราะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นเกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งมีทั้งเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ละขณะนั้นมีทั้งนามธรรม สภาพรู้ และรูปธรรม สภาพที่ไม่รู้ แล้วแต่ว่าอะไรจะปรากฏให้ระลึก ที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎกก็คือประมวลธรรมที่ทรงแสดงยาวนานถึง 45 พรรษา แก่บุคคลต่างๆ ที่สะสมอัธยาศัยมาต่างๆ กันว่า สามารถจะเข้าใจได้ด้วยเรื่องอะไร อย่างไร จึงทรงจำแนกธรรมไว้อย่างละเอียด เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะ ทรงแสดงโดยรวม โดยแยกอย่างหยาบ อย่างละเอียด ทุกแง่มุม เราศึกษาเพียงบางส่วนก็ยังจับจุดไม่ได้ว่า ที่ทรงแสดงนั้นทรงมีพระประสงค์จะให้รู้อะไร เพราะยังเป็นประเภทปทปรมะ ผู้มากด้วยบท ต้องศึกษามากมาย แต่เมื่อยังไม่เข้าใจ ศึกษาแต่ละพระสูตรแล้วก็เป็นไปตามเรื่องราวที่ทรงแสดง อย่างอิริยาบถบรรพ มีรูปยืน รูปเดิน รูปนั่ง รูปนอน ก็คิดว่าต้องไปดูรูปเหล่านั้น ไม่เข้าใจว่า ทรงแสดงว่า ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งมีสภาพรู้ นามธรรม คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก และรูปธรรม คือ สิ่งที่ปรากฏได้ทางตา (สี) เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็เพียงสักแต่ว่า เป็นที่อาศัยให้สติระลึกรู้สภาพธรรมกำลังปรากฏเท่านั้น จึงจะละคลายความยึดมั่นว่า เป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนได้

วันนี้เข้าใจเพียงแค่นี้ วันต่อไปถ้ามีโอกาสได้ศึกษาต่อ คงจะเข้าใจเพิ่มขึ้นกว่านี้อีกแน่นอน แต่ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสได้เขียนลงกระดานสนทนานี้หรือไม่

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
สิริพรรณ
วันที่ 25 ธ.ค. 2563

กราบขอบพระคุณพี่แดงอาจารย์กาญจนาค่ะ

เชื่อว่าคงจะมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยกุศลวิริยะกุศลฉันทะของพี่แดงที่มั่นคง จากการศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยการถ่ายทอดที่ตรงตามคำของพระพุทธองค์โดยมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

เป็นข้อความที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
Sea
วันที่ 12 ต.ค. 2564

กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ